การเดินทางในครั้งนี้เป็นการขับรถท่องเที่ยวคิวชูทางตอนเหนือใช้เวลา 6 วัน 5 คืน เก็บทั้งหมด 4 จังหวัด คือ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซากะ (Saga) นางาซากิ (Nagasaki) และ โออิตะ (Oita) เป็นทริปที่เราจะได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกอรรถรส สัมผัสทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ประสบการณ์การแช่ออนเซ็น นั่งรถไฟขบวนพิเศษ และได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นที่มีความอร่อยหลากหลาย
รีวิวจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนโดยเรียงลำดับตามสถานที่ที่เราไปมาจริงเพื่อให้เพื่อนๆ สามารถเที่ยวตามกันได้เลย บินลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) เช่ารถแล้วก็เริ่มลุยตามแผนการเดินทางในแต่ละวัน
วันที่ 1 : [ฟุกุโอกะ]ชายหาดฟุตามิโนะอุระ / ร้านหอยนางรมย่าง / [นางาซากิ] เฮาส์เทนบอช
วันที่ 2 : [นางาซากิ] ล่องเรือคุจูคุชิมะ / เพิร์ลซีรีสอร์ท / [ซากะ] ร้านเครื่องปั้นฮาซามิยากิ / อุเรชิโนะออนเซ็น
วันที่ 3 : [ซากะ] ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ / ร้านเนื้อซากะ / โรงงานกระดาษสานาโอวาชิ / [ฟุกุโอกะ] ล่องเรือยานากาวะ
วันที่ 1
จุดถ่ายรูปชายหาดฟุตามิโนะอุระ (Futaminoura Photospot)
แลนด์มาร์คชิงช้าที่ทำจากต้นปาล์มคู่ (Yashi no ki blanco) ริมชายหาดฟุตามิโนอุระ จุดถ่ายรูปยอดฮิตในหมู่ชาวญี่ปุ่นขณะนี้ นอกจากจะมีชิงช้าที่ทำจากต้นปาล์มแบบเดี่ยวๆ แล้ว ก็ยังมีชิงช้าต้นปาล์มแบบสามที่นั่ง หรือแบบคู่ชั้นบน-ล่าง และชิงช้ารูปหัวใจ อีกทั้งยังมีมุมถ่ายรูปน่ารัก ๆ อยู่เต็มไปหมด แถมทุกรูปมีฉากหลังเป็นชายหาด และทะเลอีกด้วย
เวลาทำการ: เปิดตลอด
พิกัด
เมโอโตะ อิวะ แห่งชายหาดฟุตะมิกะอุระ (Sakurai Futamigaura no Meoto Iwa)
เมโอโตะ อิวะ หรือหินแต่งงาน ตั้งอยู่ที่ชายหาดฟุตะมิกะอุระ (Futamigaura) เขตซากุระอิ (Sakurai) เมืองอิโตชิมะ (Itoshima) บนริมชายหาดมีประตูโทริอิสีขาว และไกลออกไปในทะเลมีหินขนาดใหญ่สองก้อน ตั้งคู่กันอยู่ ปกติแล้วจะมีเชือกชิเมะนะวะ (Shimenawa) คล้องอยู่ โดยจะมีพิธีการเปลี่ยนเชือกชิเมะนะวะทุกปีในช่วงสิ้นเดือนเมษายน และต้นเดือนพฤษภาคม (เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ยังไม่มีพิธีการเปลี่ยนเชือกในขณะนี้)
ที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีผู้คนมาอธิษฐานขอพรเรื่องของความรักเป็นจำนวนมาก เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าหินคู่เป็นหินศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้สมหวังในเรื่องของชีวิตคู่ การแต่งงาน และความรัก เอกลักษณ์ของเสาโทริอิแห่งนี้ คือ เวลาน้ำขึ้นประตูโทริอิสีขาวจะเหมือนลอยอยู่ในน้ำทะเล และเมื่อน้ำลงสามารถเดินไปใกล้ฐานของประตูโทริอิได้ ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดฟุกุโอกะ
เวลาทำการ: เปิดตลอด
เว็บไซต์ | พิกัด
ร้านหอยนางรมย่างไดโคะคุมารุ (Daikokumaru Kakigoya)
