การเดินทางในครั้งนี้จะเป็นการตะลุยเที่ยว 4 เมืองในอะกิตะ ที่มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามและสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย และยังสามารถพบกับสุนัขสายพันธุ์อะกิตะได้ที่นี่อีกด้วย
แผนที่ 4 เมืองหลักในจังหวัดอะกิตะ
ออกเดินทางจากโตเกียวมุ่งหน้าสู่สถานี Kakunodate โดยนั่งรถไฟอะกิตะชินคันเซ็น ขบวนโคมาจิ จุดเช็คอินจุดแรกของเราคือร้านอาหาร “ Kashi Shokudo ”
บรรยากาศและตัวร้าน ตกแต่งด้วยไม้ที่แสนเรียบง่าย ให้กลิ่นอายความเป็นแสกนดิเนเวียน
ร้าน Kashi Shokudo คือร้านอาหารสไตล์โฮมเมดที่เกษตรกรชาวญี่ปุ่นสามี-ภรรยาเป็นเจ้าของและลงมือเป็นเชฟเอง วัตถุดิบที่ใช้จะเป็นผัก ผลไม้ที่ปลูกได้จากสวนหลังบ้าน แต่ไม่สามารถส่งออกไปขายได้ เนื่องจากมีรอยบ้าง ไม่สวยบ้าง แต่คุณมิกิโอะเจ้าของร้าน พิถีพิถันในการปรุงอาหารทุกๆ จาน ให้ดีต่อสุขภาพและได้รสชาติอร่อย เหมือนฝีมือแม่ ที่ใครๆต่างก็คิดถึง
ช่วงฤดูหนาวประมาณวันที่ 20 ธันวาคม – 31 มกราคม ร้านจะหยุดให้บริการเนื่องจากสภาพอากาศที่มีหิมะตกหนัก หากใครที่จะแวะไปชิมอาหารญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมดแห่งนี้ อย่าลืมเช็ควันเวลาให้บริการที่เพจเฟสบุ๊ค Kashishokudo
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ประมาณ 15 นาที จากสถานี Kakunodate
ถ้ามาเที่ยวจังหวัดอะกิตะแล้วโชคเข้าข้าง ก็จะได้เจอสุนัขพันธุ์อะกิตะ เหมือนเราที่ได้เจอ “เจ้าโมโม่จัง และเจ้ามารุคุง” ออกมาทักทาย รอต้อนรับอยู่หน้าร้านพอดี ซึ่งจริงๆ แล้วสุนัขพันธุ์อะกิตะเอง เป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างหายากในจังหวัดอะกิตะ ถ้ามาถึงจังหวัดอะกิตะแล้วไม่เจอถือเป็นเรื่องปกติ
โมโม่จัง 2 ปี ขนสีน้ำตาล / มารุคุง 2 ปี ขนสีขาว
สวน Former Ikeda Family Garden
หลังจากที่อิ่มท้องกับมื้ออาหารแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังจุดเช็คอินที่เป็นไฮไลท์ในวันนี้คือ สวนเก่าแก่ของตะกูลอิเคดะ หรือ Former Ikeda Family Garden ที่ถูกกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น
เจ้าของที่ดินแปลงนี้คือคุณอิเคดะ บุคคลที่มีอำนาจและสมบัติมหาศาลในจังหวัดอากิตะคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้อุทิศเงินสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หอสมุด หรือแมท้กระทั้งออกเงินเพื่อเลี้ยงอาหารกลางวันแก่เด็กๆ และอื่นๆ อีกมากมาย จนได้รับความเคารพยกย่องจากชาวอะกิตะ
