Fukushima: ตะลุยอีสานญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนที่ จังหวัดฟุคุชิมะ ตอน 1

เมื่อเดือนที่ผ่านมาเรามีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวยังจังหวัดฟุคุชิมะ ถึงแม้ว่าใครๆจะบอกว่าฤดูร้อนของญี่ปุ่นนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ แต่อีกหนึ่งข้อดีที่มาทดแทนกับอากาศร้อน ก็น่าจะเป็นความสวยงามของธรรมชาติสีเขียวสดใส ดอกไม้และที่แน่นอนผลไม้อร่อยๆพร้อมใจกันออกผลให้รับประทานกันมากมาย

จังหวัดฟุคุชิมะ อีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของภูมิภาคโทโฮขุ จังหวัดนี้ยังมีสถานที่สวยๆ ที่น่าสนใจให้เราออกเดินทางไปค้นพบอีกมากมาย อย่างที่เราทราบกันดีว่าฟุคุชิมะจะประสบกับภัยพิบัติสึนามิและแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง แต่คนที่นี่บอกกับเราว่าพวกเค้ากำลังฟื้นตัวและพร้อมที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว

เราเดินทางถึงสนามบินฮาเนดะในช่วงเช้า จากนั้นโดยสารรถไฟโมโนเรียลไปลงที่สถานี Hamamatsucho ไปเปลี่ยนเป็นสาย Yamanote จากนั้นไปลงที่สถานี Tokyo เพื่อโดยสารรถไฟชินคังเซ็นขบวน Yamabiko ลงที่สถานี Fukushima ใช้เวลาประมาน 90 นาที เดินออกทางประตูด้านทิศตะวันออก จะพบกับศูนย์ให้ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ใครที่อยากจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่กิน สามารถเข้าไปขอข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ด้านในได้เลย

จากนั้นเดินไปทางซ้ายมือเพื่อที่จะโดยสารรถไฟสายท้องถิ่น Fukushima Kotsu Iizaka มาลงที่สถานี Iizaka Onsen ใช้เวลาประมาณ 24 นาที โดยเป้าหมายของเราในวันนี้จะพาไปสัมผัสกับความวินเทจกันที่เมืองอนเซ็นเก่าแก่ Iizaka Onsen Town

หมู่บ้านอิอิซะกะอนเซ็น (Iizaka Onsen Town) ตามประวัติศาสตร์กล่าวไว้ว่าที่นี่เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่ท่านมัตสึโอะ บะโช ผู้เป็นเจ้าของบทกวีชื่อดัง “The Narrow Road” เคยมาเยือน

บริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟ Iizaka Onsen

สถานที่แรกของวันนี้เราจะไปกันที่ Kyu Horikiri Tei บ้านของคหบดีเก่าที่จะพาย้อนอดีตไปในสมัยเอโดะ สภาพอาคารเก่าแต่ยังคงถูกรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม บูรณะตกแต่งไว้อย่างเรียบร้อยสวยงาม

ภายในบ้านมีหลายอาคาร แบ่งเป็นห้องต่างๆมากมายเก็บรักษาข้าวของเครื่องใช้เมื่อครั้งในอดีต เดินเข้ามาภายในจะพบกับส่วนต้อนรับด้านในมีการฉายวิดิทัศน์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองฟุคุชิมะและสถานที่แห่งนี้

นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาหาข้อมูลพร้อมขอรับผ้าเช็ดเท้าไว้เช็ดหลังแช่อนเซ็นเท้าได้ที่นี่ฟรี

โกดังเก่าใช้สำหรับเก็บข้าวและในบางช่วงก็จะใช้เป็นโรงบ่มสาเก

อีกทั้งบริเวณสวนภายนอกที่ตกแต่งได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม

บริเวณด้านในแบ่งเป็นห้องต่างๆหลากหลายห้อง ใช้สำหรับรับแขกและใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ บอกเล่าประวัติความเป็นมาของคฤหาสน์หลังนี้

ด้านในสุดเป็นที่ตั้งของอนเซ็นสำหรับแช่มือและเท้าให้นักท่องเที่ยวได้มานั่งผ่อนคลายได้แบบสบายๆไม่เสียเงินพร้อมมีผ้าขนหนูเช็ดเท้าไว้คอยให้บริการอีกด้วย

