เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางทีมงานเราได้เดินทางไปเส้นทางที่เรียกว่า Diamond Route กันอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการเที่ยวด้วยรถเช่า ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน เน้นตะลุยเก็บสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในเขตไอซุ จังหวัดฟุคุชิมะ และ จังหวัดอิบารากิ
เราตั้งต้นจากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟชินคังเซ็นขบวน Yamabiko มาลงที่สถานี Koriyama ที่จังหวัดฟุคุชิมะ จากนั้นรับรถเช่าแล้วขับไปตะลุยกันที่เมือง Aizu-Yanaizu, Mishima, Aizu-Wakamatsu จากนั้นข้ามมาที่จังหวัดอิบารากิ เพื่อเที่ยวเมือง Daigo, Hitachiota, Kasama, Mito ก่อนกลับเข้าสนามบินนาริตะ
โดยมีแผนเที่ยวคร่าวๆตามรายละเอียดด้านล่างนี้ สามารถเที่ยวตามได้เลย จะไปไหนกันบ้างตามไปชมกันครับ
เมืองไอซุยะนะอิซุ (Aizu-Yanaizu) เป็นเมืองอนเซ็นเล็กๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของ วัวแดงอะกะเบโกะ (Akabeko) ที่มีประวัติศาสตร์นานกว่า 400 ปี (เชื่อว่าถ้าใครเคยไปเที่ยวโซนนี้ ต้องจำเจ้าวัวแดงตัวนี้ได้) มีวัดเอ็นโซจิ (Enzoji) อันทรงคุณค่า อายุกว่า 1,200 ปี เป็นศูนย์กลาง และยังเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดของเมือง นอกจากนี้ยังมุมถ่ายภาพยอดนิยม สะพานโค้งสีแดงที่ทอดผ่านแม่น้ำทะดะมิ ที่สามารถถ่ายจากระเบียงวัดได้ด้วย
สำหรับใครที่มาเมืองนี้ต้องไม่พลาดลอง 2 เมนูดัง ถ้าเป็นอาหารต้องยกให้ Sauce Katsu Don ข้าวหน้าหมูทอด ที่มาพร้อมกับไข่และน้ำซอสกลมกล่อม ส่วนของหวานต้องเป็น ซาลาเปาอาวะมันจู สอดไส้ถั่วแดง ยิ่งถ้าได้ทานตอนเสร็จใหม่ๆ จะอร่อยเป็นพิเศษ
- การเดินทาง: จากสถานี Aizu-Wakamatsu ขึ้นรถไฟสาย Tadami ลงสถานี Aizu-Yanaizu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นเดินประมาณ 10 นาที
วัดเอ็นโซจิ (Enzoji) วัดชื่อดังประจำย่านไอซุประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี มีชื่อเรียกเต็มๆว่า Fukuman Kokuzo Bosatsu Ensoji ซึ่งเป็นหนึ่งในสาม สถานที่สักการะพระโพธิสัตว์โคคุโซที่สำคัญของญี่ปุ่น (อีก 2 แห่งตั้งอยู่ที่ จังหวัดอิบารากิ และ จังหวัดชิบะ)
*กรุณารักษาความสงบภายในบริเวณวัด เนื่องจากเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ มิใช่สถานที่ท่องเที่ยว และไม่สามารถถ่ายรูปด้านในวิหารได้
ตามประวัติศาสตร์ วัดแห่งนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นจากพระมหาเถระชั้นผู้ใหญ่ โคโบไดชิ (Kobodaishi) ได้รับไม้ศักดิ์สิทธิ์มาจากพระเกจิสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อนำกลับมาญี่ปุ่น ท่านได้แบ่งต้นไม้ออกเป็น 3 ส่วน โยนลงสู่ทะเล และไม้ดังกล่าวได้ลอยไปยังบริเวณจังหวัด อิบารากิ ชิบะ และ ฟุคุชิมะ (ซึ่งก็คือพื้นที่ยานาอิสุในปัจจุบัน) อีกทั้งท่านโคโบไดชิ ยังได้ใช้ไม้ศักดิ์สิทธิ์แกะสลักเป็นพระโพธิสัตว์โคคุโชขึ้นมา ก่อนที่จะมีการสร้างวิหารวัดในปีค.ศ.807
ด้านหลังขอวัดมีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงและสวยคลาสสิคมาก
ฝาท่อประจำเมืองยะนะอิซุ
ได้เวลาทานอาหารเที่ยง วันนี้เราเลือกทานที่ร้าน Susuya Shokudo ที่ขึ้นชื่อเรื่องข้าวหน้าหมูทอด คุณป้าเจ้าของร้านน่ารักและใจดีมาก แถมยังทำอาหารอร่อยสุดๆไปเลย
- เวลาทำการ: 11.00-14.00 น.
