รีวิวนี้เป็นภาคต่อจากเมื่อครั้งที่แล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมาเรามีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวยังจังหวัดฟุคุชิมะ ถึงแม้ว่าใครๆจะบอกว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แต่อีกหนึ่งข้อดีที่มาทดแทนกับอากาศร้อน ก็น่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติสีเขียวสดใส ดอกไม้และที่แน่นอนผลไม้อร่อยๆพร้อมใจกันออกผลให้รับประทานกันมากมาย

จังหวัดฟุคุชิมะ อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของภูมิภาคโทโฮขุ จังหวัดนี้ยังมีสถานที่สวยๆ ที่น่าสนใจให้เราออกเดินทางไปค้นพบอีกมากมาย อย่างที่เราทราบกันดีว่าฟุคุชิมะจะประสบกับภัยพิบัติสึนามิและแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง แต่คนที่นี่บอกกับเราว่าพวกเค้ากำลังฟื้นตัวและพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

fukushima 1

สามารถอ่านรีวิวตอนแรกได้ที่นี่ >> ตะลุยภาคอีสานญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนที่จังหวัดฟุคุชิมะ ตอน 1


เช้าวันที่ 4 เราเริ่มต้นเดินทางจากสถานีหลัก Koriyama ขึ้นรถไฟสาย JR Ban-etsu-West มาลงที่สถานี Aizu-Wakamatsu โดยวันนี้เราจะท่องเที่ยวกันในแถบของเมือง Aizu-Wakamatsu ด้วยพาสรถบัสสุดประหยัด Aizu Loops Bus One Day Pass ในราคาเพียง 500 เยน สามารถขึ้นลงรถบัสในแถบนี้ได้ตลอดทั้งวัน โดยจะแบ่งการท่องเที่ยวด้วยพาสรถบัสสุดประหยัดนี้เป็นเวลา 2 วันด้วยกัน

ออกจากสถานี Aizu-Wakamatsu เดินตรงไปบริเวณลานจอดรถจะพบกับจุดขายตั๋ว แจ้งกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่ามาซื้อตั๋ว One Day Bus พร้อมเงิน 500 เยน พนักงานจะยื่นตั๋วและแผนที่การเดินรถ

ด้านหน้าสถานี Aizu-Wakamatsu

เดินตรงมาเรื่อยๆจะเจอกับป้ายนี้

ด้านหลังของป้ายจะเป็นจุดจำหน่ายตั๋วรถบัสย้อนยุค

โดยที่รถบัสย้อนยุคจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือรถ Akabe (รถมินิบัสคันสีแดงสด) จะวิ่งวนตามเข็มนาฬิกาและรถบัสย้อนยุค Haikarasan (ลักษณะคล้ายกับรถรับส่งนักเรียนสีเขียวเข้มและแดงเลือดหมู) จะวิ่งวนทวนเข็มนาฬิกาเป็นลูปวงกลม

ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่หลงอย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องดูเวลารอบรถแล้วแพลนการเดินทางให้ดี เนื่องจากรอบรถในแต่ละเที่ยวนั้นจะไม่ได้มาทุกครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง ก่อนเราลงที่ป้ายไหนควรถ่ายภาพเวลาการเดินรถไว้ซึ่งจะมีติดไว้ที่ป้ายบอกสถานี แต่สำหรับใครที่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็จะง่ายหน่อย เนื่องจากเจ้าหน้าที่จะแจกแผ่นตารางการเดินรถให้กับเราสามารถเช็ครอบรถได้เลย

หน้าตาของตั๋วรถบัสแบบ 1 Day Pass


เริ่มต้นที่แรกปราสาท Tsuruga หรืออีกชื่อหนึ่งคือปราสาท Aizu-Wakamatsu ปราสาทเพียงแห่งเดียวของญี่ปุ่นที่มุงหลังคาด้วยกระเบื้องเคลือบสีแดงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ก่อนเข้าชมปราสาท จะต้องเสียค่าเข้าชมก่อน แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าชมแบบเป็นแพคเกจซึ่งสามารถเข้าชมได้ 3 สถานที่ ทั้งปราสาท Tsuruga, โรงน้ำชา Rinkaku Tea House และสวน Oyakuen ในราคาเพียง 720 เยน