บ้านคหบดีเก่า Kyu Horikiri Tei
เวลาเปิดทำการ : 09.00-21.00 .
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย

เดินออกมาด้านนอก ไม่ไกลกันมากเป็นที่ตั้งของโรงอาบน้ำสาธารณะ Saba no Yu ที่ใช้กันมาตั้งแต่ในสมัยอดีต

โรงอาบน้ำสาธารณะเก่าแก่แห่งนี้สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง รูปทรงสีเหลี่ยมผืนผ้า มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานตั้งแต่ก่อนสมัยเอโดะและมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่าน้ำแร่ของที่นี่มีคุณสมบัติช่วยให้หายจากโรคภัยต่างๆ ปัจจุบันยังคงเปิดให้เข้าใช้บริการได้อยู่ ติดกันเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Sabako ที่เชื่อกันว่าเป็นต้นกำเนิดของอนเซ็นที่เมืองนี้

โรงอาบน้ำสาธารณะ Saba no Yu
เวลาเปิดทำการ : 06.00-22.00 .
วันหยุดทำการ : วันจันทร์
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 200 เยน / เด็ก 100 เยน

จากนั้นเราเดินกลับไปที่บริเวณสถานี Iizaka Onsen บริเวณทางขวามือจะเป็นวิวของแม่น้ำ Surigamigawa

ไม่ไกลกันเป็นที่ตั้งของโรงอาบน้ำสาธารณะอีกแห่งหนึ่งของเมืองชื่อว่า Hako-Yu โรงอาบน้ำเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของเมือง มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานมากว่า 1,200 ปี แต่เน่ื่องมาจากหลังเก่านั้นทรุดโทรมมากจึงได้มีการรีโนเวทขึ้นใหม่ตกแต่งอย่างสวยงาม ถูกเปิดใช้อีกครั้งเมื่อปี 2011

โรงอาบน้ำสาธารณะ Hako-Yu
เวลาเปิดทำการ : 06.00-22.00 .
วันหยุดทำการ : วันอังคาร
ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ 300 เยน / เด็ก 150 เยน

จากโรงอาบน้ำสาธารณะ Hako-Yu เราเดินลงไปด้านล่างเนินเขาจะเป็นสวนสาธารณะพร้อมบ่ออนเซนสำหรับแช่เท้าสาธารณะแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ชื่อว่า Hako-Yo Koen นักท่องเที่ยวที่เดินมาทั้งวันสามารถมาทดลองแช่อนเซนเท้าเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าพร้อมชมวิวสวยๆของริมแม่น้ำได้อีกด้วย

บ่ออนเซนสำหรับแช่เท้าสาธารณะแบบไม่มีค่าใช้จ่าย

บ่ออนเซนแช่เท้า Hako-Yu
เวลาเปิดทำการ : 08.00-20.00 .
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย


วันที่สองของการเดินทาง วันนี้เราจะเดินทางไปยัง เมืองชิราคาวะ (Shirakawa) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดฟุคุชิมะ เพื่อชมความสวยงามของปราสาท Komine อีกแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ที่ชาวญี่ปุ่นยกให้เป็นอีกเป็นหนึ่งในร้อยสถานที่ที่เหมาะกับการมาชมซากุระ โดยช่วงเวลาที่เหมาะในการมาชมซากุระ จะอยู่ในช่วงประมาณต้น-กลางเดือนเมษายน

นอกจากตัวปราสาทแห่งนี้ที่มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.. 1340 เพื่อเป็นที่อยู่ไดเมียวในสมัยก่อนมาเป็นเวลากว่า 7 ตระกูล ภายหลังตกอยู่ใต้การควบคุมของรัฐบาลโชกุนก่อนเกิดสงครามโบชิน ทำให้ปราสาทแห่งนี้ถูกทำลายลงในปีค.. 1868 จากนั้นได้มีการบูรณะหอคอยสามชั้นและประตูมาเอโกะขึ้นมาใหม่โดยใช้ภาพวาดสมัยเอโดะเป็นต้นแบบในการสร้าง จนกระทั่งในปีค.. 2010 สิ่งก่อสร้างนี้ได้รับการประกาศให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ

ด้านในของตัวปราสาทแสดงให้เห็นถึงจุดที่ใช้โจมตีฆ่าศึกในอดีตโดยการปล่อยก้อนหินและยิงธนูไปตามช่องที่เจาะไว้

ปราสาท Komine
เวลาเปิดทำการ : 10.00-17.00 . (ช่วงเดือนเมษายนตุลาคม)
10.00-16.00 . (ช่วงเดือนพฤศจิกายนมีนาคม)
วันหยุดทำการ : ช่วงเทศกาลปีใหม่ ตั้งแต่ 29 ธันวาคม-3มกราคม
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : ลงที่สถานี Shirakawa จากนั้นเดินต่อประมาณ 10 นาที

จากนั้นเราเดินทางไปชมฟาร์มเลี้ยงปลาเทร้าต์หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อของปลาแซลมอนที่ Hayashi Trout Farm ฟาร์มเลี้ยงปลาที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง Nishishirakawa มีอายุมากกว่า 80 ปี

โดยที่นี่ทำการเลี้ยงด้วยน้ำสะอาดที่มาจากเทือกเขา ด้านในแบ่งเป็นบ่อเลี้ยงปลามากมายแบ่งตามอายุของปลา

ผู้เข้าชมฟาร์มสามารถทดลองตกปลาด้วยตัวเองพร้อมนำไปให้ทางร้านปรุงเป็นอาหารเสริฟให้ได้

หรือจะสั่งอาหารเป็นเซทปลาแซลมอนซาชิมิ สดๆ รสชาติหวานอร่อยนั่งทานชมบรรยากาศของสวนญี่ปุ่นสวยๆภายในฟาร์มก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ

บรรยากาศของสวนญี่ปุ่นสวยๆภายในฟาร์ม

ฟาร์มปลาเทร้าต์ Hayashi Trout Farm
เวลาเปิดทำการ : 09.00-17.00 .
วันหยุดทำการ : ปิดทำการทุกวันพุธ
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นค่าทำกิจกรรมตกปลา
เว็บไซต์ Hayashi Trout


สัมผัสกับเกษตรกรตัวจริง พร้อมเข้าชมฟาร์มปลูกหน่อไม้ฝรั่งที่กลุ่มเกษตรกร JA (Japan Argricultural Cooperative) Aizu-minami ที่รวมตัวกันปลูกแล้วส่งขายไปทั่วทั้งประเทศ โดยที่นี่ปลูกหน่อไม้ฝรั่งสามสายพันธุ์ โดยแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีสีที่แตกต่างกันไปเช่น เขียว ขาวและม่วง

หน้าตาของต้นหน่อไม้ฝรั่งสายพันธุ์สีเขียว

เดินทางไปไม่ไกลกันมาก เรามาชมการเพาะเลี้ยงมะเขือเทศของฟาร์มอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มของเกษตรกร JA Aizu-minami เช่นกัน ฟาร์มแห่งนี้ปลูกมะเขือเทศที่มีคุณภาพ ได้ผลผลิตมากมายอีกทั้งยังมีแบรนด์เป็นของตัวเองชื่อว่า Nanko Tomato

แต่ที่สร้างความแปลกใจให้กับเราอย่างมากคือ กรรมวิธีการเก็บรักษามะเขือเทศของที่นี่จะตัดผลผลิตในช่วงที่ยังไม่สุกมาก ยังคงมีสีเขียวอยู่ แล้วนำมาเก็บรักษาไว้ในห้องสโตร์ที่ควบคุมอุณหภูมิจากหิมะที่เก็บไว้จากในช่วงหน้าหนาวที่อยู่ด้านหลังส่งความเย็นจากธรรมชาติมาที่ห้องด้านทำให้มะเขือเทศของที่นี่ยังคงความสดใหม่และไม่เน่าเสียง่าย


วันที่ 3 ของการเดินทางมาเยือนจังหวัดฟุคุชิมะ เราไปชมอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดฟุคุชิมะ โดยเริ่มต้นเดินทางจากตัวเมือง สถานี Koriyama

