การเดินทางไปฮอกไกโดครั้งแรกหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ตรงกับช่วงที่สวยที่สุดนั่นก็คือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนั่นเอง ปกติแล้วเราจะจำภาพเมืองหิมะขาวของฮอกไกโดกันได้ ด้วยความที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติ ทำให้ทิวทัศน์ของใบไม้ที่ทยอยเปลี่ยนสีของฮอกไกโด งดงามไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆของญี่ปุ่นเลย อีกทั้งใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่ยังไม่ได้เน้นไปทางเมเปิ้ลแดงส้ม จึงทำให้บรรยากาศของที่นี่คล้ายยุโรปอยู่มากทีเดียว

ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 6 วัน เริ่มต้นจากสนามบิน เช่ารถขับตระเวนเก็บเมืองระหว่างทางไปเรื่อยๆ สำหรับรีวิวตอนที่สี่นี้ ก็มาถึงช่วงท้ายทริปกันแล้ว ซึ่งเราจะค้างคืนแช่ออนเซ็นที่เมืองโจซังเคก่อนจะเข้าไปชมใบไม้เปลี่ยนสีส่งท้ายในตัวเมืองซัปโปโร

อ่านรีวิวตอนแรก >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 1 : Upopoy – Mount Usu – Lake Toya – Yakumo

อ่านรีวิวตอนสอง >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 2 : Hakodate – Onuma

อ่านรีวิวตอนสาม >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 3 : Otaru


เมืองโจซังเค (Jozankei)

สะพานแขวนฟุตามิสึริบาชิ (Futami Tsuribashi Suspension Bridge) 

ที่สวนฟุตามิ (Futami Park) จะมีสัญลักษณ์ของโจซังเคนั่นก็คือรูปปั้นของ Kappa Daio ในช่วงซัมเมอร์จนถึงฤดูใบไม้ร่วงจะมีการประดับไฟในงาน JOZANKEI NATURE LUMINARIE ไฮไลต์ของสวนนี้ก็คือ สะพานแขวนฟุตามิสึริบาชิสีแดงข้ามผ่านแม่น้ำโทโยฮิระ จะสามารถมองเห็น “หินฟุตามิอิวะ” (ซึ่งตั้งชื่อตามหินแต่งงานในเมืองอิเสะ จังหวัดมิเอะ) และ “กัปปะบุจิ” ที่มีตำนานของกัปปะ เมื่อข้ามสะพานไปจะเป็น Futami Jozan Road  เส้นทางสายธรรมชาติเลียบแม่น้ำ ที่นี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามของโจซังเค

  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ขึ้นรถบัส Jotetsu Bus ใช้เวลา 75 นาที หรือขึ้นนถบัส KappaLiner ลงบริเวณโจซังเค ใช้เวลา 60 นาที
  • เว็บไซต์

ตอนขาออก เดินมาจนเกือบสุดปากทาง ขอแนะนำร้าน J.glacee ที่มีขนมขึ้นชื่อ Jozankei Apple Pie ต้องมาแต่เช้าถึงจะได้กินนะ เพราะเรามาก็บ่ายแล้ว เลยอดกิน T T แต่ก็ได้ลองซอฟครีมไข่ออนเซ็นแทน อร่อยแบบไม่น่าเชื่อ ไม่มีกลิ่นคาวเลย


โจซังเคฟาร์ม (Jozankei Farm)

โจซังเคฟาร์มอยู่ในเขตซัปโปโร ใกล้กับเมืองน้ำพุร้อนโจซังเค ที่นี่นอกจากจะมาเก็บผลไม้สดๆได้ตามฤดูกาลแล้ว ยังมีกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติให้เพลิดเพลินมากมาย ด้วยความที่มีพื้นที่กว้าง ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 400 เมตร อีกทั้งยังรายล้อมด้วยภูเขา ทำให้วิวของฟาร์มนี้สวยสดชื่นมากๆ 

ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นปลายฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เลยได้เปิดประสบการ์ณเก็บลูกพรุนสดจากต้นเป็นครั้งแรก ที่ฟาร์มแห่งนี้มีปลูกพรุนไว้ 7 สายพันธุ์ ซึ่ง 2 ชนิดที่เราได้ลองก็คือ พันธุ์ชูการ์ กับ พันธุ์เบลล่า ที่มีรสแตกต่างกัน แต่บอกได้คำเดียวว่า ลูกพรุนสด ที่หวานหอมตามธรรมชาติ อร่อยกว่าลูกพรุนอบที่เรากินกันหลายเท่า 

นอกจากนี้ถ้าเป็นช่วงเดือนมิ.ย.เป็นต้นไป จะมีผลไม้หลากชนิดที่ถูกปลูกแบบออแกนิค ออกผลให้ได้ชิมสดๆจากต้นเช่นกัน อาทิ สตรอเบอร์รี่, เชอร์รี่, พลัม, ฮัสแคป, แบลคเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, พีช, องุ่น,​แอปเปิ้ล, สาลี่ (ดูปฏิทินผลไม้ได้ที่นี่)

เปิดประสบการ์ณเก็บลูกพรุนสดจากต้นเป็นครั้งแรก

  • เวลาทำการ: ต.ค. 9.00-16.00 น. / 25 เม.ย.-ก.ย. 9.00–17.00 น. / ปิดทำการช่วงฤดูหนาว และหยุดทุกวันพุธ
  • ค่าใช้จ่าย:  ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก (4 ปีขึ้นไป) 500 เยน ไม่รวมค่ากิจกรรมเก็บผลไม้ กิจกรรมเก็บลูกพรุน กินไม่อั้น 1 ชม. 1,200 เยน (กิจกรรมเก็บสตรอเบอร์รี่ ช่วงเดือนมิ.ย. กินไม่อั้น 30 นาที 1,600 เยน *เฉพาะสตรอเบอร์รี่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น)
  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ขึ้นรถบัส Kappa Liner ลงป้าย Jozankei-jinja mae ใช้เวลา 50 นาที ขึ้นรถรับส่งของทางฟาร์มอีก 5 นาที (โทรแจ้งที่เบอร์ 011-598-4050)
  • เว็บไซต์

โรงแรม Jozankei Tsuruga Resort Spa MORI NO UTA

ชื่อ MORI NO UTA หมายถึง “เสียงดนตรีในป่า” ที่เกิดจากสัตว์ป่านานาชนิดในป่าอันอุดมสมบูรณ์ของโจซังเคที่ถือว่าเป็นโอเอซิสของฮอกไกโด รู้สึกได้ทันทีถึงพลังที่เข้ามายัง Forest Lounge และการมาพักที่โรงแรมนี้ แขกผู้เข้าพักจะได้เจอกับความพิเศษของผืนป่าและสัตว์ป่าที่ปรากฏตัวให้เห็นอย่างเป็นธรรมชาติผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า

ที่ Forest Spa ของโรงแรมเปรียมเสมือนเป็นเสมือนโอเอซิสสำหรับฟื้นฟูจิตใจและร่างกาย โดยมีบ่อออนเซ็นที่อุดมด้วยคุณค่าจากน้ำพุร้อนของโจซังเค รวมถึงบ่อน้ำพุร้อนกลางแจ้งที่ล้อมรอบด้วยป่าทึบ เพลิดเพลินไปกับเสียงนกร้องและกิ่งไม้ที่พริ้วไหวตามลม ปลดปล่อยจิตใจและร่างกายท่ามกลางความยิ่งใหญ่ของป่า พร้อมกับฟื้นฟูและเติมพลังให้กับตัวเอง