ที่สวน Ikeda Family Garden แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสวนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่ได้รับความนิยมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะทัศนียภาพของใบเมเปิ้ลสีแดงส้ม รวมกับวิวรอบๆ อย่างโคมไฟหินแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือ บ้านไสตล์ยุโรปดึงดูดให้ผู้คนมาเดินเล่น แชะรูปได้ไม่เบื่อ
โคมไฟหินสามขาที่สูงถึง 4 เมตร ที่เป็นประติมากรรมอันปราณีตและงดงามแบบฉบับญี่ปุ่น
พื้นที่ภายในสวน Former Ikeda Family Garden กว้างถึง 42,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารแบบยุโรปที่รายล้อมด้วยสวนสไตล์ญี่ปุ่น สามารถเดินเข้าไปชมภายในตัวอาคารได้
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Omagari
เวลาทำการ 9.00 – 16.00 น. ประตูปิด 15.30 น. (เปิดให้เข้าชม เฉพาะช่วงฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น *แนะนำว่าให้ไปตอนฤดูใบไม้ร่วงจะสวยเป็นพิเศษ)
เว็บไซต์: Former Ikeda Family Garden
Misato Town Tourist Information Center
เมืองมิซาโตะ เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำผุดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็จะเห็นกับบ่อน้ำใส หรือแอ่งน้ำขนาดเล็ก ชาวบ้านระแวกนี้มักจะนำน้ำที่ได้จากธรรมชาติไปล้างผัก ผลไม้บ้าง ช่วงฤดูร้อนก็นำแตงโม หรือผลไม้มาแช่น้ำให้เย็นฉ่ำบ้าง
ถึงแม้จะเป็นน้ำที่ผุดขึ้นมาจากธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการกรองใดๆ น้ำกลับใส และไม่มีกลิ่น ว่ากันว่าสามารถดื่มแก้ดับกระหายในฤดูร้อนอีกด้วย
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 15 นาที จากสถานี Omagari
เวลาทำการ 8.30 – 17.00 น. *หยุดวันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
Misato-cho accommodation Exchange Center “Wakuasu“
ทริปนี้เราได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมสถานที่เก็บตัวและฝึกซ้อมของนักกีฬาแบดมินตันประเทศไทยสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่ Misato-cho accommodation Exchange Center “Wakuasu”
หลังจากที่ก้าวเข้าไปในอาคารด้านใน ก็ต้องสะดุดตากับเสื้อและลายเซ็นของนักแบดที่ตั้งโชว์อยู่ด้านหน้า แต่ความประทับใจที่เรารู้สึกได้ ไม่ใช่แค่มาเยี่ยมชมสถานที่เท่านั้น แต่เป็นการได้เห็นความสัมพันธ์ที่ญี่ปุ่นและไทยมีต่อกันต่างหาก เพราะชาวอะกิตะเองคอยส่งกำลังใจเชียร์นักแบดมินตันคนไทยด้วยนะ!
Iirios
อาคารฝึกซ้อมแบดมินตันของที่นี่ ทันสมัย เห็นแล้วน่าเข้าไปตีแบดสุดๆ เจ้าหน้าที่บอกว่านอกจากจะใช้เป็นสนามแบดแล้ว ก็ปรับให้เป็นสนามฟุตซอล และสนามบาสได้อีกด้วย
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 20 นาที จากทางด่วน Akita Expressway Omagari IC หรือประมาณ 30 นาที จากทางด่วน Akita Expressway Yokote IC