ทานมื้อกลางวันกันที่ร้านหอยนางรมย่างไดโคะคุมารุ เมืองอิโตชิมะ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องหอยนางรม เพราะมีชายฝั่งน้ำลึกที่เหมาะแก่การเลี้ยงหอยนางรมโดยเฉพาะ จึงมีคาคิโกยะ (Kakigoya) หรือกระท่อมย่างหอยนางรม หลายแห่งกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่ละร้านจะมีลักษณะเป็นเต็นท์ ภายในมีที่นั่งรอบเตาสำหรับย่างหอยนางรมด้วยตัวเอง มีเสื้อคลุมแบบ Jumper เพื่อป้องกันเปลือก หรือน้ำจากหอยนางรมที่อาจกระเด็นมาโดน และกลิ่นควันที่อาจจะติดเสื้อผ้ามาด้วยได้
คาคิโกยะจะเริ่มเปิดช่วงเดือนตุลาคม ไปจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ชาวญี่ปุ่นจะรับประทานหอยนางรมในช่วงฤดูหนาว เพราะเนื้อจะหวาน และตัวค่อนข้างใหญ่ เมนูของหอยนางรม 1 กิโลกรัมราคา 1,000 เยน นอกจากนี้ยังมีหอยเชลล์ กุ้ง ปลาหมึก ซาชิมิ ข้าวหอยนางรม และอื่น ๆ ไว้บริการ (ช่วงนี้ทางร้านเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยลดการสัมผัสและพูดคุยโดยให้ลูกค้าสั่งอาหารผ่านทางไลน์ โดยการกดเพิ่มเป็นเพื่อน)
เวลาทำการ: 10:00-17:00 น. หยุดวันปีใหม่
เว็บไซต์ | พิกัด
เฮาส์ เทน บอช (Huis Ten Bosch)
ธีมพาร์คเมืองจำลองสไตล์ยุโรปของจังหวัดนางาซากิ มีทั้งหมด 3 โซน ได้แก่ โซนสวนดอกไม้ โซนสวนสนุกเครื่องเล่น VR และโซนอิลลูมิเนชั่นอันดับต้นๆ ของประเทศ เมื่อเข้ามายังธีมพาร์คจะพบกับจุดถ่ายรูปที่น่าสนใจหลายจุด เช่น กังหันลมทุ่งดอกไม้ อาคารสไตล์ยุโรป อีกทั้งยังมีคลองที่ให้นั่งเรือชมบรรยากาศโดยรอบ
ช่วงปลายปีจะมีการประดับประดาไฟในธีมคริสต์มาส Fantasiacity of Lights การแสดงบนเวทีและยังมีตลาดคริสต์มาส ให้ซื้อไวน์แดงใส่เครื่องเทศอุ่น ๆ ช็อกโกแลตร้อน ๆ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึกจากเฮาส์เทนบอช และของที่นำเข้ามาจากยุโรปวางขายด้วย
จากนั้นแวะทานมื้อค่ำสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่ร้าน ELMARSO อาหารรสชาติดี โดยเฉพาะเมนู Ahijo กุ้งและเห็ดในน้ำมันมะกอก เป็นเมนูอาหารสเปนที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบ ดีต่อสุขภาพ
ค่าเข้าชม: 1 Day pass (บัตรผ่านประตู + สามารถใช้กับเครื่องเล่นได้ 50 ประเภท + พาเลซเฮาส์เทนบอช) ผู้ใหญ่ 7,000 เยน เด็กมัธยม 6,000 เยน เด็กประถม 4,600 เยน เด็ก 3,500 เยน ผู้สูงอายุ 5,500 เยน
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00-22:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
ในคืนนี้เราเข้าพักที่โรงแรม Hotel Nikko Huis Ten Bosch ใกล้ๆ กับเฮาส์เทนบอชที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างของห้องด้วย สำหรับคืนนี้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนจะไปลุยเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้กันนะคะ
วันที่ 2
เช้านี้ยังอยู่กันที่จังหวัดนางาซากิ ออกเดินทางไป Kujukushima Pearl Sea Resort โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที เพื่อล่องเรือชมหมู่เกาะคุจูคุ (Kujukushima) เมืองซาเซะโบะ (Sasebo)