- วันหยุด: ทุกวันที่ 7,17,27
เมนูชื่อดัง ข้าวหน้าหมูทอด Sauce Katsu Don ที่มาพร้อมกับไข่และน้ำซอสกลมกล่อม ซึ่งเป็นซอสนี่มีแค่เฉพาะที่เมืองยะนะอิซุเท่านั้น
ส่วนขนมหวานจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจาก ซาลาเปาอาวะมันจู (Awamanju) ของขึ้นชื่อประจำเมือง ซึ่งถือกำเนิดมานานกว่า 190 ปีแล้ว โดยมีเรื่องราวเล่าต่อกันมาว่า ในครั้งนั้นได้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่านเจ้าอาวาสวัดเอ็นโซจิจึงได้ให้ร้านขนมที่อยู่ด้านหน้าวัดทำซาลาเปาอาวะมันจูขึ้นมา โดยอธิษฐานขอให้ไม่เกิดอัคคีภัยอีกตามชื่อเรียก (อาวะไน แปลว่า ไม่เกิดขึ้น) แล้วนำไปสักการะ จึงเป็นที่มา
ตัวขนมด้านนอกเป็นแป้งสีเหลืองทำมาจากข้าวฟ่าง เวลาเคี้ยวจะมีความกรุบจากข้าว และสอดไส้ถั่วแดง ปัจจุบันมีร้านค้าหลายร้าน สามารถหาซื้อทานได้ง่าย แนะนำว่าต้องทานตอนเสร็จใหม่ๆ จะให้รสสัมผัสที่ทั้งนุ่มและอุ่น อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมทดลองทำด้วยตัวเองได้อีกด้วย
ทำความรู้จักกับครอบครัววัวแดงอะกะเบโกะ
ครอบครัววัวแดงอะกะเบโกะ (Akabeko) มีสมาชิก 4 ตัวประกอบไปด้วย คุณพ่อฟุคุทาโร่, คุณแม่มิตสุโกะ, ลูกชายโมคุง และ ลูกสาวไอจัง ซึ่งสมาชิกทั้งสี่ได้กระจายตัวอยู่ในเมืองยะนะอิสุ ที่เป็นบ้านเกิดของพวกเขานั่นเอง
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า เมื่อปีค.ศ.1611 ได้เกิดเหตุการ์ณแผ่นดินไหวครั้งใหญ่บริเวณไอซุ ทำให้วิหารวัดและบ้านเรือนพังทลายลง แต่ 6 ปีต่อมาได้เริ่มทำการสร้างวัดขึ้นมาใหม่ บนแผ่นหินขนาดใหญ่ แต่กลับพบอุปสรรค ไม่สามารถนำไม้ท่อนใหญ่ที่ได้รับบริจาคนั้นขึ้นมาได้ ทันใดนั้นกลับมีฝูงวัวขนสีแดงปรากฏตัวขึ้นมา ช่วยขนไม้จนสามารถสร้างวัดขึ้นมาใหม่ได้ในที่สุด นับตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านจึงมีความศรัทธาในวัวแดง ซึ่งเป็นสัตว์นำโชคที่จำช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่างๆ และคิดหวังสิ่งใดจะสมปรารถนา
เดินชมบรรยากาศแสนสงบภายในเมือง
เมืองนี้ยังเคยใช้เป็นโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Jinuyo Saraba อีกด้วย
ถ้าพูดถึงเมืองยะนะอิซุแล้ว จะไม่กล่าวถึง เทศกาลที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้เลยคงไม่ได้ ซึ่งเทศกาลนั้นมีชื่อเรียกว่า นาโนะคะโดะฮะดะกะไมริ (Nanokado Hadaka-mairi) หรือเทศกาลเปลือย นั่นเอง ซึ่งจะจัดขึ้นในคืนวันที่ 7 มกราคม (เวลา 20.30 น.) เป็นประจำทุกปี มีประวัติศาตร์ยาวนานมานับพันปี