ก่อนเข้าโซนห้องพัก ด้านหน้าลิฟท์แต่ละชั้น จะต้องถอดรองเท้าฝากไว้ที่ล็อกเกอร์และใส่เป็นสลิปเปอร์แทน
ผลิตภัณฑ์ที่วางไว้ในห้องน้ำเป็นขวดหน้าตาเดียวกันทั้งหมด ก่อนใช้ต้องดูดีๆนะ ถ้าใครใช้แล้วติดใจ มีจำหน่ายด้วย
วิวจากหน้าต่างห้องพัก
ร้านขายของฝากที่ล็อบบี้
ช่วงค่ำจะมีการแสดงฮาร์ปให้ชมด้วย เสียงไพเราะมากๆ

และที่พลาดไม่ได้ก็คือ มื้อบุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหาร Forest Buffet จากป้ายห้องอาหารที่มีกระต่ายขาวกระโดดลงไปในรูที่ชวนให้นึกถึงเทพนิยาย เราต้องเดินตามกระต่ายขาวตัวนี้ผ่านทางเดินเล็กๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งห้องเก็บไวน์ของโรงแรม และมาถึงพื้นที่รับประทานอาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากป่า ซึ่งมีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวป่าโจซังเค และพนักพิงเก้าอี้ที่มีลวดลายสัตว์ป่า ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครนี้ เราจะได้ดื่มด่ำกับอาหารที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นสดใหม่ รวมถึงพิซซ่าเตาถ่าน และแยมที่ทำจากผลไม้ป่า ส่วนตัวเราของหวานของที่นี่อร่อยมากๆ และต้องไม่พลาดชิมแอปเปิ้ลพาย เมนูขึ้นชื่อของโจซังเคด้วยนะ

มื้อเช้าก็จัดเต็มไม่แพ้มื้อค่ำนะ

  • ราคาห้องพัก: เริ่มต้น 37,000 เยน ต่อคน รวมอาหารมื้อเช้าและมื้อเย็น
  • การเดินทาง: จากสถานี Makomanai ที่ซัปโปโร มีรถชัตเติลบัสให้บริการ (เวลา 10.30, 14.30, 16.30 ดูรายละเอียดที่นี่)
  • เว็บไซต์

เมืองซัปโปโร (Sapporo)

ศูนย์ศิลปะต้นไม้ฮิราโอกะ (Hiraoka Tree Art Center)

ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ศูนย์ศิลปะต้นไม้ฮิราโอกะ สวนแห่งนี้มีต้นโมมิจิ (เมเปิ้ล) หลากสายพันธุ์กว่า 700 ต้น มีอุโมงค์เมเปิ้ลแดงที่เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม และมุมสวนญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงกลางต.ค.-ต้นพ.ย. สวนแห่งนี้จะสวยงามมากๆแบบในภาพเลย แถมไม่เสียค่าเข้าชม

  • เวลาทำการ: 8.45-17.15 น. (เปิดระหว่าง 29 เม.ย. – 3 พ.ย.)
  • การเดินทาง: จากสถานีใต้ดิน Shin-Sapporo ขึ้นรถบัสหมายเลข 新111 ลงที่ป้าย Hiraoka 4-jō 2-chōme ใช้เวลา 20 นาที
  • เว็บไซต์

แนวต้นแปะก๊วยที่ม.ฮอกไกโด (Hokkaido University Gingko trees)

ในช่วงกลางต.ค.ถึงต้นพ.ย. แนวต้นแปะก๊วยเรียงรายจากทางเข้าของมหาวิทยาลัยทอดยาว 380 เมตร ความลงตัวของกิ่งก้านแปะก๊วยที่โน้มลงมารวมกันราวกับเป็นอุโมงค์สีทองของต้นแปะก๊วยกว่า 70 ต้น สวยเหมือนภาพวาด และด้านข้างยังมีต้นโมมิจิสลับสีสัน จึงทำให้ที่นี่เป็นจุดชมใบไม้แดงสุดคลาสสิคของฮอกไกโด อีกทั้งยังเดินจากใจกลางซัปโปโร หรือสถานีซัปโปโรง่ายๆ และในช่วงกลางคืนจะมีการไลท์อัพด้วย (แล้วแต่กำหนดการในแต่ละปี)

