ประเทศญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ช่วงซัมเมอร์อย่างเป็นทางการ ช่วงต้นๆฤดูแบบนี้ อากาศยังคงสบายๆ มีลมอ่อนๆ ให้ได้รู้สึกว่าไม่ได้อบอ้าวจนเกินไป อีกทั้งการมาเยือนช่วงนี้เรายังจะได้พบเจอกับความสบายตาสบายใจ ของเหล่าบรรดาพันธุ์ไม้ต่างๆที่กำลังอวดโฉม เบ่งบานกันหลากสีสัน
การเดินทางรอบนี้เรามีแพลนว่าจะเดินทางไปหลายที่ในญี่ปุ่น จึงตัดสินใจว่าจะใช้ JR East Pass – Tohoku Area ถือเป็นสุดยอดการเดินทาง 5 วันของเราที่ใช้พาสคุ้มค่าสุดๆ เดินทางไปยังเซนได, อิวะเตะ, อะกิตะ และปิดท้ายทริปที่คาวากุจิโกะ ซื้อพาสในราคาเพียง 19,000 เยน แต่เราใช้งานจริงกว่า 80,000 เยน! ทริปนี้ได้ขึ้นทั้งชินคันเซ็น จนจุใจ และยังได้ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษอย่าง Pokemon with you train และ Fuji Excursion อีกด้วย… บอกเลยว่าคุ้มค่าสุดๆ
ซื้อพาสออนไลน์จากไทยได้ >> ที่นี่
เพื่อความสะดวกสบาย เราเลือกซื้อพาสผ่านเว็บไซต์ Klook เว็บไซต์ชื่อดัง ที่มีทั้งบริการบัตรเข้าชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆทั่วโลก ที่คุณสามารถซื้อได้ง่ายๆผ่านปลายนิ้ว ตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วรอรับอีเมล์ยืนยันบริการต่างๆได้ทันที
ส่วนการใช้งานตั๋ว ไม่ต้องกลัวว่าจะยุ่งยาก เพราะความง่ายคือสั่งซื้อพาสทาง Klook จากไทย และพอมาถึงญี่ปุ่นก็แค่ไปที่เคาน์เตอร์ของ JR East เปิดอีเมล์ที่ได้รับการยืนยัน โชว์ QR Code แล้วรับบัตรตัวจริงได้เลยทันที
ตัวพาสมีความยืดหยุ่น ให้สะดวกกับการใช้งาน สามารถเลือกวันที่ต้องการใช้ได้ 5 วันจากระยะเวลาของพาส 14 วันนับจากวันที่เปิดใช้ และทริปนี้เราเดินทาง เลือกใช้พาส 5 วันตามนี้ พร้อมแล้วไปเที่ยวด้วยกันเลยครับ!!
- Day 1: จากโตเกียว -> เมือง Izumi/Sendai (จังหวัด Miyagi)
- Day 2: จาก Sendai -> กลับเข้าโตเกียว
- Day 3: จากโตเกียว -> เมือง Ichinoseki (จังหวัด Iwate) ขึ้นรถไฟโปเกมอน
- Day 4: จากโตเกียว -> เมือง Omagari / Misato (จังหวัด Akita)
- Day 5: จากโตเกียว -> Otsuki – Kawaguchiko ขึ้นรถไฟขบวนใหม่ Fuji Excursion
Day 1: จากโตเกียว -> เมือง Izumi/Sendai (จังหวัด Miyagi)
วันแรกของการเดินทาง เราเริ่มต้นที่สถานี Tokyo โดยนำ QR Code ที่ได้รับจากเว็บไซต์ Klook นำไปแสดงที่เค้าท์เตอร์ JR East Pass Travel Service Center (บริเวณประตู Marunouchi North Gate)
ข้อมูลการท่องเที่ยวมีให้บริการหยิบได้ฟรี
ต่อแถวไม่นาน เมื่อถึงคิวก็เปิดคิวอาร์โค้ดที่ได้รับจาก Klook ให้กับเจ้าหน้าที่
ได้พาสมาแล้ว หลังจากนี้ไปขึ้นรถไฟกันเลย
ตามธรรมเนียมซื้อเข้ากล่องเบนโตะมารับประทานบนรถไฟ จะได้ประหยัดเวลาไปด้วย
นั่งรถไฟมาประมาณเกือบสองชั่วโมง ก็มาถึงสถานี Sendai แต่วันนี้เราจะไปเที่ยวกันที่เมือง Izumi Town กันก่อน
เรานั่งรถชัตเติลบัสของโรงแรมจากสถานีเซนไดไปที่โรงแรม Sendai The Royal Park อากาศแถบนี้ไม่ร้อนอย่างที่คาดไว้ อากาศเย็นสบาย เราเริ่มต้นเที่ยวกันที่เมืองอิซุมิ (Izumi) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเซนไดราว 50 นาทีโดยรถบัส
