การเดินทางไปฮอกไกโดครั้งแรกหลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ตรงกับช่วงที่สวยที่สุดนั่นก็คือช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนั่นเอง ปกติแล้วเราจะจำภาพเมืองหิมะขาวของฮอกไกโดกันได้ ด้วยความที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติ ทำให้ทิวทัศน์ของใบไม้ที่ทยอยเปลี่ยนสีของฮอกไกโด งดงามไม่แพ้ภูมิภาคอื่นๆของญี่ปุ่นเลย อีกทั้งใบไม้เปลี่ยนสีของที่นี่ยังไม่ได้เน้นไปทางเมเปิ้ลแดงส้ม จึงทำให้บรรยากาศของที่นี่คล้ายยุโรปอยู่มากทีเดียว
ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 6 วัน เริ่มต้นจากสนามบิน เช่ารถขับตระเวนเก็บเมืองระหว่างทางไปเรื่อยๆ สำหรับรีวิวตอนที่สามนี้ เราจะค้างคืนกันที่เมืองโอตารุ เป็นวันที่ผ่อนคลายที่สุดของทริป เพราะได้อยู่โอตารุแบบไม่ต้องรีบกลับ
ปกติแล้วหลายคนเลือกที่จะมาเที่ยวโอตารุแบบไปเช้าเย็นกลับจากซัปโปโร ทำให้ไม่ได้มีโอกาสเที่ยวโอตารุในตอนกลางคืนเท่าไหร่ จริงๆแล้วที่เที่ยวในโอตารุมีมากกว่าที่จะเก็บครบได้ในวันเดียว เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาแนะนำให้นอนโอตารุอย่างน้อยสักคืน เพื่อที่ว่าจะได้ใช้เวลาในเมืองเก่าได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องรีบเที่ยวจนเกินไป เพราะถ้าตกเย็น จำนวนนักท่องเที่ยวที่คับคั่งในตอนกลางวัน จะหายไปพอสมควรเลย
อ่านรีวิวตอนแรก >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 1 : Upopoy – Mount Usu – Lake Toya – Yakumo
อ่านรีวิวตอนสอง >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 2 : Hakodate – Onuma
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum)
ภายในอาคารโบราณที่มีอายุนับร้อยปี (สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1912) เป็นศูนย์รวมกล่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น อาคาร 3 ชั้นที่มีห้องโถงใหญ่สูงถึง 9 เมตร ที่ยังคงรักษาสภาพความสวยงามในอดีตที่อบอวลไปด้วยเสียงอันไพเราะจากกล่องดนตรีที่ถูกจัดแสดงไว้มีทั้งกล่องดนตรีหายาก ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้ ที่รวมถึงเรื่องราวจุดกำเนิดของกล่องเพลงอันน่าทึ่ง ด้านหน้าอาคารมีนาฬิกาไอน้ำโบราณขนาดใหญ่ (สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1910) ที่รัฐบาลแคนาดามอบให้เป็นของขวัญแก่ประเทศญี่ปุ่น ที่มีเพียง 2 เรือนในโลกเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบให้เลือกซื้อกลับไปเป็นของที่ระลึก หรือเป็นของฝากให้กับคนพิเศษ เพราะผู้จัดทำกล่องดนตรีมีความเชื่อว่า เวลาที่นึกถึงใครสักคน เราจะนึกถึงความทรงจำอันมีค่าระหว่างกัน และเสียงเมโลดี้ที่บรรเลงจากกล่องดนตรีจะเป็นสื่อกลางเชื่อมโยงความรู้สึกจากผู้ให้ถึงผู้รับเข้าไว้ด้วยกัน
และที่ชั้น 3 มีร้านขายสินค้าคาแรคเตอร์ซ่อนตัวอยู่ด้วยนะ แน่นอนว่าตัวเอกหลักอย่างโทโทโร่ออกมายืนต้อนรับเราตรงทางเดินขึ้นไปด้านบนก็จะเจอสินค้าของจิบลิเพียบเลย~
สินค้าอื่นๆที่ไม่ใช่จิบลิจะอยู่ด้านในสุด
- เวลาทำการ: 9.00-18.00 น.
