เช้านี้เริ่มต้นการเดินทางที่สถานี JR Hakata และเริ่มใช้ตั๋ว JR Pass Norhern Kyushu แบบ 3 วันเป็นวันแรก ดังนั้นเราจะต้องไปที่ Ticket Office ต้องพกพาสปอร์ตติดตัวมาด้วยนะครับ
การเดินทางไปยังเมือง Nagasaki นั้นจะใช้รถด่วน ไม่มี ชิงคังเซนวิ่ง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง ขบวนที่ขึ้นมีชื่อว่า Kamome เป็น Limited Express โดยเฉลี่ยแล้วมีออกทุกๆ 30 นาที ถ้าไม่ใช้ JR Kyushu Pass ค่าโดยสารต่อเที่ยว 4,580 เยน
โฉมหน้าของ KAMOME EXPRESS รถขบวน Shiroi Kamome เป็นขบวนสีขาว Series 885 รุ่นใหม่ล่าสุดเพิ่งเริ่มใช้เมื่อปี 2000 นี่เอง ด้านในหรูหรา นั่งสบาย มีอาหารบริการจำหน่ายบนเครื่อง พนักงานก็น่ารัก แถมมารายาทดีสุดๆ ที่สำคัญราคาอาหารเบนโตะ จะถูกกว่าที่ขายในสถานี หน้าตาน่ากินเหมือนกันเลย ถ้าใครไม่มีเวลา มาซื้อบนรถไฟก็ได้นะครับ
มองไปด้านหน้าสถานี Nagasaki ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ดูท่าจะไม่มีแววหยุดเอาง่ายๆ เลยตัดสินใจเดินสำรวจบริเวณรอบๆสถานี ที่ชั้นบนของสถานีจะมีห้าง ขายพวกเสื้อผ้า ของแฮนเมดกระจุ้กกระจิ้ก ของฝากของที่ระลึกก็มีขายละลานตามาก ที่ร้านค้าของสถานีก็มีขายรถไฟของเล่น ทั้งพวงกุญแจ และ แบบรถไฟประกอบ สารพัดแบบ แถมมีพระเอกของเราวันนี้ เจ้า Shiroi Kamome ด้วยครับ ได้เวลาเสียทรัพย์กันแล้วสิ
หลังจากเดินจนทั่ว ฝนก็เริ่มซาลง แต่ยังไม่หยุดสักที คิดว่าถ้ารอต่อไป ฟ้าก็คงมืด กลัวจะหาที่พักลำบาก เพราะที่พักวันนี้เป็น Hostel น่ารักๆ ของครอบครัวชาวญี่ปุ่น
สำหรับที่พักในวันนี้ ต้องนั่ง Street Car สายสีแดง จาก Nagasaki-eki mae ลงที่ป้าย Kokaido mae แล้วเดินต่อขึ้นไปทางสะพานแว่นตา มองไปทางซ้ายก็จะเจอป้ายที่พักเขียนว่า Akari Hostel ราคามีหลายแบบ แต่ถ้าต้องการห้องส่วนตัว ห้องคู่ตกอยู่ที่คืนละ 5,900 เยนเท่านั้น ภายในตกแต่งเรียบง่าย สะอาดสะอ้าน ให้บรรยากาศเหมือนมาพักอยู่บ้านคนญี่ปุ่น เจ้าของใจดีมาก พูดภาษาอังกฤษได้ทั้งบ้านครับ รายละเอียดที่พัก และที่สำคัญที่นี่ มีบริการพาทัวร์เที่ยวชมเมืองแบบฟรีๆด้วย สนใจสอบถามโปรแกรม Short walk with locals กับทางเค้าได้เลยครับ http://www.nagasaki-hostel.com/
วิธีการเดินทางเที่ยวในเมือง จะต้องนั่ง Street Car หรือรถ Tram ราคาเที่ยวละ 120 เยน ถ้าจะเที่ยวทั้งวันก็มีตั๋ว 1-day จำหน่าย ราคา 500 เยน ส่วนใครจะใช้ตั้งแต่วันแรก ให้ซื้อที่สถานี Nagasaki ได้เลย ที่จุดให้บริการข้อมูลท่องเที่ยว หรือ ที่พักบางแห่งก็มีจำหน่ายเช่นกัน เพราะการเดินทางจะให้ทั่วทั้งเมืองนั้น Street car เป็นวิธีที่เหมาะที่สุดครับ มีทั้งหมด 4 สาย น้ำเงิน, แดง, เหลือง, เขียว เดินทางได้ทั่วทั้งเมือง ดาวโหลดแผ่นพับได้ที่นี่ >>>NAGA-DEN<<<
สถานที่ตั้งของที่พักนั้นค่อนข้างสะดวกมาก ห่างจาก City center เพียงแค่ 10 นาทีเดิน และ สามารถเดินเที่ยวไปยังที่เที่ยวสำคัญๆได้อย่างง่ายๆ หรือใครจะเช่าจักรยานแล้วปั่นเที่ยวก็สามารถทำได้ บรรยากาศรอบๆโรงแรมก็เป็นวิวคลอง ที่มีสะพานแว่นตา Meganebashi หนึ่งในจุดที่ต้องแวะเที่ยวอยู่แล้ว และค่อนข้างเงียบไม่วุ่นวาย โดยรวมแล้วผมถือว่าที่นี่ อยู่สบายคุ้มค่ากับราคามากๆครับ