เราว่าใครที่มาที่นี่จะต้องหลงรักเมืองนี้ เมือง Izumi Park Town สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1974 ปัจจุบันมีประชากรราว 25,000 คน ในเมืองนี้เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวมากมาย พร้อมผังเมืองที่เป็นระเบียบ บ้านแต่ละหลังสวยงาม ร่มรื่นด้วยต้นไม้และสวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ แต่ยังคงเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาเก็ต และที่สำคัญยังมีเอ้าท์เลทให้ช้อปกันเพลินเลยทีเดียว
ใครที่คิดว่ามาไกลขนาดนี้จะเบื่อมั้ย ช้อปปิ้งอย่างเดียวเหรอ? แน่นอนว่าที่โรงแรมแห่งนี้มีกิจกรรมให้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเช่าจักรยานปั่นไปชมรอบๆตัวเมือง หรือใครฟิตหน่อยสามารถปั่นไปจนถึงบริเวณน้ำตกบนภูเขา ตกบ่ายกลับมาเดินช้อปปิ้งที่เอ้าท์เลท เริ่มต้นกิจกรรมของวันด้วยการเช่าจักรยานไปปั่นชมวิวธรรมชาติสวยๆของเมือง Izumi Town
วิวสวยๆข้างทางธรรมชาติสุดๆ
โดยในช่วงฤดูหนาวบริเวณนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นลานสกีทั้งหมด แต่ในช่วงหน้าร้อนที่เรามานั้น ก็จะเต็มไปด้วยกิจกรรมแอดเวนเจอร์มากมาย
ปั่นจักรยานกันมาเรื่อยๆ
มาถึงจุดที่เป็นทางลงของน้ำตก
จากนั้นเราเดินทางไปสักการะรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นกัน ที่วัด Daikanmitsuji
รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใน Izumi มีความสูงราว 100 เมตร จนสามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1991 สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงในการพัฒนาของเมือง ถือเป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่มีความสูงที่สุดในโลก และเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ที่สูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และสามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในได้ โดยแบ่งออกเป็น 13 ชั้น ด้านในมีลิฟท์ช่วยอำนวยความสะดวก ภายในมีรูปหล่อพระโพธิสัตว์ 108 องค์ประดิษฐานอยู่ ค่าเข้าชม 500 เยน
ภายในแต่ละชั้นจะออกแบบให้เป็นบันไดวนลงมาจากชั้นบนสุด
แต่ละชั้นมีรูปหล่อพระโพธิสัตว์ 108 องค์ประดิษฐานอยู่ เปรียบเสมือนกับกิเลส 108 ชนิดของมนุษย์
บริเวณด้านหลังของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆ
ความพิเศษที่ไม่เหมือนที่ไหน การสักการะบูชาขอพรของที่นี่นอกจากการโยนเหรียญอธิษฐานขอพรแล้ว เราจะต้องตักน้ำมันราดไปที่องค์เทพเจ้าอีกด้วย แอดเองก็เพิ่งจะเคยเห็นที่นี่เป็นที่แรกในประเทศญี่ปุ่น โดยคนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าเทพเจ้าที่นี่จะอำนวยพรเรื่องของความรักและชีวิตคู่
ข้อมูลเพิ่มเติม
- เวลาทำการ : 10.00-16.00 น. (ช่วงเดือน ต.ค.-มี.ค. ปิดเวลา 15.30 น.)
