จากตอนที่แล้ว เราได้พาไปรู้จักสถานที่เที่ยวสำคัญทางประวัติศาตร์ของ เมืองมัตสึเอะ (Matsue) กันเป็นที่เรียบร้อย มาถึงตอนที่สอง ก็จะพาไปอีก 2 สถานที่ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสวนงาม แต่มีความแตกต่างกัน โดยแห่งแรกคือ Matsue Vogel Park ที่เป็นสวนนกและสวนดอกไม้ในแห่งเดียว ส่วนอีกแห่งนั้นคือ Adachi Musuem of Art เป็นสวนญี่ปุ่นที่สวยงามติดอันดับโลก สามารถไปเที่ยวได้ภายในวันเดียว ถือว่าเป็นวันชิลล์ๆได้เลย
อ่านตอนแรกได้ที่นี่ >> ล่องเรือเที่ยว Matsue เมืองแห่งน้ำ และ ปราสาทงาม [ตอน 1]
เข้าสู่เว็บไซต์แนะนำข้อมูลท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการได้ที่นี่
แผนที่ตั้งของเมืองมัตสึเอะ
เช้าวันนี้ เราจะเดินทางไปเที่ยว Matsue Vogel Park กันก่อน สำหรับการเดินทางให้ตั้งต้นจากสถานี Matsue Shinjiko Onsen โดยสารรถไฟ Ichibata Electric Railway สาย Kita-Matsue (สายเดียวกับที่ไปลงศาลเจ้าอิซุโมะไทฉะ) มาลงที่สถานี Matsue Vogel Park ใช้เวลา 16 นาทีเท่านั้น
รถไฟสาย Ichibata จะมีขบวนพิเศษที่ตกแต่งทั้งคันเป็นสีชมพู และมีลายของชิมะเนกโกะ มาสคอตชื่อดังประจำจังหวัดชิมะเนะ เป็นหลัก ไม่ใช่เพียงภายนอกขบวนเท่านั้น ภายในขบวนก็มีกิมมิคน่ารักมากมายที่ให้ลูกค้าที่ใช้บริการได้ลองตามหา ไม่ว่าจะเป็น ห่วงจับลายหัวใจ ม่านลายหัวใจ เป็นต้น
สถานี Matsue Vogel Park
สวนนกมัตสึเอะ (Matsue Vogel Park) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทะเลสาบชินจิ เป็นสวนดอกไม้และสวนนกในแห่งเดียวกัน ซึ่งถือว่าหาชมได้ยากในญี่ปุ่นเมื่อเข้ามาด้านในจะถูกต้อนรับด้วยกลิ่นหอมของดอกเบโกเนีย (Begonia) หรือดอกโบตั๋น และ ดอกฟูเชีย (Fuchsia) ที่เบ่งบานตลอดทั้งปี ภายใต้กรีนเฮาส์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลกที่นี่คือสวรรค์ที่แท้จริงของดอกไม้นานาพันธุ์ และนกหลากชนิด ที่สามารถชื่นชมได้อย่างใกล้ชิด จากการให้อาหาร และชมการแสดงสุดพิเศษจาก นกฮูก และ เพนกวิน เป็นต้น
และด้านบนจุดชมวิว สามารถขึ้นมาชมทิวทัศน์อันสวยงามของทะเลสาบชินจิได้ (มีบันไดเลื่อนที่เหมาะสำหรับผู้ใช้บริการรถเข็น)
สวนนกของที่นี่ เปิดให้เข้าชมอย่างใกล้ชิด และนกไม่กลัวผู้คน มีแต่คนที่จะกลัวนกว่าจะเข้ามาทำร้าย แต่จริงๆแล้วนกที่นี่เชื่องและเข้ากับคนได้ดีมาก เพียงแค่เรามีอาหารอยู่ในมือ นกทุกตัวก็พร้อมที่จะเข้ามาเราอย่างเปี่ยมมิตร
นกแสนรู้ ฉลาดเป็นกรด ครูฝึกสั่งอะไรก็ทำตามได้อย่างแม่นยำ
ช่วงเวลาไฮไลท์ สามารถให้อาหารนก โดยให้นกมาเกาะอยู่บนตัวเราได้ ประทับใจสุดๆเลย ได้ใกล้ชิดกัยนกขนาดนี้ก็ครั้งแรก
ทั้งสวยและเท่ในเวลาเดียวกัน