Kujukushima Pearl Sea Resort
หมู่เกาะคุจูคุเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Saikai ประกอบไปด้วยเกาะ 208 เกาะ ว่ากันว่าเป็นเกาะที่ตั้งอยู่หนาแน่นที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียวเรือที่โดยสารวันนี้ชื่อมิราอิ (Mirai) มีลักษณะเป็นเรือโจรสลัดสีสันสดใส ความกว้างประมาณ 7 เมตร ภายในเรือมีการตกแต่งตามธีมเรือโจรสลัดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นแผนที่ กล้องส่องทางไกล เก้าอี้ รวมไปถึงมีรูปปั้นของโจรสลัด และลูกเรือด้วย
ตลอดการล่องเรือระยะเวลา 45 นาที นอกจากจะได้ชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่าแล้ว ยังมีการบรรยายถึงเกาะต่างๆ ที่น่าสนใจทั้งภาษาญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษ โดยเรือโจรสลัดนี้ สามารถล่องเข้าไประหว่างเกาะน้อยใหญ่เพื่อชมแต่ละเกาะอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางวิวทะเลสีเขียวมรกตที่งดงามมาก
ค่าโดยสาร: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก 750 เยน
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00-17:00 น. (รอบเรือ Mirai: 11:30/13:30/14:30)
เว็บไซต์ | พิกัด
พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Kujukushima Aquarium Umi Kirari
ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ด้วย ก็ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ คือการหาไข่มุกในหอยมุก เนื่องจากที่เกาะคุจูคุแห่งนี้ นอกจากจะเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยนางรมคุณภาพดีแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งเพาะเลี้ยง หอยมุก (Pearl) ปลามะได (Madai) และปลาปักเป้า (Torafugu) อีกด้วย การเป็นหมู่เกาะทำให้น่านน้ำอุดมไปด้วยอาหารและแร่ธาตุที่ไหลมาจากเกาะทุกด้าน ทำให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การเพาะเลี้ยงหอยมุกคุณภาพดี
เมื่อเราเจอไข่มุกแล้ว จะมีการทำนายความรัก โดยพิจารณาจากจากสี และรูปร่างของไข่มุกที่แกะออกมา สามารถนำไข่มุกใส่ซองที่มีคำทำนายด้านหน้ากลับบ้านได้เลย หรือจะทำเป็นเครื่องประดับก็ได้เช่นกัน โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ค่าใช้จ่ายกิจกรรมหาไข่มุก: 650 เยน
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00-17:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
ร้าน Kaiyu
มื้อเที่ยงในวันนี้ขอฝากท้องไว้ที่ร้านไคยู (Kaiyu) ร้านอาหารบริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ เมนูแนะนำคือ Lemon Steak เป็นสเต็กเนื้อแบบสไลซ์บาง ถูกเสิร์ฟมาในกระทะร้อน ราดด้วยซอสสุดพิเศษที่มีส่วนผสมของเลม่อน และมีเลม่อนฝานวางอยู่บนเนื้อด้วย ถือว่าเป็นเมนูที่อร่อยลงตัวมากๆ ซึ่งเมนูนี้ถือเป็นเมนูขึ้นชื่อของเมืองซาเซโบะ เพราะที่นี่มีฐานทัพของสหรัฐอเมริกาอยู่ จึงทำให้เมืองนี้ ได้รับวัฒนธรรมในเรื่องของอาหารมาด้วย นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูอาหารแบบผสมผสานให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็น Sasebo แฮมเบอร์เกอร์ แซนด์วิช ข้าวหน้าปลาดิบ รวมไปถึงนางาซากิจัมปง