Togaku Sakamoto Residence
คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยสวนสไตล์ญี่ปุ่นแห่งนี้ คือสมบัติที่ดินของตระกูลซากาโมโตะมอบให้เป็นของกำนัลแก่เมืองมิซาโตะ ถูกสร้างขึ้นเมื่อสมัยยุคปีค.ศ.1897 หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซันริคุในปีค.ศ.1896 ปัจจุบันมีพื้นที่บางส่วนได้ถูกรื้อทิ้งออกไป แต่สวนสไตล์ญี่ปุ่นก็ยังคงสภาพแบบดั้งเดิมเอาไว้อยู่
วิธีการเดินทาง นั่งรถบัสประจำทาง 30 นาที จาก Omagari Bus Terminal สถานี Omagari
เวลาทำการ 9.00 – 17.00 น. ประตูปิด 16.30 น.*หยุดทุกวันจันทร์ และฤดูหนาวช่วงเดือนธันวาคม ถึง มีนาคม
New Japan roadside trees Hyakkei “pine, cedar tree”
ตื่นมาสูดอากาศตอนเช้าของฤดูใบไม้ร่วงที่ทางเดินต้นสน 1 ใน 100 สถานที่ทิวทัศน์สวยงามในประเทศญี่ปุ่น จุดเริ่มต้นของทิวทัศน์สวยงามแห่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อสมัยปีค.ศ.1897 ตระกูลซาคาโมโตะต้องการให้เมืองมิซาโตะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว จึงได้ริเริ่มโครงการปลูกแนวต้นสนนี้ขึ้นมา จนเวลาผ่านไปที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นทางเดินต้นสนแสนโรแมนติคไปโดยปริยาย
Yokochan
ร้านขายผักผลไม้ ผักดองและของแปรรูปแห่งนี้ คือร้านที่รณรงค์ให้ชาวบ้านใช้ของในท้องถิ่นที่ผลิตในท้องถิ่น รวมไปถึงของฝากที่หาซื้อได้เฉพาะเมืองมิซาโตะก็มีวางจำหน่าย
สิ่งหนึ่งที่มาแล้วอยากให้ลองก็คือ Niteko Cider ไซเดอร์ที่ใช้น้ำจากบ่อน้ำนิเทโกะ รสชาติหวานละมุนเหมือนไซเดอร์ทั่วไปแต่ความซ่าไม่บาดคอ ทานคู่กับโดนัทถั่วเหลืองก็อร่อยไปอีกแบบ และเจลาโต้รสข้าว Akitakomachi
เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. (เม.ย.-ต.ค.) / 9.00 – 17.00 น. (พ.ย.-มี.ค.) *หยุดวันพฤหัสบดีที่ 2 และ 4 ของเดือน
Komatsuya
มองเผินๆ ก็คงจะคิดว่าที่นี่เป็นนิทรรศการจัดโชว์แมลงสต๊าฟ แต่จริงๆ แล้วมันคือร้านขายขนมหวานต่างหาก ซึ่งของขึ้นชื่อของร้านนี้คือช็อคโกแลตรูปแมลงต่างๆ โดยเฉพาะตัวด้วง ที่หน้าตาของมันเหมือนแมลงสต้าฟจริงๆ แถมรสชาติก็อร่อยด้วย! ดูเพิ่มได้ที่เฟสบุคแฟนเพจ Komatsuya
วิธีการเดินทาง เดินเท้า 10 นาที จากสถานี Yokote
เวลาทำการ 9.00 – 18.00 น. *หยุดทุกวันอังคาร
Idehaya
เมืองโยโคเตะ ถือเป็นเมืองต้นกำเนิดของเมนูยากิโซบะ มีร้านขายยากิโซบะด้วยกันกว่า 40 ร้าน แต่ร้านที่ได้รับการการันตีว่าอร่อยที่สุดในเมือง คือร้าน Idehaya