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru เดิน 25 นาที
- เว็บไซต์
เสร็จจากพิพิธภัณฑ์ก็แวะร้าน LeTao ที่อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ จริงๆถ้ามีเวลาสั่งเค้กแล้วขึ้นไปนั่งทานบนคาเฟ่ชั้นสองได้ แต่ว่าวันนี้เรามีจองล่องเรือไว้ เลยทำได้แค่ซื้อซอฟท์ครีมแล้วก็ของฝากติดไม้ติดมือนิดหน่อย
หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นกันต่อในตัวเมืองโอตารุที่เราคุ้นเคยกัน สามารถเดินเที่ยวได้สบายๆ (จริงๆมีที่เที่ยวมากกว่าในตัวเมืองนะ) โดยเฉพาะถนน Otaru Sakaimachi ตั้งแต่จากพิพิธภัณฑ์กล่องเพลงจนถึงคลองโอตารุ จะมีอาคารโบราณมากมายที่ปัจจุบันเป็นร้านค้าขายขนม อาหาร ของฝาก ให้เลือกซื้อกันเพลินตลอดทาง ถ้าได้ไปช่วงนี้ ก็จะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ด้วย เป็นอีกบรรยากาศที่สวยไม่แพ้ฤดูหนาวเลย
กิจกรรมล่องเรือคลองโอตารุ (Otaru Canal Cruise)
กิจกรรมล่องเรือคลองโอตารุใช้เวลาประมาณ 40 นาที ย้อนประวัติศาสตร์ของคลองโอตารุ ที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ.1923 อาคารเก่าแก่หลายแห่งยังคงอยู่ใกล้คลอง ส่วนเรือที่ใช้ก็ได้รับการออกแบบให้กลมกลืนกับทิวทัศน์ของเมืองและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้พลังงานจากไบโอดีเซล
สำหรับเส้นทางจะเริ่มต้นจาก สะพานจูโอบาชิ ออกไปยังท่าเรือด้านนอก วนกลับเข้ามาทางคลองฝั่งเหนือ และตรงไปถึงสะพานอาสะคุสะบาชิ ทางทิศใต้ ที่เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม ระหว่างที่อยู่บนเรือจะมีเสียงบรรยายให้ความรู้ประกอบเป็นภาษาอังกฤษด้วย
- ค่าโดยสาร: ผู้ใหญ่ 1,500 เยน เด็ก 500 เยน
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru เดิน 10 นาที
- เว็บไซต์
ร้านอาหารอาโอสึกะ (Minshuku Aotsuka Shokudo)
มื้อเที่ยงวันนี้เรามาทานกันที่ ร้านอาหารอาโอสึกะที่เป็นทั้งร้านอาหารและเป็นที่พักสไตล์มินชูขุด้วย ที่นี่เป็นร้านอาหารของชาวประมงที่มีเมนูเด็ดคืออาหารทะเลสด ทั้งหอยโฮตาเตะ เป๋าฮื้อ และปลาต่างๆ ตั้งแต่มาถึงก็จะได้กลิ่นหอมๆของปลาย่างและควันจากเตาถ่านที่หน้าร้าน
เราตัดสินใจลองชุดอาหารปลาฮ็อกเกะย่าง ที่ตัวใหญ่มาก แล้วเนื้อนุ่มสุดๆ เป็นปลาฮ็อกเกะที่อร่อยที่สุดที่เคยกินมาเลย (ราคา 1,460 ถ้าสั่งสเปเชียลจะมีซาชิมิเพิ่มมาด้วย 2,200 เยน)
- เวลาทำการ: 10.00-21.00 น. (สั่งได้ถึง 19.00 น.)
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru ขึ้นรถบัสลงป้าย Suizokukan-mae (ร้านอยู่ติดกับอควาเรี่ยม) ใช้เวลา 15 นาที
- เว็บไซต์
กระเช้าลอยฟ้าภูเขาเท็งงู (Mt. Tengu Ropeway)
หลายคนไม่รู้ว่าที่โอตารุก็มีโรปเวย์ที่พาขึ้นไปจุดชมวิวบนเขาเหมือนกัน และที่ภูเขาเท็งงู บนความสูง 532 เมตร จะได้ชมวิวเมืองโอตารุ ท่าเรือโอตารุ อ่าวอิชิคาริ และทะเลญี่ปุ่น โดยเฉพาะวิวตอนกลางคืนที่สวยงามระดับ 1 ดาวมิชลิน นอกจากนี้ยังมีมุมให้ชมวิวหลายจุดทำให้ได้ภาพที่แตกต่างกันออกไป ที่สำคัญที่นี่ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำละครเรื่อง First Love ด้วย
ครั้งนี้เราขึ้นมาชมวิวในตอนกลางคืนก็จะมีการเปิดไฟไลต์อัพ โดยเฉพาะมุม Tengu Sakura ที่เป็นต้นซากุระต้นเดียวที่อยู่บนเขา ก็ถูกไลต์อัพได้งดงามมากๆ
ชื่อเรียกว่า “เท็งงู” มีที่มาจากความเชื่อในอดีตของญี่ปุ่นที่ว่า บนภูเขาซึ่งเปรียบเสมือนอีกภพหนึ่งมักจะเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เชื่อว่าเป็นฝีมือของเท็งงูที่อาศัยอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนั้น จนกลายเป็นเทพเจ้าที่ผู้คนศรัทธาเลื่อมใส ที่นี่เองก็มีทั้งศาลเจ้าเท็งงู และรูปปั้นเท็งงูที่หากลูบจมูกแล้วจะทำให้ความปรารถนากลายเป็นจริง รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมหน้ากากเท็งงูจากทั่วญี่ปุ่นไว้มากกว่า 700 ชิ้น
เมื่อเดินทางขึ้นโรปเวย์ใช้เวลาเพียง 4 นาทีก็มาถึงด้านบน จะเจอกับร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และคาเฟ่ที่มีชื่อว่า TENGUU CAFÉ ที่สามารถชมวิวจากหน้าต่างกระจกได้เช่นกัน
- ค่าโดยสาร: [ไป-กลับ] ผู้ใหญ่ 1,140 เยน เด็ก 570 เยน
- เวลาทำการ: 9.30-21.00 น.