ปราสาท Tsuruga ถูกสร้างขึ้นในราวปีค.. 1384 ปราสาทแห่งนี้มีการเปลี่ยนผู้ปกครองมาหลายครั้งในช่วงที่บริเวณนี้ยังเป็นภูมิภาค Aizu ได้ถูกทำลายลงหลังจากเกิดสงคราม Boshin เมื่อปีค..1868 ก่อให้เกิดการจลาจลต่อต้านรัฐบาลสมัยเมจิ ทำให้สิ้นสุดยุคศักดินาและได้ยึดอำนาจท่านโชกุนโทคุกะวะ

ต่อมาปราสาทได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ด้วยคอนกรีตในปีค.. 1960 จากนั้นสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.. 2011 ด้านในตัวปราสาทได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ละชั้นจะเล่าถึงประวัติความเป็นมา พร้อมแสดงข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่าในอดีตไว้ในคนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยนักท่องเที่ยวยังสามารถเดินขึ้นไปชมวิวแบบ 360 องศาบนชั้นสูงสุดของตัวปราสาทได้อีกด้วย

ภาพแสดงประวัติของเหล่า 19 ซามูไรเสือขาว Byakkotai แห่งยอดเขา Iimori

บรรยากาศด้านบนทิวทัศน์โดยรอบเมื่อมองจากจุดชมวิวด้านบนสุดของตัวปราสาท

ปราสาท Tsuruga
เวลาเปิดทำการ : 08.30-17.00 . (เข้าชมก่อน 16.30.)
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : 410 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Tsurugajo Kitaguchi เดินต่อประมาณ 5 นาที


ภายในบริเวณสวนของปราสาทยังเป็นที่ตั้งของโรงน้ำชา Rinkaku Tea House ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีชงชาของบรรดาขุนนางในอดีต รอบๆเป็นสวนหย่อมขนาดเล็ก นักท่องเที่ยวสามารถทดลองจิบชาเขียวแบบต้นตำรับ เสริฟพร้อมไดฟุกุรสชาดหวานเพื่อช่วยตัดรสขมของชาเขียว เพลิดเพลินไปกับสวนสวยๆให้ความรู้สึกเหมือนกับได้ย้อนยุคกลับไปในอดีต

ศาลาจำลองใช้สำหรับชงชา

เซทชาเขียวและขนมไดฟุกุราคา 600 เยน

โรงน้ำชา Rinkaku Tea House

เวลาเปิดทำการ : 08.30-17.00 . (เข้าชมก่อน 16.30.)

วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน

ค่าใช้จ่าย : 200 เยน (ไม่รวมเซทชาเขียวและขนมไดฟุกุราคา 600 เยน)

การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Tsurugajo Kitaguchi เดินต่อประมาณ 5 นาที


จากนั้นโดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่สถานี Oyakuen เพื่อชม สวนโอยะคุเอ็น (Oyakuen) สวนสวยภูมิทัศน์สไตล์ญี่ปุ่น โดยสวนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น สวนแห่งสมุนไพรมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เพื่อสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้แก่ประชาชนหันมาปลูกพืชสมุนไพร องค์ประกอบหลักของสวนแห่งนี้ประกอบด้วย บ่อน้ำที่เป็นศูนย์กลาง เส้นทางเดินคดเคี้ยวรอบๆบ่อ อาคารต่างๆมากมายเช่น โรงน้ำชา ร้านจำหน่ายของที่ระลึก และห้องรับประทานอาหาร

ตึกของเจ้าหญิง Setsuko

สามารถนั่งจิบชาเขียวเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่สวยงามของสวน

สวน Oyakuen
เวลาเปิดทำการ : 08.30-17.00 . (เข้าชมก่อน 16.30.)
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : 320 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Oyakuen


ชมความงามของธรรมชาติที่ Higashiyama Onsen หมู่บ้านน้ำพุร้อนอนเซ็นที่มีชื่อเสียงและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานมากกว่า 1,300 ปี ตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขาทางทิศตะวันออกของเมือง Aizu-Wakamatsu ในอดีตสถานที่แห่งนี้ใช้เป็นที่สำหรับผ่อนคลายแช่น้ำพุร้อนของบรรดาไดเมียวและซามูไรในเขตไอสึ บริเวณอนเซ็นแห่งนี้มีโรงแรมขนาดใหญ่ 2-3 แห่งและร้านค้าเปิดบริการให้แก่นักท่องเที่ยว

โดยเรียวกังที่โดดเด่นที่สุดในพื้นที่คือ Mukaitaki Ryokan ด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอาคารด้วยไม้แบบดั้งเดิม ซึ่งให้ความรู้สึกแตกต่างจากโรงแรมอื่นๆทั่วไปในบริเวณนี้