เวลาทำการ: ทุกวัน 11:00-17:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
จากนั้นมุ่งหน้าสู่เมืองฮาซามิ (Hasami) จังหวัดซากะ (Saga)
ร้านเครื่องปั้นฮาซามิยากิ Minami Soko
ฮาซามิยากิ (Hasamiyaki) เป็นเครื่องปั้นที่มีชื่อเสียงไม่ต่างจากอาริตะยากิ หรืออิมาริยากิเลย จุดเริ่มต้นของฮาซามิยากิเริ่มจากเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ผู้ครองศักดินาโอมุระ โยชิอากิ ได้เชิญช่างปั้นชาวเกาหลีซึ่งมีความชำนาญการทางด้านเครื่องปั้นในเวลานั้นมาถ่ายทอดเทคนิคต่าง ๆ ให้กับช่างทำเครื่องปั้นชาวญี่ปุ่น เอกลักษณ์ของฮาซามิยากิคือ เป็นเครื่องปั้นที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน มีลวดลายเรียบง่ายที่เน้นสีขาวเป็นหลัก ที่สำคัญราคาไม่สูงจนเกินไป จึงได้รับความนิยมไปทั่วประเทศตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ที่ร้าน Minami Soko บริเวณชั้น 1 เน้นจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน จาน ชาม แก้ว ที่มีความเรียบง่าย เหมาะกับสายมินิมอล ส่วนชั้นลอยจะเป็นพื้นที่สำหรับเวิร์คช็อป เป็นการตกแต่งเครื่องปั้นที่เราเลือกด้วยสติ๊กเกอร์แบบพิเศษ โดยจะมีค่าเรียนที่แตกต่างกันออกไปตามราคาเครื่องปั้นที่เลือก เมื่อตกแต่งเครื่องปั้นเสร็จแล้ว ทางร้านจะนำเครื่องปั้นไปเผา และจัดส่งให้เราถึงบ้าน
ค่าใช้จ่าย: เริ่มต้น 1,000 เยน + ค่าภาชนะที่เลือก
เวลาทำการ: 11:00 – 18:00 น. หยุดทุกวันพุธ
เว็บไซต์ | พิกัด
สวนหย่อม HIROPPA
ไม่ไกลจากร้าน Minami Soko นั่งรถมาประมาณ 5 นาที จะพบกับสวนหย่อมชื่อว่า ฮิรปปะ (HIROPPA) สร้างขึ้นโดยศิลปินนามว่า มารุฮิโระ ที่เห็นว่าบริเวณนี้ไม่มีสวนหย่อมและพื้นที่ให้เด็กวิ่งเล่น เมื่อมีลูกจึงเห็นความสำคัญจนเกิดโปรเจ็คนี้ขึ้น โดยการผสมผสานเครื่องปั้นฮาซามิยากิออกมาในรูปแบบของสวนหย่อม ที่มีทั้งพื้นที่ของสนามเด็กเล่น และผู้ใหญ่ก็สามารถนั่งพักผ่อนได้ ที่นี่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา
สวนหย่อมแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมด 4,000 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยส่วนของสนามหญ้า หาดทรายเทียมที่ทรายได้มาจากการนำเศษเครื่องปั้นมาบดละเอียด นอกจากนี้ยังมีคาเฟ่ที่ขายข้าวกล่องอาหารกลางวัน ของหวาน และคราฟต์เบียร์ สามารถนำอาหารและเครื่องดื่มออกมารับประทานในสวนได้อีกด้วย อีกทั้งยังเป็นแกลอรี่จำหน่ายเครื่องปั้น และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่คุณมารุฮิโระได้ออกแบบไว้ ใกล้ๆกันจะมีโกดังที่จำหน่ายเครื่องปั้นฮาซามิยากิแบบเคลียร์แลนซ์ด้วย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาทำการ: ทุกวัน 10:00 – 18:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
จากนั้นใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที มายังเมืองอุเรชิโนะ (Ureshino)ที่เราจะเข้าพักกันในคืนนี้