ไข่ดาวเยิ้มๆ และเส้นหนานุ่ม ผัดซอสหวานสูตรเฉพาะของทางร้าน ทำให้เมนูจานนี้ไม่เหมือนยากิโซบะทั่วไป ไข่แดงที่คลุกเคล้ากับเส้น อร่อยจนละมุนลิ้นมากๆ ราคาจานปกติ 550 เยน /เพิ่มเนื้อวัว 860 เยน /เพิ่มพริก 650 เยน
วิธีการเดินทาง เดินเท้า 10 นาที จากสถานี Yokote
เวลาทำการ 11.00-13.30 น. / 17.30-22.00 น. *หยุดทุกวันจันทร์
Yokote Kamakura
พิพิธภัณฑ์โยโคเตะคามาคุระได้จำลองกระท่อมหิมะคามาคุระในอุณหภูมิ -10 องศา เพื่อให้คนได้เข้ามาชมได้ตลอดทั้งปี ด้านในมีบริการเช่าชุดกันหนาวแบบโบราณให้เปลี่ยนถ่ายรูปด้วยนะ เพื่อความเหมือนจริง
ขากลับอย่าลืมแวะซื้อน้ำองุ่นรสเข้มข้น 100% ส่งตรงสดๆ จากฟาร์ม Osawa
วิธีการเดินทาง เดินเท้า 10 นาที จากสถานี Yokote
เวลาทำการ 9.00-17.00 น. *หยุดวันที่ 29 ธันวาคม – 3 มกราคม
เว็บไซต์ Yokote Kamakura
Chida Fruit Farm
ถิ่นกำเนิดแอปเปิ้ลพันธุ์อะกิตะ หวานฉ่ำ อยู่ที่ สวนผลไม้ Chida Fruit Farm เป็นสวนผลไม้ที่เปิดมายาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 1890 นอกจากแอปเปิ้ลพันธุ์อะกิตะ หรือชินาโนะสวีทแล้ว ยังมีแอปเปิ้ลอีกกว่า 14 สายพันธุ์ให้คุณได้ชิมความอร่อยกันแบบสดๆ ใครชอบสายพันธุ์ไหนก็สามารถออกมาซื้อกลับบ้านได้ที่ร้านของฝากด้านหน้า
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Jumonji
ค่าใช้จ่าย 500 เยน กินได้ไม่อั้น (เฉพาะแอปเปิ้ล) *กรุณาจองล่วงหน้าก่อนเข้ารับบริการ
Inaniwa Udon Sato Yosuke Urushigura Museum
Inaniwa Udon หรืออุดงเส้นแบนของจังหวัดอะกิตะ ที่ผ่านกรรมวิธีการผลิตด้วยมือทุกขั้นตอน มีรสสัมผัสนุ่ม และลื่นคอต่างจากเส้นอุด้งอ้วนๆ ทั่วไป หากคนไทยคนไหนมาแล้วคิดถึงอาหารไทยแต่ก็อยากสัมผัสความเป็นญี่ปุ่น เขาก็มีเมนูอุด้งแกงเขียวหวาน อุด้งแกงมัสมั่นอีกด้วย
และร้านที่เรามาชิมอุด้งต้นตำรับในวันนี้คือร้าน Sato Yosuke Urushigura Museum อันเก่าแก่ เปิดตั้งแต่สมัยค.ศ. 1860 นอกจากจะเปิดเป็นร้านอุด้งแล้ว ยังมีโซนที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์เอาไว้โชว์อุปกรณ์ รวมถึง กรรมวิธีการผลิตให้ลูกค้าได้ชมกันเพลินๆ
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Jumonji
เวลาทำการ 9.00 – 17.00 น. (ส่วนของพิพิธภัณฑ์) / 9.00 – 17.00 น. (ส่วนของร้านค้า) / 11.00-15.00 น. (ส่วนของร้านอาหาร) *หยุดวันขึ้นปีใหม่ และวันจันทร์ (เฉพาะฤดูหนาว)
เว็บไซต์ Sato-Yosuke
Uchigura In Matsuda Town
เข้ามาที่ถนนคุระ สองข้างทางที่เต็มไปด้วยบ้านญี่ปุ่นแบบโบราณ ซึ่งถ้ามองแค่ภายนอกจะไม่รู้เลยว่าด้านในบ้านจริงๆ คือโถงโกดังเก็บของสำคัญที่ดูโอ่อ่า (คุระในภาษาญี่ปุ่นแปลว่าโถงโกดัง) เมื่อก้าวเข้าไปในบ้านจะพบกับโถงโกดังคุระ ที๋ซ่อนตัวอยู่หลังประตูบานไม้เก่า ปัจจุบันบางบ้านจะเปิดใช้คุระ หรือโกดังสำหรับเก็บสินสอดในงานพิธีมงคลเท่านั้น หรือบางทีก็ใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Jumonji
