หลายๆคนน่าจะทราบกันดีว่า Nagasaki เป็นหนึ่งในสองเมืองโชคร้าย (อีกเมืองหนึ่งคือ Hiroshima) ที่ถูกอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี 1945 ทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างรุนแรงและผู้คนล้มตายจำนวนมาก จนกองทัพญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ต่อสงครามในครั้งนี้ เช่นเดียวกับเมือง Hiroshima หลังจากเกิดเหตุการ์ณอันน่าสลด จึงได้มีการจัดสร้างอนุสรณ์สถาณเพื่อระลึกถึงเหตุการ์ณในครั้งนี้
Peace park แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1955 สิบปีให้หลังจากเหตุการ์ณในวันนั้น โดยรวบรวมเงินบริจาค การกุศลจากทั่วโลก นำมาสร้างเป็นรูปปั้นสันติภาพ Peace statueมือขวาที่ยกขึ้นสื่อถึง ระเบิดปรมาณูที่ตกลงมาจากฟ้า มือซ้ายเปรียบเสมือน ความสงบสุขตลอดกาล ใบหน้าที่ผ่อนคลายและดวงตาที่หลับลง หมายถึง การสวดภาวนาให้กับผู้เคราะห์ร้าย จากเหตุการ์ณในครั้งนี้ ท่ายืนขาข้างขวากำลังทำท่าขัดสมาธิ และ ขาข้างซ้ายที่ยืน หมายถึง การยืนเพื่อยื่นมือเข้าช่วยทุกคนบนโลกใบนี้ และที่ด้านหน้าของรูปปั้น จะมีหินอ่อนสีดำที่สลักชื่อของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการ์ณในครั้งนี้
ภายในบริเวณสวนรอบๆ มีรูปปั้นที่ถูกส่งมาจากทั่วโลก จัดแสดงที่ Peace Symbol Zone
มีการจัดแสดงข้าวของ อุปกรณ์ต่างๆ รวมไปถึงซากปรักหักพัง ที่ได้รับผลกระทบจากรังสีระเบิดเอาไว้ที่ Nagasaki Atomic Bomb Museum ค่าเข้าชม 200 เยน
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจคือ Urakami Cathedral ท่ามกลางการต่อต้านจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์อันยาวนาน โบสถ์แห่งนี้ถือว่าเป็นโบสถ์คาทอลิก ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกในยุคสมัยนั้น
Urakami cathedral ได้ถูกทำลายลงจากระเบิดปรมาณูเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันเรายังสามารถเห็นซากของโบสถ์เดิมได้จาก บริเวณ Peace Park
ถึงแม้ว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับในสมัยนั้น เนื่องจาก ชาวคริสเตียนที่อาศัยอยู่ในเมือง ต้องการที่จะสร้างโบสถ์ขึ้นใหม่บนพื้นที่เดิม เนื่องจากมีเหตุผล ทางประวัติศาสตร์ของผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมา แต่ไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงได้มอบพื้นที่ใหม่บนเนินเข้าเพื่อสร้างโบสถ์ขึ้นมาอีกครั้งในปี 1959