โดยท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็น เหล่าผู้ชายจะนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว แข่งกันปีนขึ้นไปด้านบนของวิหารคิกโคโด ที่วัดเอ็นโซจิ อย่างขยันขันแข็งตามเสียงระฆังที่ดังกังวาล โดยเชื่อว่าจะส่งผลให้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ประสบกับความสุขตลอดทั้งปี
จุดชมวิวสะพานแม่น้ำทะดะมิ (Tadami River Bridge View Point) เมืองมิชิมะ จังหวัดฟุคุชิมะ
จุดตั้งต้นสำหรับการเดินไปชมวิวนี้ จะอยู่ที่จุดจอดพักรถ Michi no eki Ozekaido Mishima-juku 道の駅尾瀬街道みしま宿 และสามารถเดินขึ้นไปยัง viewpoint ได้เพียง 5 นาที โดยสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ Aizu-Miyashita และมีรถบัสมายังจุดจอดพักรถ ใช้เวลา 5 นาที หรือเดินมาได้ใช้เวลา 40 นาที
มีภาษาไทยต้อนรับด้วย
ด้านในขายผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นทั้งของสดและของฝาก ผลไม้แต่ละอย่าง มีขนาดใหญ่ยักษ์ทั้งนั้น
ดูอย่างหัวไชเท้าสิครับ ใหญ่กว่าของบ้านเราสัก 3 เท่าได้
เชื่อว่าภาพนี้น่าจะคุ้นตาของใครหลายคน เพราะขึ้นปกนิตยสาร และโปสเตอร์โปรโมทการท่องเที่ยวมานับครั้งไม่ถ้วน ฤดูที่เปลี่ยนทำให้เสน่ห์ของมุมนี้แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง ที่มีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสี และฤดูหนาวที่มีหิมะโอบล้อมให้ทุกอย่างขาวสนิท
ก่อนไปถึงจุด Viewpoint ทางเจ้าหน้าที่พาเราขึ้นมาด้านบน เป็นมุมลับที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า
และขับพามาชมสะพานสามพี่น้อง Arch 3 Kyodai ที่สามารถมองเห็นสะพานทั้งสามตัดผ่านกัน
และแล้วก็ใกล้เวลาที่รถไฟจะเดินทางมาถึง กลับมาเตรียมตัวกันที่ด้านหน้าทางขึ้น Tadami River Viewpoint กัน
มีจุดชมทั้งหมด 4 จุด A, B, C, D ก็จะได้มุมภาพต่างกัน
ภาพของรถไฟสาย Tadami ที่วิ่งผ่านสะพานข้ามแม่น้ำทะดะมิ ที่ใน 1 วันจะวิ่งผ่านเพียงไม่กี่รอบเท่านั้น ซึ่งถ้าใครอยากจะมาเก็บภาพนี้ จะต้องวางแผนให้ดี สามารถดูตารางรถไฟได้จากภาพ
ถ้าใครเดินขึ้นไหว แนะนำให้ขึ้นมาที่ด้านบนสุดที่จุด D
รถไฟกำลังเดินทางมาแล้ว ตรงเวลามากๆ
เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่จะได้ภาพช็อตนี้
บรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสี ทำให้มุมนี้มีเสน่ห์มากเหลือเกิน
สำหรับค่ำคืนแรกเราเข้าพักที่โรงแรมโอคะวะโซ Aizu Ashinomaki Onsen Ookawasou รีสอร์ทสำหรับคนรักการแช่ออนเซ็น ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านน้ำพุร้อนอะชิโนะมะกิ (Ashinomaki Onsen) ที่โอบล้อมด้วยลำธารและหุบเขาโอคาวะ (Ookawa Valley) ที่จะได้ผ่อนคลายกับน้ำพุร้อนจากธรรมชาติ และชมวิวของหุบเขาตรงเบื้องหน้า โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่จะสวยงามเป็นพิเศษ