อุเรชิโนะออนเซ็น (Ureshino Onsen)
เมืองอุเรชิโนะออนเซ็น มีประวัติยาวนานถึง 1,300 ปีตั้งแต่สมัยเอโดะ ในอดีตจักรพรรดินีจิงงุได้แวะมาที่นี่ระหว่างเดินทางกลับจากสงคราม และได้พบน้ำพุร้อนผุดขึ้นกลางแม่น้ำ จึงอุทานออกมาว่า “อุเรชิ” แปลว่า เยี่ยมยอด จึงเป็นที่มาของชื่อออนเซ็นแห่งนี้ ที่นี่เป็นหนึ่งในสามออนเซ็นที่ดีที่สุดที่แช่แล้วผิวสวยของประเทศญี่ปุ่น โดยมีแหล่งน้ำแร่มากถึง 17 แหล่งด้วยกันในย่านเมืองเก่าของเมืองอุเรชิโนะนี้ก็มีบ่อแช่เท้า (Ashiyu) กระจายอยู่ทั่วเมือง ถ้าหากกลัวเท้าเปียกก็มีแบบอบไอน้ำไว้ให้บริการที่ Yushuku Hiroba ด้วย
นอกจากน้ำแร่จะมีอุณหภูมิจุดต้นกำเนิดสูงถึง 100 องศาเซลเซียสแล้ว ยังมีส่วนผสมของโซเดียมไบคาร์บอเนต ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวหนังกำพร้าที่ตายแล้วออกไป ทำให้ผิวสดชื่นเปล่งปลั่ง อีกทั้งยังมีความเข้มข้นของไฮโดรเจนไอออนจึงมีฤทธิ์เป็นด่างอ่อนๆ จึงช่วยในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคโลหิตจาง โรคผิวหนัง โรคไขข้อ
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาทำการ: เปิดตลอด
พิกัด
เรียวกัง Ureshino Kanko Hotel Taishoya
ในอดีตเมืองอุเรชิโนะ เป็นที่พักของเหล่านักเดินทางระหว่างทางที่จะไปจังหวัดนางาซากิ ทำให้ปัจจุบันยังมีโรงแรมสไตล์เรียวกังตั้งอยู่มากมาย สำหรับ Ureshino Kanko Hotel Taishoya เป็นหนึ่งในเรียวกังที่ยังคงสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเอาไว้เป็นอย่างดี ทั้งการตกแต่งตัวโรงแรม ภายในห้องพัก และสวนสไตล์ญี่ปุ่น แล้วความพิเศษของเรียวกังแห่งนี้คือห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นสวนญี่ปุ่นและสามารถเดินออกจากห้องพักเพื่อชมสวนได้ด้วย
มื้อเย็นทางโรงแรมจัดอาหารคอร์สแบบไคเซกิ มีอาหารทะเลจากคาบสมุทรอาริอาเกะ และอาหารจานหลักเป็นเนื้อซากะ ในส่วนของมื้อเช้าเป็นเซ็ตอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบฟูลคอร์สเช่นกัน สิ่งที่ห้ามพลาดคือเต้าหู้โฮมเมดเนื้อเนียนนุ่มนิ่มละลายในปาก ภายในโรงแรมมีร้านขายของฝากจากจังหวัดซากะให้ได้เลือกซื้อไม่ว่าจะเป็นขนม ซอส เหล้าสาเก และชาเขียว นอกจากจะมีน้ำแร่ออนเซ็นที่ดีแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งผลิตชาเขียวคุณภาพดีอีกแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นด้วย
เวลาทำการ: เช็คอิน 15:00 น. เช็คเอาท์ 10:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
วันที่ 3
ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ (Yutoku Inari Shrine)
ศาลเจ้ายูโทคุอินาริ ตั้งอยู่ที่เมืองคาชิมะ (Kashima) ศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ของจังหวัดซากะสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 เป็นหนึ่งในสามศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (รองจากศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ จังหวัดเกียวโต และศาลเจ้าคาสะมะ จังหวัดอิบาระกิ) ที่บริเวณทางเข้าศาลเจ้าจะมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอก ตามตำนานพื้นบ้านเล่าว่าเป็นสัตว์นำสาส์นของเทพเจ้าผู้คนมักจะมาขอพรในเรื่องของการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตร ความสำเร็จในด้านธุรกิจ และการค้าขาย