ค่าใช้จ่าย บางหลังสามารถเข้าชมได้ ในราคา 200 เยน
เว็บไซต์ Uchigura
Kurawo
ระหว่างทางเดินในถนนคุระ เราแวะมาลิ้มลองอาหารที่ญี่ปุ่นที่ใช้ โคจิ เป็นส่วนประกอบสำคัญเกือบทุกเมนู โคจิที่ว่า คือการนำข้าวมาหมักกับโชยุ หรือมิโสะจนเกิดเป็นซอส เพื่อใช้ในการปรุงอาหารให้ได้สุขภาพที่ดีจากภายใน
นอกจากจะใช้ปรุงอาหารแล้ว ยังนำมาใส่ในซอฟต์ครีม รสชาติหวานกลมกล่อมลงตัว
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Jumonji
เวลาทำการ 10.00-16.00 น. / อาหารกลางวัน 11:30 น.-14:00 น. *หยุดทุกวันพุธ
Michi No Eki
แหล่งรวมตัวของแม่บ้านชาวอะกิตะคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ตลาดใกล้สถานี Jumonji ที่เพรียบพร้อมไปด้วยผักผลไม้ ปลาสด รวมไปถึงของฝากก็สามารถหาซื้อได้จบแบบครบครัน มาถึงจังหวัดอะกิตะทั้งทีแล้ว ของพลาดที่ไม่ควรพลาดคือ อิบุริกักโคะ หรือ หัวไชเท้าดองแบบรมควัน จะกินเป็นผักดองเครื่องเคียง หรือแกล้มเหล้าก็อร่อย
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 5 นาที จากสถานี Jumonji
เวลาทำการ 9.00-19.00 น. / ฤดูหนาว (ธ.ค.-มี.ค.) 9.00-18.00 น.
Yamamo Miso and Soy Sauce Brewing Company
ร้านขายโชยุในบรรยากาศไม้เก่า สัมผัสถึงกลิ่นอายความเป็มไวน์เนอร์รี่ด้วยเฟอร์นิเจอร์และขวดโชยุที่เรียงรายนับร้อยระหว่างที่เจ้าของร้านพาทัวร์โรงบ่มโชยุและอธิบายถึงกรรมวิธีการผลิต กลิ่นหอมอ่อนๆ ของมิโสะโชยุก็ลอยมาแตะจมูกเราตลอดทาง ทำให้อดใจไม่ไหว ต้องแวะซื้โชยุกลับบ้านติดไม้ติดมือ
ไม่ไกลจากโรงบ่มโชยุ มีศาลเจ้า Hachiman , ศาลเจ้า Sui และตุ๊กตาฟาง Okashimasama ให้ได้แวะเช็คอินด้วย
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 10 นาที จากสถานี Jumonji
เวลาทำการ 9.00-18.00 น. *หยุดวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
Abe Ryokan
อีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้ คือการชมใบไม้เปลี่ยนสีที่หุบเขา Oyasu ระหว่างทางเราขึ้นเขาจะเห็นไอน้ำสีขาวจากแหล่งน้ำพุร้อนออนเซ็นลอยฟุ้งขึ้นมาตัดกับใบเมเปิ้ลสีแดงดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ
พอยิ่งเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะได้เจอกับเรียวคังเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หุบเขาสีแดงสดอย่าง Abe Ryokan โรงแรมแบบญี่ปุ่นที่คุณสามารถเข้าพัก นอนแช่ออนเซ็นท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีได้
วิธีการเดินทาง นั่งรถยนต์ 45 นาทีจากสถานี Yuzawa