การเดินทางในครั้งนี้ จะเป็นการใช้พาสรถไฟ JR East Pass Nagano-Niigata Area ใบเดียวอยู่ทั้งทริป โดยตั้งใจจะขึ้นรถไฟ Shinkansen จากสถานี Tokyo นั่งชมวิวกันไปเรื่อยๆตามเส้นทางภาคตะวันออกแล้วแวะท่องเที่ยวกัน 3 จังหวัดด้วยกัน คือ นะงะโนะ (Nagano) นิอิงะตะ (Niigata) และกุนมะ (Gunma) ครับ
พาสนี้สามารถเลือกใช้ได้อิสระ 5 วันเลือกใช้จากระยะเวลา 14 วันตั้งแต่วันที่ออกตั๋ว (ราคา 17,000 เยน ซื้อจากไทยราคาถูกกว่าซื้อในญี่ปุ่น) ดูรายละเอียดพาส >> JR EAST PASS
ครั้งนี้เริ่มต้นการเดินทางกันที่สถานีโตเกียว เนื่องจากต้องมาทำการแลก JR Pass เพื่อใช้ในการเดินทางที่ออฟฟิศของ JR East Travel Service Center ในสถานี Tokyo ด้านในจะมีเคาเตอร์คอยให้บริการนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับการใช้พาส ขั้นตอนการออกพาส บริการจองที่นั่งในรถไฟ พร้อมให้คำแนะนำในเรื่องของการท่องเที่ยว สำหรับใครที่ยังไม่แพลนการเดินทางหรือยังไม่ได้จองโรงแรมมา ที่นี่ก็มีบริการทัวร์ต่างๆรวมถึงรับจองโรงแรมให้อีกด้วย
จุดหมายของการเดินทางในวันนี้อยู่ที่ เมืองโคะโมะโระ (Komoro) ในจังหวัดนะงะโนะ (Nagano) เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม อีกทั้งธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อีกเมืองหนึ่งของญี่ปุ่น
การเดินทาง เริ่มต้นเดินทางจากสถานี Tokyo มาถึงยังสถานี Sakudaira ด้วยรถไฟ Shinkansen ขบวน Hakutaka โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ แล้วต่อรถไฟ JR ธรรมดาสาย Koumi ลงที่สถานี Komoro อีกเพียง 15 นาที
เมืองโคะโมะโระ (Komoro) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดนะงะโนะ เดินเที่ยวชมย่านเมืองเก่าถนน Old Hokkoku-Kaido บ้านพ่อค้าที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโคะโมะโระ ย่านธุรกิจการค้าเก่าสุดคึกคักในอดีตที่ยังคงสืบทอดตำนานและภูมิปัญญาของคนในอดีตสู่ยุคปัจจุบัน
พิพิธภัณฑ์ตุ้กตาเด็กผู้หญิงและชุดกิโมโน ครั้งหนึ่งเคยเป็นคฤหาสน์หลังงามเพื่อพักระหว่างเส้นทางสู่เอโดะของบรรดาไดเมียวและขุนนางในอดีต
โรงบ่มและผลิตสาเกโบราณที่สืบทอดกรรมวิธีการผลิตจนถึงรุ่นปัจจุบันร่วม 300 ปี
ร้านที่ขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกระดาษชื่อดังที่ส่งขายไปทั่วญี่ปุ่น
อย่างที่ได้เกริ่นไปว่าย่านนี้เป็นย่านธุรกิจ ดังนั้นแน่นอนว่าต้องมีธนาคาร ตึกหลังนี้เป็นธนาคารเก่าปัจจุบันได้แปลงสภาพเป็นร้านขายเครื่องจานชามเซรามิกโบราณรวมถึงของเก่าวินเทจอีกมากมาย
ทิวทัศน์สวยๆระหว่างเดินชมย่านการค้าเก่าของเมืองโคะโมะโระ
อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองนี้ นั่นคือ สวนโคะโมะโระไคโคเอ็น (Komoro Kaikoen) หรือ สวนไคโคเอนปราสาทโคะโมะโระ (Castle Ruin Park Kaikoen) ตั้งอยู่บริเวณซากกำแพงปราสาทที่เคยเป็นที่ตั้งของอดีตปราสาทโคะโมะโระอันยิ่งใหญ่
ปัจจุบันเหลือทิ้งไว้เพียงประตูเมืองและซากกำแพงของปราสาท ทิวทัศน์ของภูเขาอะซะมะที่สวยงาม และแม่น้ำชิกุมะ แม่น้ำสายที่ยาวที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่สวยที่สุด 1 ใน 100 ของญี่ปุ่น
สะพานข้ามแม่น้ำที่มุ่งไปสู่ศาลเจ้าทางด้านใน
บรรยากาศของศาลเจ้าด้านในสวน
ภาพสีเขียวชอุ่มของบรรดามอสที่ขึ้นอยู่ทั่วทั้งบริเวณซากกำแพงหินของตัว ปราสาท ทำให้ที่สวนแห่งนี้ได้รับความนิยมอย่างมากมายจากบรรดานักท่องเที่ยว