ภายในศาลเจ้ามีขนาดค่อนข้างกว้าง อาคารหลักของศาลเจ้า หรือฮนเด็น ถูกยกขึ้นโดยโครงสร้างไม้ และด้านข้างจะมีบันไดเพื่อขึ้นไปยังฮนเด็น มีกฎอยู่ว่าให้ขึ้นบันไดทางซ้าย และลงบันไดทางขวาเท่านั้น (ใครที่ขึ้นบันไดไม่ไหวมีลิฟท์ไว้ให้บริการในราคา 300 เยน ขึ้น ลงกี่รอบก็ได้ แถมได้เครื่องรางเป็นที่ระลึกด้วย) เมื่อขึ้นมาสักการะเทพเจ้าเสร็จจะมีมุมขายเครื่องราง และเซียมซี มีคำทำนายเป็นภาษาต่าง ๆ รวมถึงภาษาไทยด้วย
นอกจากนี้ยังมีซุ้มประตูโทริอิที่ทอดยาวไปยังด้านหลังศาลเจ้า ถ้าหากใครมีเวลาก็สามารถเดินเล่นได้ เมื่อเดินลงบันไดด้านขวาจะเห็นวิวเมือง สุดทางลงของบันไดจะมีรูปปั้นม้าอยู่ ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นจากการอ่านคำสลับตำแหน่งจะหมายถึงสิ่งที่เรียกความสุขเข้ามา และเมื่อออกมายังบริเวณหน้าศาลเจ้าจะเจอกับถนนที่ทั้งสองฟากถนนมีร้านขายของฝาก และผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นวางจำหน่ายด้วย
ค่าเข้าชม: ฟรี
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00 – 16:30 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
ร้านเนื้อซากะ SAGA’n RESTAURANT SHINO
มื้อเที่ยงของเราวันนี้เป็นเนื้อซากะที่นำมาปรุงเป็นเมนูต่าง ๆ โดยที่ร้าน SAGA’n RESTAURANT SHINO จะอยู่บนชั้น R หรือชั้นบนสุดของตึก Saga Prefectural Government Office โดยที่ชั้น R จะแบ่งเป็นพื้นที่ชมวิว 360 องศา ได้ฟรี อีกส่วนหนึ่งเป็นร้านอาหาร เมนูที่สั่งเป็นสเต๊กเนื้อซากะ A5 อร่อยละลายในปากเลยทีเดียว และยังมีเมนูอื่น ๆ ให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นแฮมเบิร์ก ข้าวนึ่งหน้าเนื้อซากะ A5 หรือฮิทสึมาบุชิ เป็นร้านอาหารที่มีวิวสวย และอาหารอร่อย ทำให้มีผู้มาใช้บริการจำนวนมาก แนะนำว่าควรจองล่วงหน้า
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน 10:00-22:00 น. / วันอาทิตย์ 10:00-21:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
โรงงานกระดาษสาญี่ปุ่นนาโอวาชิ (Hizen Nao Washi)
การทำกระดาษสาวาชิของซากะ มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 300 ปี จนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ มีเอกลักษณ์คือใช้ ใบโคโซะ ทำให้กระดาษมีความบางแต่ทนทาน ในสมัยก่อนมีการทำกระดาษนี้กันทั้งหมู่บ้าน แต่หลังการปฏิรูปเมจิมีการนำเครื่องจักรเข้ามาใช้เพื่อการผลิตจำนวนมาก จึงทำให้การทำกระดาษวาชิลดลง จนปัจจุบันเหลือเพียงแค่โรงงานนี้เท่านั้นที่ยังคงสานต่อมรดกวัฒนธรรมนี้