ระหว่างทางแวะลงที่สถานี Nagasaki-eki mae เพื่อแวะชมอนุสาวรีย์ และ พิพิธภัณฑ์ Site of Martyrdom of the 26 Saints หลังจากได้รับรูู้เรื่องราวของศาสนาคริสต์ ที่มีบทบาทและแพร่หลาย ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก หันมานับถือศาสนาคริสต์ จนทางการเกรงว่าอาจจะก่อให้เกิดการก่อกบฎในอนาคต บาทหลวงถูกขับไล่ออก นอกประเทศ ชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์ต้องใช้ชีวิต อย่างยากลำบาก นำมาสู่การจัดการขั้นเด็ดขาดในปี 1597 โดยทางการสั่งขับไล่ชาวคริสเตียน 26 คน ออกจากกรุงเกียวโตมายังเมืองนางาซากิ และสั่งประหาร โดยใช้หอกแทงจนเสียชีวิตพร้อมตึงกางเขนเพื่อเป็นการขู่ขวัญ หลังจากนั้นราว 300 ปีก็ได้มีการจัดสร้าง อนุสาวรีย์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นรำลึกถึงผู้ที่เสียสละชีพจากเหตุการ์ณในครั้งนั้น และเพิ่งครบรอบ150 ปี ในปี 2013 นี้ รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.26martyrs.com/
ระหว่างทางเดินลงจะมีศาลเจ้าจีน (อาคารสร้างเป็นสไตล์โมเดิร์น) มองเห็นองค์เจ้าแม่กวนอิมโดดเด่นเป็นสง่าอยู่
จุดหมายต่อไปคือ ไปเที่ยวที่ Chinatown ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นกัน นั่ง Street car สายสีน้ำเงินจาก Nagasakieki-mae ลงที่ป้าย Tsuki-machi เดินต่ออีกสักนิด ก็จะถึง Shinchi Chinatown 新地中華街 หลายคนที่เคยไป Chinatown ทั้งที่ Yokohama และ Kobe มาแล้ว อาจจะรู้สึกว่า Chinatown ของเมือง Nagasaki นั้นจะไม่กว้างมากและไม่ดูคึกคักเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังคงอนุรักษ์ความเก่าแก่ดั้งเดิม มาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 เลยทีเดียว โดยเฉพาะซุ้มประตูแต่ละทิศ ที่ออกแบบไม่ซ้ำกัน และใครที่อยากลองชิม Champon หรือ Sara Udon แบบต้นตำรับ ต้องมาที่ Chinatown แห่งนี้ มีหลายร้านให้เลือกจนตาลายเลยละครับ
ขนมอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ Kakuni-manju มันจูสอดไส้เนื้อหมูต้มพะโล้ ถ้าเดินเข้าประตูทางทิศเหนือ จะมีร้านตั้งอยู่ตรงหัวมุมเลย อร่อยมากๆ
สถานที่อีกแห่งที่น่าสนใจ คือ Dejima 出島 ใครอยากจะไปที่นี่ ต้องรีบบริหารเวลากันให้ดีพอสมควร เพราะไม่งั้นอาจจะไปไม่ทันเวลาเข้าชมด้านในได้ ทางที่ดี ควรไปแต่เช้าเลยดีกว่า เพราะที่นี่เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่ 8.00-18.00 เดิมในสมัยที่ญี่ปุ่นเปิดเกาะทำการค้า ชาวโปรตุเกสจะพำนักอาศัยอยู่ที่เมือง Nagasaki มากที่สุด นอกจากจะทำการค้าแล้ว ยังนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ จนเป็นที่เเพร่หลายในวงกว้าง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงต้องออกมาตรการเพื่อที่จะควบคุมกลุ่มคนเหล่านี้ โดยการสั่งให้สร้างเกาะ Dejima แห่งนี้ขึ้นมา และให้ชาวโปรตุเกสอาศัยอยู่บนเกาะนี้เท่านั้น ในช่วงที่กว่า 2 ศตวรรษญี่ปุ่นปิดประเทศ เกาะ Dejima แห่งนี้ จึงเป็นประตูทางเข้าออกของชาวต่างชาติ และ วัฒนธรรมตะวันตกเพียงแห่งเดียว ต่อมาชาวโปรตุเกสได้ถูกขับไล่ออกจากเกาะเนื่องจากมีเหตุการณ์กบฎเกิดขึ้น และชาวดัชต์ได้เข้ามาอาศัยอยู่แทน