จากสถานี Koriyama โดยสารรถไฟ JR Ban’etsu มาลงที่สถานี Aizu-Wakamatsu จากนั้นโดยสารรถไฟท้องถิ่นไปลงที่สถานี Yunokami Onsen ความพิเศษของสถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีรถไฟเก่าแก่แห่งเดียวของญี่ปุ่นที่มีหลังคามุงด้วยหญ้าฟางคายะบูกิให้ความรู้สึกคลาสสิคและยังคงเปิดใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ด้านในสถานีตกแต่งด้วยบรรยากาศย้อนยุค

มีเตาผิงไฟอิโรริ สำหรับนั่งผิงไฟในช่วงฤดูหนาว หนังสือการ์ตูนให้นั่งรออ่านรอรถไฟพร้อมชาเขียวร้อนให้ชงดื่ม

ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ บริเวณด้านข้างของสถานีมีอนเซ็นแช่เท้าสาธารณะให้บริการฟรี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สถานีรถไฟฟ้าแห่งนี้จะสวยงามมากเป็นพิเศษเนื่องจากบริเวณสถานีรถไฟจะเต็มไปด้วยต้นซากุระผลิบานเป็นแนวยาวขนานไปตามรางรถไฟ เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมความงามของดอกซากุระ

จากนั้นเราจะเดินทางย้อนเวลากลับไปยังอดีต เพื่อไปชมความสวยงามของ หมู่บ้านโบราณ Ouchijuku หมู่บ้านโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาและที่มีอายุกว่าหลายร้อยปีตั้งแต่สมัยเอโดะ หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นที่พักและเป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมและการค้า ที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาจักรไอสึและเมืองอิไมจิในอดีต

จากสถานี Yunokami Onsen เราโดยสารรถบัสนำเที่ยวย้อนยุคโบราณซึ่งวิ่งรับส่งระหว่างสถานี Yunokami Onsen และ หมู่บ้านโบราณ Ouchijuku ราคาไปกลับเพียง 1,000 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที

เมื่อมาถึงหมู่บ้านโบราณ Ouchijuku จะได้พบกับบ้านชาวนาญี่ปุ่นโบราณที่มุงหลังคาทรงหญ้าคาหนาๆเรียงรายกันสองฝั่งระยะทางประมาณ 500 เมตร ตลอดทางจะพบกับบ้านโบราณประมาณ 40 – 50 หลัง

โดยเมื่อปี พ..2524 หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ ซึ่งในปัจจุบันบ้านโบราณหลายหลังในหมู่บ้านได้รับการบูรณะใหม่ ให้กลายเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านค้าขายสินค้าพื้นเมือง ร้านอาหารและที่พักแบบญี่ปุ่นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

อีกจุดเด่นหนึ่งของหมู่บ้านโบราณ Ouchijuku แห่งนี้โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน บริเวณร่องทางน้ำไหลสองฝั่งถนนที่คั่นระหว่างบ้านและถนน น้ำจะใสมากและเย็นสดชื่นมาก นักท่องเที่ยวจึงมักจะได้เห็นภาพที่ชาวบ้านกำลังนำลังเครื่องดื่มมาแช่ไว้ในทางน้ำไหลนี้ เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาพบเห็นได้สัมผัสถึงบรรยากาศที่เป็นกันเองสบายๆตามแบบวิถีของชาวบ้าน

และเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ไม่อยากให้พลาดลองชิม Negi-Soba (โซบะต้นหอมยักษ์) คือเมนูเส้นโซะโรยหน้าด้วยหัวไชเท้าขูดและปลาโอแห้งขูดฝอย แต่ความแปลกที่ไม่เหมือนที่ไหนคือเวลารับประทาน จะใช้ต้นหอมยักษ์ (Negi) แทนตะเกียบ ทำหน้าที่เกี่ยวเส้นโซบะขึ้นมาทาน ในขณะที่ทานก็จะกัดต้นหอมไปในเวลาเดียวกันทำให้ได้รสชาติที่อร่อยไม่เหมือนที่ไหนเลย

อิ่มท้องกันแล้วแนะนำให้เดินไปจนสุดทางของหมู่บ้านจะมีทางแยกเป็นบันไดขึ้นบนภูเขา จุดนี้จะเป็นบันไดที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงของหมู่บ้านโบราณแห่งนี้ได้อย่างทั่วถึง