อีกหนึ่งบริการพิเศษที่ไม่อยากให้พลาดคือการนั่งรถลากโบราณ Jinrikisyaชมทัศนียภาพรอบๆสวนไคโคเอน โดยระหว่างทางผู้ลากรถจะเล่าถึงประวัติของสถานที่แต่ละจุดในสวน โดยจะมีค่าบริการราคา 2000 เยนสำหรับสองท่านใช้เวลารอบละประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์: KAIKOEN
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Komoro สามารถเดินไปได้ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
จากนั้นเดินทางไปออกกำลังขาพร้อมชมความสวยงามของ วัดนูโนะบิกิ คันนง (Nunobiki Kannon) วัดแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 748 ตั้งอยู่บนเขาใช้เวลาเดินเท้าขึ้นไปราว 15 นาที ด้านบนจะเป็นที่ตั้งของวัดที่สร้างขึ้นอยู่บนหน้าผาของภูเขาหิน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือชาวญี่ปุ่นเรียกว่าคันนง โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาอะซะมะ (Mt.Asama) ขนาดใหญ่
ฉากหลังของวัดนูโนะบิกิ คันนง (Nunobiki Kannon) ที่ตั้งอยู่บนหน้าผา
ทางเดินขึ้นสู่ตัววัดผ่านหน้าผาหิน
ขอขอบคุณภาพจากการท่องเที่ยวเมือง Komoro
เว็บไซต์: Nunobiki Kannon
วิธีการเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Komoro โดยสารรถแท็กซี่ 7 นาที
ที่สถานีรถไฟ JR Nagano นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาขอข้อมูลการท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกมาก มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการได้หลากหลายภาษา อีกทั้งยังมีตู้แลกเงินสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการแลกเงินฉุกเฉิน ขอบอกว่าตู้นี้สะดวกสบายมากเนื่องจากสามารถรับธนบัตรได้หลากหลายสกุล โดยมีการแสดงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินเยนแสดงไว้ที่หน้าจอ
จากนั้นเดินทางไปเยี่ยมชมวัดพุทธชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple)
วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple) เป็นวัดพุทธศาสนาแห่งแรกที่มีความสำคัญอันดับต้นๆในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 เป็นวัดในพุทธศาสนาที่ไม่มีนิกาย ในอดีตวัดเซ็นโคจิถือเป็นเพียงวัดเดียวที่อนุญาตให้เพศหญิงเข้ามาสวดมนต์ ภายในโบสถ์ได้ อีกทั้งยังมีภิกษุณีประจำภายในวัดอีกด้วย ภายหลังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานที่ล้ำค่าของชาติ โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่าวัดเซ็นโคจิแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งวัดที่ควรไปสักการะสักครั้งในชีวิต
ภายในวัดยังมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญมากมาย อาทิเช่น ประตูนิโอมง (Niomon Gate) เป็นประตูซุ้มไม้ชั้นนอกขนาดใหญ่ โดยซุ้มประตูทั้งสองด้านมียักษ์เทวบาลคอยปกปักษ์รักษา
หลังจากเดินผ่านซุ้มประตูนิโอมง จะพบกับถนนนากะมิเสะ เป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆมากมายทั้งขนมและของที่ระลึก
ระหว่างทางเดินเข้าสู่ตัววิหารหลักด้านในเป็นที่ตั้งของรูปปั้นพระต่างๆมากมาย
เดินเข้ามาเรื่อยๆจะพบกับซุ้มประตูซัมมง (San-mon Gate) เป็นซุ้มประตูหลักของวัดก่อนที่จะเข้าถึงวิหารไม้
วิหารไม้เซ็นโคจิ (Zenkoji Honda) เป็นวิหารไม้ขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นแทนของเดิม ด้านในเป็นที่ประดิษฐานพระประธานซึ่งมี 3 ร่างในองค์เดียวที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในญี่ปุ่นตั้งอยู่หลังม่านสีทองด้านหลังซึ่งไม่มีผู้ใดเคยได้เห็น แต่จะมีองค์จำลองตั้งอยู่บริเวณแท่นบูชา