อีกทั้งยังมีอนเซ็นแช่เท้าสาธารณะไว้คอยให้บริการฟรีอีกด้วย

หมู่บ้านน้ำพุร้อน Higashiyama Onsen
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Higashiyama Onsen


วันที่ 5 ของการเดินทาง เรายังคงจะท่องเที่ยวกันในแถบของเมือง Aizu-Wakamatsu ด้วยพาสรถบัสสุดประหยัด Aizu Loops Bus One Day Pass ในราคาเพียง 500 เยน สามารถขึ้นลงรถบัสในแถบนี้ได้ตลอดทั้งวัน

สถานที่แรกของวันนี้ เราจะไปท่องเที่ยวกันที่สุสาน 19 ซามูไรเสือขาว Byakkotai แห่งภูเขา Iimoriyama และเจดีย์ไม้ Sazaedo เราโดยสารรถ Aizu Loops Retro Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Iimoriyama Shita

ก่อนขึ้นไปบนยอดเขาอยากให้ลองชิมขนมอร่อยๆแถมยังน่ารัก ที่ร้านขายของฝาก เมื่อลงรถบัสที่ป้ายเดินตรงมาถึงทางแยกก่อนจะขึ้นยอดเขา ให้เลี้ยวไปทางซ้ายมือเดินตรงไปไม่ไกล จะพบกับร้านขายของฝาก ซึ่งขนม Ko Bou Shi YaKi จะมีลักษณะคล้ายกับไทยากิแต่ทำเป็นรูปภูเขา Iimori มีให้เลือกสองรสชาติทั้งไส้ครีมคัสตาร์ดและไส้ถั่วแดง สนนราคาเพียงชิ้นละ 100 เยนเท่านั้น

เดินขึ้นไปยังยอดเขา Iimori สำหรับใครที่เดินขึ้นเขาไม่ไหว ที่นี่ยังมีบันไดเลื่อนให้บริการขึ้นไปยังด้านบนของยอดเขาแต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย 250 เยน

กล่าวกันว่ายอดเขา limori ยังมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นสถานที่สุดท้ายของเหล่าลูกหลานซามูไรผู้จงรักภักดีต่อท่านโชกุนโทคุกะวะ เหล่าบรรดากลุ่ม Byakkotai หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่ากลุ่มเสือขาว เด็กชายทั้ง 19 คน ได้ทำการจบชีวิตด้วยการทำฮาราคีรีด้านบนยอดเขา limori เพื่อรักษาเกียรติแห่งซามูไรเอาไว้ หลังจากได้ขึ้นมาบนยอดเขาแห่งนี้แล้วมองไปเห็นตัวปราสาท Tsuruga ด้านล่างถูกไฟไหม้จนหมดสิ้น ต่อมาได้มีการสร้างสุสานเพื่อเป็นเกียรติรำลึกถึงจิตวิญญาณและความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวให้กับกลุ่มนักรบ Byakkotai

จากมุมมองด้านนี้สามารถมองไปได้ไกลถึงตัวปราสาท Tsuruga

เดินไปทางด้านทิศเหนือ ไม่ไกลกันมากเป็นที่ตั้งของเจดีย์ Sazaedo สร้างด้วยไม้จริงหมดทั้งหลัง เจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.. 1796 มีอายุกว่า 200 ปี จนกระทั่งเมื่อปีค.. 1995 ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกแห่งชาติทางวัฒนธรรม ตัวเจดีย์มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสวยงามและแปลกตา โดยมีลักษณะเวียนกันเป็นบันไดวน ด้วยภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นโบราณที่สร้างทางขึ้นและทางลงคนละทาง ทำให้สามารถเดินขึ้นไปถึงด้านบนสุดและเดินลงมาด้านล่างโดยไม่ต้องย้อนกลับมาทางเดิม ค่าเข้าชมตัวเจดีย์ด้านในเพียงแค่ 400 เยนเท่านั้น

ภาพด้านข้างของตัวเจดีย์แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างที่เป็นไม้จริงทั้งหลัง

ด้านบนหลังคาของตัวเจดีย์ Sazaedo

บรรยากาศด้านในตัวอาคารไม้

สุสาน 19 ซามูไรเสือขาว Byakkotai และเจดีย์ Sazaedo
เวลาเปิดทำการ : 08.15-พระอาทิตย์ตกดิน (เดือนเมษายนพฤศจิกายน)
09.00-16.00 (เดือนธันวาคมมีนาคม)
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : 400 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Iimoriyama Shita