วิวแบบ Bird eye’s view ของหมู่บ้านโบราณ Ouchijuku

หมู่บ้านโบราณ Ouchijuku
เวลาเปิดทำการ : 09.00-16.00 .
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : จากสถานี Koriyama โดยสารรถไฟสาย JR Ban-etsu- West มาลงที่สถานี Aizu-Wakamatsu จากนั้นเปลี่ยนไปนั่งรถไฟสาย Aizu-Railway for Aizu-Tajima เพื่อไปลงที่สถานี Yunokami Onsen ใช้เวลาประมาณ 36 นาที ราคา 1,030 เยน จากนั้นโดยสารรถบัสนำเที่ยวย้อนยุคโบราณไปกลับ ราคา 1,000 เยน หรือสามารถนั่งแท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 15 นาที


หลังจากชมวิวสวยๆพร้อมทานโซบะอร่อยๆกันแล้วเราเดินทางกลับไปยังสถานี Yunokami Onsen ด้วยรถบัสนำเที่ยวย้อนยุคโบราณคันเดิมกลับไปยังสถานีเพื่อเดินทางไปชมประติมากรรมศิลปะที่สรรสร้างโดยธรรมชาติ อนุสาวรีย์หน้าผาหิน To no Hetsuri โดยสารรถไฟไปลงที่สถานี Tonohetsuri จากนั้นเดินประมาณ 5 นาทีก็จะพบกับจุดชมวิว

To no Hetsuri เป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำ Ogawa หน้าผาหินสูงชันที่ถูกกัดเซาะจากธรรมชาติเป็นเวลากว่าล้านปี เกิดเป็นรูปทรงแปลกประหลาด สามารถมองได้จากหลายมุมไม่ว่าจะเป็นจุดชมวิวด้านบนหรือบนสะพานแขวน ได้รับการจัดให้เป็นอนุสาวรีย์หน้าผาหินทางธรรมชาติที่มีความสำคัญ

ในภาษาพูดท้องถิ่นคำว่า Hetsuri หมายถึง “หน้าผา” เนื่องจากผาหินนี้ก่อตัวโดยการกัดเซาะและกลายเป็นหอคอย จึงเป็นที่มาของชื่อว่า To no Hetsuri หรือแปลว่าหอคอยบนหน้าผาที่อยู่ติดกับแม่น้ำ ภายในบริเวณจุดชมวิวยังมีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหารประมาณ 3-4 ร้านสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ช้อปและชิมของอร่อยๆกันอีกด้วย

อนุสาวรีย์หน้าผาหิน To no Hetsuri
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าใช้จ่าย : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : จากสถานี Yunokami Onsen โดยสารรถไฟ Aizu-Railway for Aizu-Tajima ไปลงที่สถานี Tonohetsuri ใช้เวลาประมาณ 5 นาที ราคา 270 เยน


ก่อนกลับเข้าเมืองแวะทักทายนายสถานีสุดหล่อ ที่สถานี Ashinomaki Onsen พบแมวนายสถานีสุดน่ารักชื่อ “Love” ที่เพิ่งจะเข้าประจำการเมื่อปี 2016 ต่อจากนายสถานี “Bus” ที่เพิ่งจะจากไป ที่จะคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังชมวิวสวยๆของสถานีได้อีกด้วย

การเดินทาง : จากสถานี Tonohetsuri โดยสารรถไฟ Aizu-Railway for Aizu-wakamatsu ไปลงที่สถานี Ashinomakionsen ใช้เวลาประมาณ 19 นาที ราคา 620 เยน

ติดตามอ่านรีวิวตะลุยภาคอีสานญี่ปุ่นช่วงฤดูร้อนที่จังหวัดฟุคุชิมะ ตอนที่ 2 ได้ในครั้งต่อไป แล้วมาชมกันว่าเราจะพาเพื่อนๆไปท่องเที่ยวที่เด็ดๆ ของจังหวัดฟุคุชิมะที่ไหนกันอีกบ้างในคราวหน้านะครับ

Ashinomaki OnsenFukushimaHayashi Trout FarmIizaka Onsen TownKoriyamaKyu Horikiri TeiOuchijukuShirakawa citySummertohokuYunokami Onsenฟุคุชิมะฤดูร้อนเที่ยวญี่ปุ่นโทโฮขุ