ที่นี่เราสามารถเข้าไปชมการทำกระดาษสาอย่างใกล้ชิด สำหรับการทำเวิร์คช็อปพัด เราสามารถเลือกกระดาษสาวาชิที่ชอบ 3 แผ่น จากนั้นทางร้านจะให้คำแนะนำขั้นตอนในการแปะกระดาษเพื่อให้เกิดลวดลายบนพัด โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที สามารถนำผลงานกลับได้ทันที ทั้งนี้ไม่ต้องจองล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีโซนที่เป็นแกลเลอรี่ มีกระดาษสาสวยๆ พร้อมทั้งชิ้นงานที่ประกอบขึ้นจากกระดาษสาวางจำหน่ายไว้อีกด้วย
ค่าใช้จ่าย: 1,500 เยน
เวลาทำการ: (เวิร์คช้อป) 10.30 – 16.00 น. หยุดวันเสาร์-อาทิตย์และ วันหยุดราชการ
เว็บไซต์ | พิกัด
ต่อมาเดินทางมาที่ย่านยานากาวะ (Yanagawa) จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ล่องเรือที่ยานากาวะ (Yanagawa)
กิจกรรมล่องเรือที่ยานากาวะเป็นกิจกรรมที่สนุก สบาย และเพลิดเพลินมาก ๆ เราสามารถล่องเรือไปตามคลองที่แยกมาจากแม่น้ำโอคิโนะฮะตะสายหลัก ชมวิวเมืองเก่า อาคารโบราณทั้งสองฝั่งคลอง อีกทั้งตลอดทางยังมีต้นหลิวที่ลู่ไปตามลม น้ำในคลองใสจนเห็นปลาว่าย และอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของคลองนี้คือน้ำในคลองไม่ลึกมากจึงปลอดภัยต่อการล่องเรือ
คนถ่อเรือสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ทำให้เอนเตอร์เทนผู้โดยสารด้วยการเล่าเรื่อง ชวนคุย รวมไปถึงโชว์กระโดดขึ้นไปบนสะพาน และกลับลงมาถ่อเรือต่อได้ด้วย ส่วนในช่วงฤดูหนาวโต๊ะที่นั่งจะเป็นโคทัตสึหรือโต๊ะที่มีฮีตเตอร์ติดตั้งไว้ด้านใน ทำให้ไม่หนาวเลย หลังจากที่ล่องเรือเสร็จแล้ว สามารถเดินเล่นชมย่านเมืองเก่าที่มีร้านข้าวหน้าปลาไหล และคาเฟ่อยู่มากมาย
ค่าใช้จ่าย: ผู้ใหญ่ 1,600 เยน เด็ก 850 เยน
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00 – 17:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
เดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองคุรุเมะ(Kurume) ใช้เวลาประมาณ 50 นาที เพื่อทานมื้อเย็นและเช็คอินที่โรงแรมในคืนนี้
ร้านอิซากายะ Yugen
ก่อนเช็คอินเข้าโรงแรม เราแวะมาทานมื้อเย็นกันก่อนที่ร้าน Yugen เมนูคือ ยากิโตริ (Yakitori) หรือไก่ย่างเสียบไม้ ที่จังหวัดฟุกุโอกะมีร้านยากิโตริอยู่หลายร้าน และมีมากกว่าร้านราเมงเสียอีก แถมกระจายอยู่ทั่วเมืองเลยทีเดียว ราคาเริ่มต้นที่ไม้ละ 130 เยน มีเมนูให้เลือกหลากหลาย ถ้าหากใครนึกภาพไม่ออกว่าหน้าตาเป็นแบบไหน สามารถเดินไปดูที่ตู้กระจกได้ด้วย
เวลาทำการ: ทุกวัน 17:00-20:00 น.
พิกัด
เดินมาถึงโต๊ะที่เราโทรจองไว้ มีการ์ดนี้วางอยู่ตอนแรกก็งงว่าทำไม มีเหรียญ 10 เยนแปะอยู่ เพราะปกติคนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า ไปศาลเจ้าเราจะหยอดเหรียญ 5 เยน “โกะเอง” พ้องเสียงกับคำว่า “โชคดี” แต่นี่เป็นร้านอิซากายะ แถมเป็น 10 เยนเมื่อถามพนักงานที่ร้านจึงทราบว่า เป็นการ์ดขอบคุณลูกค้าที่มาเยือน โดยทำการโทรมาจองโต๊ะก่อนสำหรับ 10 เยนนั้น เป็นค่าโทรศัพท์ที่โทรมาค่ะ
คืนนี้เราเข้าพักที่โรงแรม Hotel Marital Sosei Kurume ในตัวเมืองคุรุเมะ เพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวที่เมืองฮิตะในวันต่อไปกันค่ะ อ่านบทความตอนต่อไป >> ขับรถเที่ยวคิวชูตอนเหนือ 6 วัน 4 จังหวัด (ครึ่งหลัง)