โชว์นกฮูกที่ไม่ควรพลาด แล้วจะได้รู้ว่านกฮูกนั้นฉลาดและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าทึ่ง
หลังจากเดินทักทายนกกันเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาชมดอกไม้บ้าง
จุดถ่ายรูปแห่งความรัก
แนะนำว่าต้องลองซอฟท์ครีมรสดอกเบโกเนีย หอมอร่อย หวานนุ่มลิ้น
ที่อยู่ | 52 Ogakicho, Matsue, Shimane Prefecture 690-0263, Japan |
---|---|
เวลาทำการ | เมษายน – กันยายน 9.00-17.30 ตุลาคม – มีนาคม 9.00-17.00 ※เข้าก่อนสวนปิด 45 นาที |
ค่าเข้าชม | ผู้ใหญ่ (ต่างชาติ) 1,080 เยน เด็ก (ต่างชาติ) 540 เยน เด็กทารก ฟรี |
การเดินทาง | จากสถานี Matsue Vogel Park เดิน 2 นาที |
เว็บไซต์ | Matsue Vogel Park |
หลังจากนั้นเราย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ JR Matsue เพื่อขึ้นรถไฟสาย San-in มาลงที่สถานี Yasugi ใช้เวลา 25 นาที เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายสำคัญ นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ (Adachi Musuem of Art) ถ้ามาถึงชิมาเนะแล้ว จะไม่มาที่แห่งนี้ก็คงไม่ได้
ภายในสถานีมีการจัดแสดงการแสดงตลกโบราณของญี่ปุ่นให้ดูระหว่างรอรถชัทเทิลบัสมารับ
ตารางเวลาชัทเทิลบัสรับส่งระหว่างสถานี Yasugi – พิพิธภัณฑ์อาดาจิ (ใช้เวลา 20 นาที)
วิวระหว่างทาง ช่างเป็นบ้านเมืองที่สงบสุขเสียจริง
เมื่อเดินทางมาถึงแล้ว ให้จองเวลารถขากลับ โดยเลือกตั๋วที่ระบุเวลาที่ต้องการไว้ด้วย มิฉะนั้นที่นั่งอาจเต็มได้
พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง เมื่อเดินทางมาชิมาเนะหรือแม้แต่ในญี่ปุ่น เพราะสถานที่แห่งนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นอันดับ 1 ของสวนแบบญี่ปุ่นถึง 14 ปีซ้อน นอกจากนี้มิชลินกรีนไกด์ และเดอะไกด์บลูจาปอง ได้ยกย่องสวนนี้ด้วยดาว 3 ดวง ที่ทำให้ได้รับความสนใจในวงกว้างจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
โรงน้ำชาจูริวอัน (Juryu-an Tea House) ที่สร้างขึ้นจากบ้านต้นแบบของ Katsura Imperial Villa เกียวโต
สามารถเข้าชมบ้านทรงญี่ปุ่นโบราณ ที่ใช้วัสดุธรรมชาติในการสร้างตกแต่ง
รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิล ที่จะบับสีสันอันงดงามให้ได้ชมในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
พิพิธภัณฑ์ศิลปะอาดาจิ ถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2513 โดยนักธุรกิจท้องถิ่นคนหนึ่งนามว่า เซ็นโกะ อาดาจิ (Adachi Zenko) พิพิธภัณฑ์เก็บรักษาภาพวาดของญี่ปุ่นรวมถึงภาพวาดชิ้นเอกของโยโกยะมะ ไทคัง ผู้สร้างศิลปะญี่ปุ่นสมัยใหม่, ซากากิบะระ ชิโฮ, งานศิลปะจากเซรามิกโดยคิตาโอจิ โรซันจิ และศิลปินท้องถิ่นคาไว คังจิโร่ โดยรายการที่จัดแสดงจะเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละฤดูกาลสี่ครั้งต่อหนึ่งปี