  • เวลาทำการ: เปิดตลอด (ช่วงเวลาไลท์อัพ 18.30-21.00)
  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Namboku ลงสถานี Kita 12 jo แล้วเดินต่อ 5 นาที (หรือเดินจากสถานี Sapporo ทางออกเหนือใช้เวลา 15 นาที)
  • เว็บไซต์

Soup Curry Cocoro

มาทาน Soup curry ที่เป็นอาหารพื้นเมืองของซัปโปโร ที่ร้าน cocoro บางคนอาจจะเข้าใจว่าซุปคาเร คือแกงกะหรี่ แต่จริงๆแล้เป็นเหมือนซุปไก่ ที่ใส่เครื่องเทศ แน่นอนว่ากลิ่นของเครื่องเทศอาจจะมีแต่ไม่ได้เข้มข้นแบบแกง วันนี้เราลองเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้านคือเป็น น่องไก่ขนาดใหญ่ตุ๋นมาจนนุ่มในน้ำซุปคาเรรสเผ็ด (ซึ่งหากใครไม่ทานเผ็ดแจ้งทางร้านได้) ที่มาพร้อมผักตามฤดูกาล 17 ชนิด และมันฝรั่งที่ปลูกในฮอกไกโด ทำให้อร่อยเป็นพิเศษ และ มีไข่ต้มหั่นครึ่ง สนนราคา 1,450 เยน หาก

  • เวลาทำการ: 11.30-22.30 น. (ร้านอาจปิดก่อนเวลาถ้าขายหมด)
  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ทางออกทิศเหนือเดิน 15 นาที
  • เว็บไซต์

หอคอยโทรทัศน์ซัปโปโร (Sapporo TV Tower)

ขึ้นมาชมวิวเมืองซัปโปโรในแบบ 360 องศา บนหอคอยโทรทัศน์ซัปโปโร ที่เป็นแฝดน้องของโตเกียวทาวเวอร์นั่นเอง ดีไซเนอร์ที่ออกแบบคือ คุณ Tachu Naito เป็นคนเดียวกัน และได้ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1956 ด้วยความสูง 147.2 เมตร ซึ่งตั้งอยู่เคียงคู่กับสวนโอโดริ 

เราสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองได้ในความสูงที่ 90 เมตร ในช่วงฤดูกาลต่างๆ ที่นี่จะมีสีสันที่แตกต่างกันในทุกฤดู โดยเฉพาะมุมของสวน Odori จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาเยือนหอคอยแห่งนี้ ต้องกลับมาอีกครั้งเพื่อเก็บภาพสีสันที่แตกต่างกันไป ด้านบนจะมีร้านค้า จุดนั่งเล่น และเรื่องราวของหอคอยให้ชม นอกจากถ่ายรูปเล่นข้างล่างสวยแล้ว ขึ้นมาข้างบนก็สวยไม่แพ้กันนะ

  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,000 เยน เด็ก 900 เยน
  • เวลาทำการ: 9.00-22.00 น.
  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ทางออกทิศใต้เดิน 15 นาที (หรือจากสถานี Odori ทางออก 27 เดิน 1 นาที)
  • เว็บไซต์

Den – Japanese Buffet Dining

มาเที่ยวฮอกไกโดแล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะทานปู วันนี้มาลองร้านที่คนชอบบุฟเฟต์ปิ้งย่างจะต้องถูกใจ ร้านนี้มีชื่อว่า Den – Japanese Buffet Dining (อยูในอาคาร ASIL Sapporo ชั้น 3) ที่นี่มีทั้งเนื้อ และอาหารทะเลสดๆ อย่าง หอยโฮตาเตะและกุ้งนี่คือดีมากๆ กินผักที่ปลูกในฮอกไกโดกรอบๆ สำหรับใครที่ชอบทานปู จะมีให้เลือกแบบปู 1 ชนิด หรือเน้นๆไปเลยกับปู 3 ชนิด