ก่อนออกเดินทางแวะซื้อตั๋ว 1-Day Street Car ที่โรงแรมสักหน่อย เนื่องจากที่พักนั้นตั้งอยู่ใกล้ๆกับ Teramachi ย่านที่รวมวัดต่างๆที่มีชื่อเสียงของ Nagasaki เช้านี้จึงเลือกเดินอีกเส้นทางที่ผ่านด้านหน้าวัด Kofukuji และ Sofukuji ก่อนที่จะไปสุดทางที่ Kanko-Dori เพื่อขึ้นรถ Street car ไปยังที่หมายต่อไป
ย้อนกลับไปเมื่อศตวรรษที่ 16 ญี่ปุ่นได้เปิดประเทศบางส่วนในการทำการค้า และ Nagasaki ได้ถูกเลือกเป็นเมืองน่าเนื่องจากมีทำเลที่ใกล้กับเมืองจีน ดังนั้น วัฒนธรรมจีนจึงแพร่หลายเข้ามาอย่างรวดเร็ว และมีอิทธิพลอย่างมาก วัดเซนแห่งแรกก็ได้ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ซึ่งก็คือวัด Kofukujji นั่นเอง ในปี 1620 พระจีนรูปหนึ่ง ได้สร้างศาลเพื่อทำการสวดขอพรให้เหล่าพ่อค้าจากราชวงศ์หมิงเดินทางเข้ามาทำการค้าอย่างราบรื่น
ในสมัยนั้น รัฐบาลเอโดะได้จำกัดสิทธิห้ามนักบวชชาวคริสต์ เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในญี่ปุ่น จึงทำให้พระจีนสร้างวัดเพิ่มขึ้นมากมาย เพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังศรัทธาอันแน่วแน่ต่อศาสนาพุทธ ในอดีตวัด Kofukuji แห่งนี้ จึงเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธนิกายเซน และเป็นโรงเรียนสอนหนังสืออีกด้วย
ภายในวัดจะมี Daio Honden อาคารหลัก สร้างขึ้นในปี 1632 แต่ได้ถูกเพลิงไหม้ไปภายหลังจึงได้มีการสร้างขึ้นใหม่ในปี 1883 คืออาคารที่เห็นในปัจจุบัน ภายในตกแต่งด้วย Ruri-to (Glass Lantern) ที่นำเข้ามาจากเซี่ยงไฮ้ วัดนี้เก่าแก่มาก สังเกตุได้จากตัวอาคารที่เป็นไม้ สมแล้วที่มีอายุร้อยกว่าปี
เดินต่อมาเรื่อยๆจะพบกับวัดต่างๆตามทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วัด Emmeiji, Choshoji และ Kotaiji ที่วัด Kotaiji แห่งนี้ ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป มีความเก่าแก่และยิ่งใหญ่มาก ที่นี่ไม่เสียค่าเข้าชม เวลาถ่ายรูปก็ระวังอย่าใช้แฟลช หรือ ถ้ามีพระอยู่ก็ต้องมีมารยาทไม่รบกวนท่านนะครับ
เดินจนสุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินต่อ จะเห็นซุ้มประตูทางเข้าสีแดงใหญ่ๆ แสดงว่า เราถึงวัด Sofukuji แล้ว วัดแห่งนี้เป็นวัดเดียวที่สร้างขึ้นตามแบบวัดจีนโบราณ ด้วยอาคารสีแดงเด่นเป็นสง่า สร้างขึ้นเมื่อปี 1629 ภายในก็ได้มีการออกแบบจากสถาปัตยกรรมในยุคราชวงศ์หมิง และมีพระพุทธรูปองค์สีทองสำหรับสักการะขอพร ต้องลองเข้าไปสัมผัสบรรยากาศด้านในดูครับ มันช่างมีขลังเหมือนมีมนต์สะกด ค่าเข้า 300 เยน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 8.00-17.00
มา Nagasaki ทั้งทีต้องลองของขึ้นชื่ออย่าง Champon ちゃんぽん ราเมงน้ำข้นที่ได้อิทธิพลมาจากเมนูบะหมี่ของชาวจีน เสิร์ฟพร้อมผัก หมูย่าง และ ซีฟู้ด ตอนนี้ยังค่อนข้างเช้า ร้านอาหารส่วนใหญ่ในย่าน Kanko Dori ยังไม่เปิด
โชคดีที่มีร้าน Nagasaki Champon ของ Ringer Hut เปิดแล้ว มื้อนี้เลยต้องขอเข้าไปฝากท้องสักหน่อย จัด Champon ไปหนึ่งชาม พร้อมกับเกี๊ยวซ่าสูตรพิเศษราดซอสอร่อยของทางร้าน นับว่ามื้อนี้ทั้งอิ่มทั้งอร่อยเลยละครับ
หลังจากเดินกันมาครึ่งค่อนวัน ได้เวลาใช้บัตร Street car 1-Day ขึ้นรถรางกันแล้ว ใครที่ไม่ได้ซื้อมาจากที่สถานี Nagasaki หรือจากที่พัก ก็ยังสามารถหาซื้อได้ จากร้านขายตั๋วที่นี่เช่นกัน สถานีที่ใกล้ที่สุดตอนนี้คือ Shianbashi และจุดหมายต่อไปของเราคือ Nagasaki Atomic Bomb Museum และ Peace Park
แล้วมาต่อกันตอนหน้าครับ >>> Nagasaki: เดินย้อนรอยอดีตที่นางาซากิ ตอน 2