จากนั้นเดินทางไปท่องเที่ยวกันต่อที่หมู่บ้านซามูไร Aizu-Bukeyashiki สัมผัสความรู้สึกของการย้อนยุคกลับไปในโลกของซามูไรแห่งเมืองไอสึ

ป้ายแสดงประวัติของคฤหาสน์แห่งนี้รวมทั้งประวัติของท่าน Saigo Tanomo ผู้เป็นเจ้าของบ้าน

บ้านของอดีตซามูไร Saigo Tanomo ในสมัยเอโดะ ที่มีพื้นที่กินบริเวณกว้างกว่า 7 เอเคอร์ ถูกเผาทิ้งเมื่อ 140 ปีก่อนในช่วงยุคสมัยสงคราม Boshin และใช้เวลากว่า 2 ปี ในการบูรณะซ่อมแซมจนกลับมามีสภาพใกล้เคียงของเดิม

ประกอบด้วยอาคารต่างๆมากมายและโรงสีข้าวซึ่งใช้พลังงานกังหันน้ำช่วยในการสีข้าว ซึ่งถือสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขกที่มีความกว้างขนาด 280 เสื่อเป็นอาคารหลังใหญ่ที่มีจำนวนห้องกว่า 38 ห้อง

ภายในแต่ละห้องมีการจัดแสดงวิถีชีวิตของซามูไรในยุคก่อนโดยใช้หุ่นขี้ผึ้งตั้งไว้ให้ดูเสมือนจริง

โรงสีข้าวซึ่งใช้พลังงานกังหันน้ำช่วยในการสีข้าว

เดินมาเรื่อยๆจนสุดทางจะมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้มาประลองความแม่นยำด้วยทดสอบยิงธนู

หมู่บ้านซามูไร Aizu-Bukeyashiki
เวลาเปิดทำการ : 08.30-17.00 . (เดือนเมษายนพฤศจิกายน)
09.00-16.30 . (เดือนธันวาคมมีนาคม)
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 850 เยน / เด็กมัธยม 550 เยน / เด็กประถม 450 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ไปลงที่ป้ายรถบัสสถานี Aizu-Bukeyashiki


มาถึงเมือง Aizu-Wakamatsu ทั้งที อยากให้ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้อย่าง Aizu’s sauce Katsudon ข้าวหน้าหมูทอดนุ่มๆราดด้วยซอสรสอูมามิเข้มข้นแบบฉ่ำๆ ขอบอกเลยว่า สุโก้ยจิงๆสามารถหารับประทานได้ทั่วไป แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเสียเวลาเดินหา ขอแนะนำร้านติดกับสถานี Aizu-Wakamatsu เลี้ยวไปทางขวามือเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ก็จะได้สัมผัสกับรสชาติของอาหารท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อสุดๆ ราคาเซทละ 1,080 เยน


เดินทางมาถึงวันสุดท้ายของทริป อย่างที่ทราบกันดีว่าในช่วงหน้าร้อนของญี่ปุ่นนั้น นอกจากจะมีดอกไม้สวยๆให้ชมแล้ว ช่วงนี้ก็ยังเป็นฤดูกาลของผลไม้ที่กำลังทยอยออกให้รับประทานกันอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่เรามาถึงนั้นเป็นต้นฤดูกาลของลูกพีชหรือที่ชาวญี่ปุ่นเรียกกันว่าโมโมะ และแน่นอนว่ามาเยือนถึงถิ่นจังหวัดฟุคุชิมะต้องไม่พลาดชิมของดีของที่นี่ จังหวัดนี้ยังขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ในการเพาะปลูกลูกพีชได้ผลผลิตเยอะที่สุดของประเทศอีกด้วย

ขอแนะนำสวนที่ไม่ไกลจากสถานีหลักแถมเดินทางได้อย่างสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย เราเริ่มตั้งต้นที่สถานี Fukushima จากนั้นเดินออกทางประตูฝั่งทิศตะวันตก เพื่อไปขึ้นรถบัสประจำทางสาย 1 นั่งไปลงที่ป้ายรสบัสสถานี Kitabayashi ใช้เวลาประมาณ 18 นาที ราคา 520 เยน โดยรถจะออกเป็นรอบๆตามตารางการเดินรถ สำหรับใครที่มากันหลายคนแนะนำว่าให้หารค่าแท็กซี่กันได้เลยจะสะดวกกว่า