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru ขึ้นรถบัสลงป้าย Tenguyama ใช้เวลา 15 นาที
- เว็บไซต์
Sushi DEN
มาถึงโอตารุต้องกินซูชิ เพราะที่นี่มีร้านซูชิให้เลือกนับร้อยร้าน เรามาที่ถนนสายซูชิ (Sushiyadori) และเลือกร้าน Sushi DEN (ที่ไม่ได้เกี่ยวร้านซูชิเด็นในไทยแต่อย่างใด แต่เจ้าของร้านชอบเมืองไทยมาก) ร้านนี้เปิดมาได้ประมาณ 20 ปีแล้ว
คุณภาพของวัตถุดิบไม่ต้องพูดถึง คือทั้งสดและอร่อย สำหรับแอดเป็นคนที่กินซูชิไม่เก่ง แต่พอได้มากินที่นี่แล้ว ไม่ว่าจะ ฮิราเมะ,อาวาบิ,โทโระ,อุนิ,อิคุระ,โฮตาเตะ หน้าไหนๆก็ไม่คาวเลย สดอร่อยทุกคำ!! จะเลือกกินแบบเซ็ต 10 คำ (เริ่มต้น 3,200 เยน) หรือจะเลือกแบบโอมากาเสะก็ได้ (5,200 เยน)
- เวลาทำการ: 9.30-21.30 น. (สั่งได้ถึง 21.00 น.)
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru เดิน 15 นาที
- เว็บไซต์
อิ่มท้องแล้วก็ออกไปเดินเล่นตัวเมืองตอนกลางคืน หลายคนที่เคยไปแล้วอาจจะไม่เคยได้เห็นภาพนี้ เพราะส่วนใหญ่ไปเช้าเย็นกลับจากซัปโปโร แนะนำเลยว่าถ้ามีเวลาอยากให้นอนพักที่โอตารุสักคืน จะได้มีโอกาสขึ้นไปชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของฮอกไกโด และลงมาเดินชมแสงไฟท่ามกลางความสงบ ในเมืองสุดคลาสสิคที่เต็มไปด้วยอาคารสวยๆทั่วทั้งเมืองแบบนี้
OMO5 Otaru by Hoshino Resort
ครั้งนี้เราเลือกมาพักที่โรงแรม OMO5 Otaru ในเครือ Hoshino Resort ที่ชื่อนี้มั่นใจได้ว่าจะไม่ผิดหวังและได้พักในที่พักที่มีคอนเซ็ปต์ หรูหราตามสไตล์โฮชิโนะอย่างแน่นอน และที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่มีคอนเซ็ปต์ เพราะว่าใช้อาคารเก่ามารีโนเวทใหม่ และตกแต่งในสไตล์เรโทรไว้ได้อย่างลงตัว
ตั้งแต่ตอนเช็คอิน เราสามารถเลือกกล่องดนตรีเข้าไปฟังในห้องได้ และสามารถเช่าชุดนอนที่เป็นลายเฉพาะของ OMO ไปใช้ได้ในราคา 200 เยน (ที่ต้องคิดเงินเพราะว่าอยากให้ลูกค้าได้เลือกเป็นออปชั่น ถ้าใครต้องการใช้ค่อยหยิบไป ไม่อย่างนั้นถ้าให้บริการฟรี กรณีลูกค้าหยิบไปแต่ไม่ได้ใส่ ทางรร.ก็จะต้องส่งซักอยู่ดี ซึ่งทำให้เสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ)
สำหรับห้องพักมีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ (Twin, Superior, Triple) สำหรับห้องพักของเราในคืนนี้จะอยู่ในอาคารเก่าที่รีโนเวทแล้ว
และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ ห้องอาหารที่ชั้น 3 OMO Cafe & Dining ที่เราจะไปทานมื้อเช้ากัน เพราะว่ามีเสิร์ฟอาหารสเปนด้วย และตอนกลางคืนก็จะให้บริการเป็นบาร์ที่บรรยากาศดีมากๆๆ (กรณีไม่ได้เข้าพัก ก็สามารถเข้ามาใช้บริการห้องอาหารและบาร์ได้)
ที่ชั้นล่างของอาคารเก่ามีตู้เพลงโบราณและมุมถ่ายรูปด้วยนะ ถ้าใครสนใจอยากจะลองฟังเสียงของตู้เพลงนี้ สามารถติดต่อฟร้อนต์เพื่อเปิดแผ่นให้ฟังได้ 🙂
- ราคาห้องพัก: เริ่มต้น 7,000 เยน ต่อห้อง
- การเดินทาง: จากสถานี Otaru เดิน 10 นาที
- เว็บไซต์
อ่านรีวิวตอนแรก >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 1 : Upopoy – Mount Usu – Lake Toya – Yakumo
อ่านรีวิวตอนสอง >> Hokkaido: ใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด ตอน 2 : Hakodate – Onuma