แต่ที่ชอบมากอีกอย่างคือไก่ทอดคาราอาเกะที่ทอดได้กรอบไม่อมน้ำมัน มีกลิ่นแกงกะหรี่คาเรเบาๆ เพื่อให้รู้ว่าเป็นสูตรเฉพาะของคนฮอกไกโดจริงๆ ในส่วนของขนมหวานก็เป็นอีกไฮไลท์ ขนมหวานทั้งแบบญี่ปุ่น และเค้กต่างๆ คือ อร่อยมากแนะนำให้ลองทุกแบบ ชิ้นแบบพอดีคำไม่ใหญ่เกินไป รู้เลยว่าจัดขนมของดีมีคุณภาพมาให้ทานแบบจุใจจริงๆ

  • ค่าใช้จ่าย: บุฟเฟ่ต์ 70 นาที (ปู 1 ชนิด 5,500 เยน / ปู 3 ชนิด 6,600 เยน รวมซีฟู๊ด  อาหารทุกอย่าง และ เครื่องดื่ม)
  • เวลาทำการ: 17.00-21.00 น. (จองล่วงหน้าทางเว็บไซต์)
  • การเดินทาง: จากสถานี Susukino เดิน 4 นาที
  • เว็บไซต์

The Royal Park Canvas Sapporo Odori Park

เป็นโรงแรมที่จะนั่งชมนอนชมวิวซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ได้แบบจุใจ ทำเลดี ใหม่เอี่ยม สวยทั้งวิวข้างนอก และดีไซน์ภายในสุดแนว ล็อบบี้เน้นสีเขียวของต้นไม้ บนชั้น 9-11 จะถูกตกแต่งด้วยวัสดุไม้ที่มีแหล่งที่มาจากฮอกไกโด ส่วนชั้นอื่นๆ ก็มีคอนเซ็ปต์ของความเป็นไม้อยู่ด้วย จึงทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น ห้องพักจะแบ่งออกเป็น Cabin Floor และ Gallery Floor

ในห้องที่พักครั้งนี้ มีแผ่นเสียงให้ด้วย ซึ่งในแต่ละห้องจะมีแผ่นเสียงของศิลปินที่ต่างกันไปห้องละ 1 แผ่น สำหรับของใช้ต่างๆในห้องจะต้องมาหยิบเพิ่มเติมที่ล็อบบี้ชั้น 2 และที่ชั้น 4 มีอุปกรณ์ให้ยืมสำหรับสาวๆ ที่ต้องการที่ม้วนผม เตารีด ได้เพียงแจ้งฟร้อนท์ว่าอยากจะขอยืมและก็มาหยิบไปใช้ได้เลย

ที่ชั้นดาดฟ้าของโรงแรม CANVAS ROOFTOP เป็นบาร์ที่ถูกตกแต่งในบรรยากาศเหมือนตั้งแคมป์ โดยมีเปล เต้นท์ และโดมให้นั่งจิบเครื่องดื่มพร้อมชมซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ไป  หากเป็นช่วงฤดูหนาวเค้าจะนำเครื่องดื่มมาเสริฟพร้อมเครื่องทำความร้อนให้ได้นั่งแบบอุ่นๆ สบายตัว 

  • ราคาห้องพัก: เริ่มต้น 12,000 เยน ต่อห้อง
  • การเดินทาง: จากสถานี Sapporo ทางออกทิศใต้เดิน 15 นาที (หรือจากสถานี Odori ทางออก 23 เดิน 1 นาที)
  • เว็บไซต์

อ่านรีวิวตอนแรก >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 1 : Upopoy – Mount Usu – Lake Toya – Yakumo

อ่านรีวิวตอนสอง >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 2 : Hakodate – Onuma

อ่านรีวิวตอนสาม >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 3 : Otaru