ลงที่ป้ายรถบัส Kitabayashi แล้วเดินตรงไปประมาณ 1 นาที จะเห็นสวน Michinoku Tourist Fruit Land อยู่ฝั่งตรงกันข้าม สามารถเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อที่จะเข้าเก็บลูกพีชได้เลย สนนราคาคนละ 860 เยน

สวนผลไม้ Michinoku Tourist Fruit Land

สามารถเก็บจากต้นสดๆทานได้ประมาณ 20-30 นาที ทางสวนจะเริ่มเปิดให้เข้าเก็บตั้งแต่เวลา 08.30-16.00 . โดยลูกพีชที่ออกผลในช่วงนี้จะเป็นสายพันธุ์ Hikawa Hakuho และ Gyosei (Venus) สำหรับสายพันธุ์นี้จะเริ่มต้นตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมไปจนถึงปลายเดือน ส่วนรสชาติของลูกพีชที่สวนนี้นั้นหอม หวาน กรอบ อร่อยสุดๆ ให้ความรู้สึกเด็ดจากต้นแล้วทานสดๆ ฟินสุดๆไปเลย

สำหรับใครที่อยากจะซื้อเป็นของฝากกลับบ้าน ที่สวนก็มีบริการแพ็คใส่กล่องให้อย่างสวยงาม พร้อมบริการส่งพัสดุแมวดำไปยังที่พักแบบไม่ต้องถือให้เมื่อยอีกต่างหาก

สวนผลไม้ Michinoku Tourist Fruit Land
ช่วงเวลาในการเก็บลูกพีช ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนตุลาคม
เวลาเปิดทำการ : 08.30-16.00 .
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 860 เยน / เด็ก 640 เยน
การเดินทาง : โดยสารรถประจำทางหมายเลข 1 จากหน้าสถานีรถไฟ Fukushima ไปลงที่สถานี Kitabayashi ใช้เวลาประมาณ 18 นาที ราคา 520 เยน
เว็บไซต์ : http://www.fruit-land.com/


จากนั้นเราเดินทางกลับยังสถานี Koriyama เพื่อเดินทางไปสักการะศาลเจ้าชื่อดังของเมือง ศาลเจ้า Kaiseizan Daijingu เดินทางไม่ไกลจากตัวสถานี Koriyama โดยสารรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาที ค่าโดยสารประมาณ 1500-1600 เยน หรือสามารถนั่งรถบัสประจำทางหมายเลข 8, 9 และ 10 ลงที่สถานีรถบัส สวน Kaiseizan Park 

ศาลเจ้า Kaiseizan Daijingu เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ในศาสนาชินโต สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.. 1876 ตัวศาลเจ้าหลักสร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างงขึ้นเพื่อเป็นที่สถิตย์ของจิตวิญญาณแห่งศาลเจ้า Ise ได้รับการขนานนามว่าเป็น “Oisesama แห่งภูมิภาคโทโฮคุในช่วงปีใหม่ที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีผู้คนจำนวนมากเดินทางเพื่อมาขอพรให้ราชวงศ์และประเทศญี่ปุ่นมีความเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งยังสามารถขอพรให้ตัวเองให้โชคดีในเรื่องต่างๆตามความปรารถนา ภายในบริเวณศาลเจ้ายังมีศาลเจ้าเล็กๆอีกมากมาย โดยช่วงที่เราเดินทางไปนั้น จะเห็นผู้ปกครองต่างอุ้มทารกแรกเกิดเข้ามาให้พระสงฆ์ทำพิธีให้หลายครอบครัว

ตามธรรมเนียมก่อนเข้าศาลเจ้าต้องชำระร่างกายให้สะอาดก่อนจะเข้าไปขอพรกับเทพเจ้า

ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า Kaiseizan Daijingu

ศาลเจ้าหลักที่สร้างด้วยไม้จริงทั้งหลัง สวยงามมากๆ

ศาลเจ้า Kaiseizan Daijingu
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่มีค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : โดยสารรถแท็กซี่ประมาณ 10 นาที ค่าโดยสารประมาณ 1500-1600 เยน หรือสามารถนั่งรถบัสประจำทางหมายเลข 8,9 และ 10 ลงที่สถานีรสบัสสวน Kaiseizan Park

แล้วติดตามกันต่อว่าในทริปต่อไปเราจะพาเพื่อนๆไปท่องเที่ยวที่ไหนกันอีกครับ…