ในปัจจุบัน Dejima ไม่ได้มีรูปทรงเป็นเกาะอีกแล้ว แต่มีโครงการที่จะขุดลอกคลองทั้ง 4 ด้านเพื่อให้กลับมาเป็นเกาะอีกครั้ง สถานที่เที่ยวใน Dejima คือการเดินชมวิวที่ท่าเรือ หรือ ทานซูชิ ซาชิมิกันแบบสดๆที่ Dejima Wharf และ พิพิธภัณฑ์ Dejima museum ค่าเข้าภายในบริเวณ Dejima 500 เยน
ขอบคุณภาพจาก wikipedia
Glover Garden グラバー園 สำหรับผู้ที่สนใจอยากชมความเป็นอยู่ของชาวตะวันตกที่เข้ามาทำการค้าในยุคอุตสาหกรรมช่วงปลายศตวรรษที่ 18 หลังจากที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศแล้ว ต้องมาที่นี่ เพราะพ่อค้านักลงทุนยักษ์ใหญ่ Mr.Thomas Glover จาก Scotland ได้สร้างบ้านเอาไว้ที่ยอดเขา Minami-Yamate แห่งนี้ ในปี 1863 สามารถชมวิวบริเวณ Nagasaki harbour ได้อีกด้วย ค่าเข้าชม 600 เยน ปกติทั่วไปจะเปิด 8.00-19.00 แต่ถ้าเป็นช่วงสิงหาถึงตุลา จะปิดค่อนข้างดึกถึง สามารถไปชมได้ถึง 3 ทุ่มเลย
ขอบคุณภาพจาก wikipedia
ช่วงเย็นๆถึงหัวค่ำ จุดชมวิวที่มีชื่อเสียงมากๆของเมืองคือ Mount Inasa 稲佐山 มีความสูง 33 เมตร สามารถเดินทางไปยอดเขาได้ด้วย Nagasaki Ropeway ใครที่ชื่นชอบวิวดวงไฟตอนกลางคืน ที่ยอดเขา Hakodate ที่นี่ก็มีชื่อเสียงและสวยงามไม่แพ้กัน ได้รับการขนานนามว่าเป็น “10 Million Dollar Night View” เดินทางโดยนั่ง Street car ลงที่ป้าย Takara-Machi และเดินต่อไปเพื่อขึ้น Ropeway ค่าเดินทางไปกลับ 1,200 เยน สามารถซื้อล่วงหน้าจะถูกกว่าเล็กน้อย หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือนั่งรถบัสจากสถาณี Nagasaki ไปที่ Inasayama Bus stop ใช้เวลา 15 นาที ค่ารถ 150 เยน และต้องเดินเท้าต่อไปยังจุดชมวิว อีก 15 นาที เช็คตารางรถออกได้ที่ด้านหน้าสถาณี Nagasaki ตรงจุดให้บริการข้อมูล
ขอบคุณภาพจาก wikipedia
สะพานแว่นตาแห่งนางาซากิ มีชื่อเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Meganabashi 眼鏡橋 เป็นสะพานที่อยู่บนเส้นแม่น้ำ Nakashima สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1634 โดยพระรูปหนึ่งของวัด Kofukuji นามว่า Mokusu ว่ากันว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานหินทรงโค้งที่มีความเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
ใครที่ไปถึงสะพานแว่นตาแล้ว ต้องลงไปเดินข้างล่างเพื่อมองหาหินรูปหัวใจ ที่มีกระจายอยู่ตลอดทั้งแนว เห็นว่ามีมากถึง 20 ก้อนเลยทีเกียว ใครตาดีหาจนเจอแล้วก็ต้องขอให้สมหวังในเรื่องความรักนะครับ ^^
ขอบคุณภาพจาก meganebashi.com
และอีกหนึ่งความเชื่อ หากใครสามารถโยนเหรียญจากด้านบนของสะพานลงไปแล้วเหรียญไม่ตกลงไปในน้ำ คำขอพรจะเป็นจริง
ขอบคุณภาพจาก meganebashi.com
มื้อค่ำวันนี้ฝากท้องไว้ที่ร้าน Isakaya แบบ local มากๆ อยู่ใกล้ๆกับที่พัก ที่สำคัญคุณแม่เจ้าของที่พักแนะนำมาเองว่าถ้ามีโอกาสอยากให้ไปลองอาหารที่ร้านนี้ นอกจากจะได้บรรยากาศญี่ปุ่นแล้ว ยังได้ชมวิวแม่น้ำ Nakashiima อีกด้วย ร้านนี้มีชื่อว่า Hanagoza เจ้าของร้านเป็นกันเองและพนักงานน่ารักสุดๆ http://www.open21.to/ajisaiki/hanagoza/