- ราคาห้องพัก: ห้องพักแบบญี่ปุ่น รวมอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็น สำหรับ 2 ท่าน เริ่มต้น 6,700 บาท
- การเดินทาง: สถานี Ashinomaki นั่งรถบัส 10 นาที (ต้องจองรถบัสล่วงหน้า)
- เว็บไซต์
ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครับ กว้างใหญ่ มีห้องพัก 110 ห้อง รองรับแขกได้มากถึง 650 คน
มีห้องอาหารที่เลือกสรรวัตถุดิบท้องถิ่นให้บริการในแบบบุฟเฟต์
มีกิจกรรมทำโมจิกันแบบสดใหม่ ในช่วงกลางคืนให้ได้ร่วมสนุกกันก่อนเข้านอน
นอกจากนี้มีโรงอาบน้ำรวมแบ่งชายหญิง ที่ใช้น้ำแร่จากธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาหารภาวะหลอดเลือดแข็ง รอยแผลลึกตามผิวหนัง แผลไหม้พุพอง ได้ดีอีกด้วย
ตื่นเช้ามาก็ได้เจอภาพมุมนี้จากระเบียงห้องพัก
เมืองไอซุวะกะมัตสุ (Aizu-Wakamatsu) พื้นที่ตอนกลางของเขตไอซุ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่ขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของ ปราสาททสึรุกะ ที่ขึ้นชื่อว่าเข้าพิชิตยาก มีตำนานยาวนานกว่า 600 ปี อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้เรื่องราวของซามูไรได้เป็นอย่างดี สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ทุกฤดู ไม่ว่าจะมาชมซากุระ ใบไม้เปลี่ยนสี หรือหิมะ
- การเดินทาง จากสถานี Koriyama ขึ้นรถไฟสาย Ban-etsu West ลงสถานี Aizu-Wakamatsu ใช้เวลา 1 ชั่วโมง
เจ้าหน้าที่เมืองไอซุมาต้อนรับอย่างอบอุ่น
เมื่อเข้าสู่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังพีคสุดๆ
มุมถ่ายรูปก่อนเข้าไปด้านในปราสาท ลองมองหาก้อนหินรูปหัวใจกันดูนะครับ
บริเวณสวนรอบปราสาท มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมตลอดทาง
ปราสาททสึรุกะ (Tsurugajō) สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1384 และได้ถูกทำลายในช่วงสงครามโบชินในปี 1868 ตัวปราสาทได้มีการสร้างขึ้นใหม่ เสริมคอนกรีตในช่วงปี 1960 และเปลี่ยนจากหลังคาสีเทา เป็นสีแดง ให้มีความโดดเด่นมากขึ้น สร้างเสร็จเมื่อปี 2011 ด้านในตัวปราสาทได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่ละชั้นจะเล่าถึงประวัติความเป็นมา รวมถึงประวัติของเหล่า 19 ซามูไรเสือขาว Byakkotai แห่งยอดเขา Iimori พร้อมแสดงยุทโธปกรณ์ สมบัติล้ำค่าในอดีต สามารถขึ้นไปบนยอดปราสาท ชมวิวของเมืองรอบๆ และสวน Tsuruga Castle Park ที่อยู่รอบปราสาทด้วย
- เวลาเปิดทำการ : 8.30-17.00 น. (เข้าชมก่อน 16.30น.)
- วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
- ค่าใช้จ่าย : 410 เยน
- การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ลงป้าย Tsurugajo Kitaguchi เดินต่อประมาณ 5 นาที
แนะนำให้ซื้อตั๋วเข้าชมแบบเป็นแพคเกจซึ่งสามารถเข้าชมได้ 3 สถานที่ ทั้งปราสาท Tsuruga, โรงน้ำชา Rinkaku Tea House และสวน Oyakuen ในราคาเพียง 720 เยน
ในอดีตจะมีการวางก้อนหินไว้ด้านหน้าทางเข้า เพื่อบ่งบอกว่ามีลูกค้าใช้บริการอยู่ ส่วนประตูทางเข้าทำเป็นช่องขนาดเล็ก เพื่อให้ทุกคนได้ก้มหัวลอดผ่านเข้าไป เปรียบเสมือนว่า ไม่ว่าจะสูงต่ำเพียงใด ทุกคนจะต้องก้มคำนับเพื่อเข้าสู่พิธีการชงชาที่นำมาซึ่งความสงบสุขทางใจ
ชาเขียวหอมและมีรสชมเข้าได้กับขนมหวานกำลังดี
ดื่มชาเสร็จแล้ว ก็เดินชมใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อ
และที่บริเวณร้านขายของฝากด้านหน้าทางเข้า สามารถเข้าร่วมกิจกรรมทำวัวแดงอากะเบโกะในแบบของตัวเองได้อีกด้วย ในราคาเพียง 1,000 เยน
วาดอะไรก็ได้ในแบบของเราได้ตามใจชอบ
ของที่ระลึก และ ตุ๊กตานำโชคต่างๆ หาซื้อได้ที่นี่
มีของที่ระลึกประจำเมืองที่มีคาเเรคเตอร์ของซานริโออย่าง คิตตี้ และ กุเดทะมะ ด้วย
สำหรับมื้อเที่ยงของวันนี้ เราฝากท้องกันที่ร้าน Medetaiya ที่ขึ้นชื่อเรื่องราเม็ง เมนูแนะนำให้เลือกน้ำซุปซอสโชยุ และเพิ่มหมูชาชูนุ่มๆ ในราคา 800 เยน
- เวลาทำการ: 11.00-21.00 น. (วันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ปิด 20.00 น.)
- วันหยุด: ทุกวันอังคาร
- การเดินทาง: จากปราสาททสุรุกะ เดิน 20 นาที
- เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น)
หมู่บ้านซามูไรไอซุบุเคะยะชิกิ (Aizu-Bukeyashiki) ย้อนยุคกลับไปในโลกของซามูไรแห่งเมืองไอสึ บ้านของอดีตซามูไร Saigo Tanomo ที่มีพื้นที่กินบริเวณกว้างกว่า 8,000 ตร.ม. ถูกเผาทิ้งเมื่อ 150 ปีก่อนในช่วงยุคสมัยสงครามโบชิน และใช้เวลากว่า 2 ปี ในการบูรณะซ่อมแซมจนกลับมามีสภาพใกล้เคียงของเดิม
- เวลาเปิดทำการ : 8.30-17.00 น. (เดือนเมษายน–พฤศจิกายน) / 9.00-16.30 น. (เดือนธันวาคม–มีนาคม)
- วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
- ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 850 เยน / เด็กมัธยม 550 เยน / เด็กประถม 450 เยน
- การเดินทาง : โดยสารรถ Aizu Loops Bus ลงป้าย Aizu-Bukeyashiki
ภายในประกอบด้วยอาคารต่างๆมากมายและโรงสีข้าวซึ่งใช้พลังงานกังหันน้ำช่วยในการสีข้าว ซึ่งถือสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นห้องรับแขกที่มีความกว้างขนาด 950 ตร.ม.เป็นอาคารหลังใหญ่ที่มีจำนวนห้อง 38 ห้อง ภายในแต่ละห้องมีการจัดแสดงวิถีชีวิตของซามูไรในยุคก่อนโดยใช้หุ่นและเครื่องใช้ภายในบ้านตั้งไว้ให้ดูเสมือนจริง
ฉากอันแสนเศร้าของสตรีแกร่งที่ปกป้องบ้านและครอบครัวอย่างสมเกียรติในวาระสุดท้ายของชีวิต
สวนของที่นี่ก็เป็นอีกจุดที่แนะนำให้มาชมใบไม้เปลี่ยนสีเช่นกัน
ก่อนถึงทางออก มีจุดให้ลองฝึกเล่นยิงธนู
ด้านหน้าเป้นทั้งร้านขายของฝากที่สามารถทำการคืนภาษีได้ และยังมีร้านอาหารบรรยากาศดี ในราคามิตรภาพด้วย
แล้วตอนหน้าเราจะพาข้ามไปเที่ยวที่จังหวัดอิบารากิกัน ตามไปอ่านกันได้ที่นี่เลย >>