พิพิธภัณฑ์ยังมีความภาคภูมิใจกับสวนแบบญี่ปุ่น ที่ถูกเลือกให้เป็นสวนที่ดีที่สุดในบรรดากว่า 800 แห่งจากสวนญี่ปุ่นทั่วประเทศโดยนิตยสาร “บันทึกของสวนญี่ปุ่น” (ซุกิยะลิฟวิ่ง) และพิพิธภัณฑ์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นที่สุดแห่งสวนญี่ปุ่นถึง 14 ปีซ้อน
**ขอบคุณข้อมูลจาก Kanko-Shimane.com
พิพิธภัณฑ์ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันแสนสวยงาม
จุดชมวิวสวนที่สำคัญที่สุดภายในพิพิธภัณฑ์จากหน้าต่างที่เรียกว่า “Living Framed Painting”
สังเกตความกลมกลืนกันอย่างลงตัวของสวนกับภูเขารอบๆ ที่เปลี่ยนหน้าตาของมันไปทุกฤดูกาล
White Gravel and Pine Garden ผลงานมาสเตอร์พีซของโยโกยะมะ ไทคัง (Yokoyama Taikan)
ความแตกต่างกันของกรวดสีขาว ที่ตัดกับสีเขียวของต้นสน ได้อย่างงดงาม
Living Hanging Scroll หน้าต่างที่สามารถชมวิวสวนได้สวยงามราวกับเป็นภาพแขวนที่มีชีวิต
ก่อนกลับปิดท้ายดื่มด่ำความเรียบง่ายที่แสนจะงดงามจนไม่อาจละสายตาได้ที่ คาเฟ่ไทคัง (Cafe Taikan)
สั่งเครื่องดื่มอย่างมัทฉะร้อน และมัทฉะเย็น มาจิบอย่างสบายอารมณ์
ที่อยู่ | 320, Furukawa-cho, Yasugi-City, Shimane Prefecture |
---|---|
เวลาทำการ | เมษายน – กันยายน 9.00-17.30 ตุลาคม – มีนาคม 9.00-17.00 |
ค่าเข้าชม | ผู้ใหญ่ (ต่างชาติ) 1,150 เยน เด็กม.ปลาย (ต่างชาติ) 900 เยน เด็กม.ต้น (ต่างชาติ) 500 เยน เด็กประถม (ต่างชาติ) 250 เยน |
การเดินทาง | จากสถานี Yasugi โดยสารรถชัทเทิลบัส ใช้เวลา 20 นาที |
เว็บไซต์ | Adachi Museum |
ที่บริเวณด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์จะมีร้านค้าและร้านอาหาร แนะนำให้มาลองชิมเมนูดังประจำเมืองนี้
และที่นี่มีชาเขียวที่อร่อยไม่แพ้เมืองไหน ปิดท้ายด้วยของหวาน มัทฉะซอฟท์ครีม
ของฝากจากชิมะเนะ
ระหว่างเดินทางกลับไปยังสถานี Yasugi
และแล้วทริปเยือนชิมะเนะก็จบลงอย่างสวยงาม ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน เที่ยวแบบไม่รีบร้อน เก็บครบทุกสถานที่ไฮไลท์ ทำให้หลงรักจังหวัดนี้มากขึ้นไปอีกหลายเท่า ถ้าหากใครมีเวลาในญี่ปุ่นนานๆอยากให้ลองหาโอกาสแวะเวียนมาเยือนกัน ถึงแม้จะเดินทางไกลหน่อย แต่ไม่ได้ลำบากมาก และเมื่อมาถึงก็จะได้สัมผัสกับความเรียบง่ายในแบบของชาวญี่ปุ่น ที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ชิมะเนะเป็นอีกหนึ่งเมือง ที่ทำให้เราอยากกลับไปเยือน “เมืองชนบทของญี่ปุ่น” อย่างไม่จบสิ้น