โดยทุกๆ 7 ปีจะมีการประกอบพิธีใหญ่เรียกว่าพิธี Gokaicho เพื่อให้ผู้ที่ศรัทธาได้ร่วมกันนมัสการขอพรพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์โดยจะทำการโยงเชือกสีทองจากมือขององค์พระพุทธรูปโยงไปยังเสาไม้ขนาดใหญ่ด้านหน้าวิหารไม้ เพื่อให้ผู้มาร่วมพิธีได้สัมผัสและขอพร
เสาไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ทำพิธี ตัวหนังสือและขนาดของเสาก็จะค่อยๆสลายไปตามกาลเวลา
เสาไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ทำพิธี ตัวหนังสือและขนาดของเสาก็จะค่อยๆสลายไปตามกาลเวลา ด้านในวิหารไม้วัดเซ็นโคจิ เป็นที่ตั้งของแท่นทำพิธีและรูปปั้นของพระสงฆ์ (ได้รับการอนุญาติให้บันทึกภาพเป็นกรณีพิเศษ)
และอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจถือเป็นไฮไลท์ของวัดเซ็นโคจิ คือหลังจากได้มากราบนมัสการพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว อยากให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกับอุโมงค์ใต้ดินภายในวิหาร มีชื่อว่า The Keys to Paradise หรือเส้นทางที่จะพาเดินไปสู่สวรรค์ ด้านในอุโมงค์มีลักษณะเป็นทางแคบและมืดสนิท ผู้เดินจะต้องคลำเส้นทางไปเรื่อยๆจากผนังของถ้ำที่คดเคี้ยว โดยมีกุศโลบายที่แยบยลในเรื่องของการต้องมีสติในทุกขณะจิต เปรียบเสมือนว่าเราได้เดินอยู่ในร่างกายของพระอมิตพุทธ ซึ่งในความมืดเราไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ทำให้ละทิ้งตัวตนและอัตตาของตนเอง
เว็บไซต์ : ZENKOJI
วิธีการเดินทาง: จากสถานีรถไฟ JR Nagano โดยสารรถบัสประมาณ 10 นาที หรือจากสถานีรถไฟใต้ดิน Nagaden Nagano โดยสารรถไฟไปลงที่สถานี Zenkojishita จากนั้นเดินต่อไปประมาณ 5-10 นาที
อีกหนึ่งเมืองที่น่าสนใจไม่แพ้กันในจังหวัดนะงะโนะ คือ เมืองอิอิยะมะ (Iiyama) เมืองเล็กๆในจังหวัดนะงะโนะ แต่ทว่ามีความน่ารัก โอบล้อมไปด้วยภูเขา ท่ามกลางทุ่งนาที่กำลังออกรวงสีทองสวยงามและธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองนี้ได้ทุกฤดูไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมเดินป่าในช่วงหน้าร้อน ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่พร้อมใจกันผลัดใบเป็นสีแดงส้มทั่วทั้งทิวเขา และการเล่นสกีในฤดูหนาวก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของเมืองนี้เช่นกัน
เริ่มต้นเดินทางจากสถานี Nagano โดยสารรถไฟชิงกันเซ็น ขบวน Hakutaka ใช้เวลาเพียง 11 นาทีก็จะมาถึงสถานี Iiyama ที่สถานีนี้ นักท่องเที่ยวสามารถมาขอข้อมูลการท่องเที่ยวได้จากศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว และ Activity center สำหรับจำหน่ายและให้เช่าอุปกรณ์เดินป่าและเล่นสกี ก่อนจะออกจากสถานีอยากให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมความน่ารักของนาฬิกาสุดพิเศษที่ทุกๆ 1 ชั่วโมงจะมีตุ๊กตาออกมาร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน สำหรับใครที่ไม่อยากเดินเที่ยวสามารถเช่าจักรยานปั่นชมรอบๆเมืองก็เก๋ไปอีกแบบ
ชิมอาหารพื้นเมืองที่ไม่สามารถหาชิมได้จากที่ไหน Sasazushi มีลักษณะเป็นซูชิที่นำข้าวญี่ปุ่นวางบนใบซะซะ มีความเชื่อกันแต่โบราณว่าใบซะซะจะช่วยถนอมอาหารทำให้อาหารไม่เสียง่าย เสริฟด้วยหน้าเห็ดหอมชิตาเกะหรือต้นเฟิร์นป่า ไข่หวานหั่นเป็นเส้นๆและผลวอลนัทหรือขิงดอง
พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาดินน้ำมันของคุณมะยุมิ ทะคะฮะชิ (Mayumi Takahashi Doll Museum) จัดแสดงศิลปะงานปั้นตุ๊กตาจากดินน้ำมันโดยฝีมือของเธอเอง ตุ๊กตาเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิธีชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนผ่าน อาชีพ ไลฟ์สไตล์ต่างๆของคนในชุมชน ที่สะท้อนถึงความอบอุ่นในครอบครัว ความอ่อนแอจากความชราและโรคภัยไข้เจ็บ ความสนุกสนานในช่วงเทศกาลต่างๆ และคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อเห็นความสวยงามของฤดูกาลต่างๆที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามช่วงชีวิต (ได้รับการอนุญาตให้ถ่ายภาพเป็นกรณีพิเศษ)
เว็บไซต์ : NINGYOKAN
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Iiyama เดินประมาณ 20 นาที หรือจากสถานี Kita-iiyama เดินประมาณ 5 นาที
แวะร้านของหวานชื่อดังของเมืองที่ร้าน Patisserie Hirano จิบกาแฟพักเหนื่อยชิมขนมเค้กบานาน่าโบ๊ทแสนอร่อยๆ เป็นขนมฝรั่งที่นำครีมสดมาทาบนขนมเค้กนุ่มลักษณะคล้ายฟองน้ำและวางกล้วยหอมเป็นท้อปปิ้งด้านบนแล้วม้วนเป็นโรลกลมๆ เป็นของหวานชื่อดังของเมืองอิอิยะมะโดยจะจำหน่ายกันทั่วไป
มาทันช่วงใกล้วันอัลโลวีนพอดี มีเมนูพิเศษเฉพาะเทศกาลฮัลโลวีนด้วยน่ารักมากๆ
อีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนเมืองอิอิยะมะ คือกิจกรรมการเก็บแอปเปิ้ลสดๆจากฟาร์มด้วยมือของตัวเอง ผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนะงะโนะที่ ฟาร์มชิโอซะกิ (Shiozaki Farm) นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสวน พร้อมรับประทานแอปเปิ้ลได้อย่างจุใจในราคาเพียง 500 เยน หรือใครที่อยากซื้อไปเป็นของขวัญของฝากคนที่รักก็สามารถซื้อแล้วแพ็คกลับบ้านได้อย่างสบาย ติดต่อทาง >> E-Mail
ปิดท้ายด้วยอาหารค่ำที่แปลกไม่เหมือนใครที่ร้าน Monzensaryo Yayoiza ในเมืองนะงะโนะ เซทอาหารเย็นที่มีลักษณะคล้ายชาบูชาบูแบบแห้ง ปรุงด้วยเนื้อชินชู (Shinshu) ชื่อดังของเมืองนะงะโนะ เนื้อวัวชื่อดังที่เลี้ยงด้วยผลไม้ที่มีชื่อเสียงของเมืองอย่างแอปเปิ้ลทำให้เนื้อมีรสชาติหวานและนุ่มลิ้น ทานพร้อมข้าวญี่ปุ่นและซอสพอนสึรสเปรี้ยว อีกทั้งเครื่องเคียงผักสดที่เปลี่ยนไปตามฤดูกาล ยิ่งเพิ่มความพิเศษให้กับมื้อค่ำของวันนี้เป็นอย่างยิ่ง เข้าสู่เว็บไซต์ >> YAYOIZA
หลังจากเหนื่อยกันมาทั้งวันเราได้เข้าพักกันที่โรงแรม Mandarao Kogen Hotel โรงแรมขนาดใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขา Mandarao ด้านบนเขายังเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่มาเล่นสกีกันในฤดูหนาว และกิจกรรมแอดเวนเจอร์อีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการเดินเขา ยิงธนู โรยตัวจากหอคอยและล่องแก่งในช่วงฤดูร้อน
ห้องพักขนาดใหญ่เหมาะกับการมาพักผ่อนแบบครอบครัวหรือจะมากันเป็นคู่ก็มีห้องขนาดกำลังพอดีพร้อมวิวของทัศนียภาพที่มองลงมาจากภูเขา เพรียบพร้อมไปด้วยห้องอาหารทั้งแบบตะวันตกและสไตล์ญี่ปุ่นแบบไคเซกิเซท อีกทั้งยังมีออนเซ็นแบบกลางแจ้งไว้ผ่อนคลายความเมื่อยล้าหลังจากการไปทำกิจกรรมต่างๆมาอีกด้วย
เว็บไซต์ >> MANDARAO
น้ำพุร้อนอนเซนจากเทือกเขา Madarao มีทั้งแบบในร่มและกลางแจ้ง
(ขอขอบคุณภาพถ่ายจากโรงแรม Madarao Kogen Resort Hotel)
ส่งท้ายด้วยภาพวิวสวยๆบนภูเขาระหว่างทางไปโรงแรม พบกันในรีวิวหน้าตอนที่ 2 จะพาไปเที่ยวกันต่อที่จังหวัดนิอิงะตะ (Niigata) ติดตามชมด้วยนะครับ