- วันหยุด : เปิดทุกวัน
- การเดินทาง : จากจุดจอดรถบัส สถานี Sendai ประตูฝั่ง west exit ขึ้นรถประจำทางหมายเลข 910, 815 หรือ 825 ที่ชานชาลาหมายเลข 14 จากนั้นลงที่ป้ายจุดจอด SEndai Daikannon ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
- เว็บไซต์ : http://www.daikannon.com/
ออกจากวัดเจ้าแม่กวนอิม เจ้าหน้าที่พาเราไปสักการะขอพรกันต่อที่ รูปปั้นของ พระพุทธรูป Ayashi Daibutsu เป็นรูปปั้นสัมฤทธิ์ขององค์พระไดบุทสึ มีความสูงถึง 15 เมตร นับว่าเป็นอีกหนึ่งรูปปั้นที่มีชื่อเสียงของเมืองเซนได นักท่องเที่ยวสามารถโดยสารรถรางขึ้นมาด้านบนได้ หรือใครที่คิดว่ากำลังขายังไหวก็สามารถเดินออกกำลังกายขึ้นมาด้านบนก็ได้
การเดินทาง : จากจุดจอดรถบัส สถานี Sendai ประตูฝั่ง west exit ขึ้นรถประจำทางที่ชานชาลาหมายเลข 10 รถบัสจะมุ่งหน้ามาที่ Hatamae-kita (畑前北) จากนั้นลงที่ป้ายจุดจอด Bukkoku-ji mae (佛國寺前) ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
Day 2: จาก Sendai -> กลับเข้าโตเกียว
วันที่ 2 ของการใช้พาสเราจะเข้ามาท่องเที่ยวกันในตัวเมืองเซนได เมืองเซนไดนั้นเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอย่างมากมาย ต้นเซลโคว่าที่เขียวชอุ่มเป็นแนวตลอดถนนสองข้างทาง เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ ถนนที่มีต้นไม้เรียงราย เปรียบเหมือนเป็นสวนสาธารณะใจกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยสีเขียว ทำให้เซนไดได้สมญาว่าเป็นเมืองแห่งต้นไม้ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคโทโฮคุอีกด้วย
โดยวันนี้เราจะเดินเที่ยวสำรวจตัวเมืองเซนไดกันแบบสบายๆ เริ่มต้นจากสวนสาธารณะใจกลางเมืองย่าน Jozenji-dori
ถนนโจเซ็นจิ เป็นถนนที่มีลักษณะทอดยาวจากแนวทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกของใจกลางเมืองเซ็นได มีแนวต้นเซลโคว่าทอดยาวตลอดทางที่รถแล่นผ่าน ถนนเส้นนี้เองจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์การเป็น “เมืองแห่งต้นไม้” ของเมืองเซ็นได
จุดเริ่มต้นของเราคือออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน Kotodai-koen
ฝั่งด้านขวาของสถานีจะเป็นที่ตั้งของ สวนสาธารณะโคโทได (Kotodai-koen) ในวันที่เราเดินทางมาเป็นวันเสาร์ บริเวณลานกิจกรรมของสวนสาธารณะก็จะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ
ตรงบริเวณจุดกึ่งกลางของถนนแต่ละฝั่ง จะเป็นที่ตั้งของภาพประติมากรรมของ Emilio Greco ศิลปินชื่อดังระดับโลกขาวอิตาลี โดยผลงานนี้มีชื่อว่า “ความทรงจำในฤดูร้อน”
ตามข้างทางจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักสูดอากาศ
เดินมาเรื่อยๆจะเป็นที่ตั้งของ Sendai Mediatheque เป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ประกอบด้วยห้องสมุดและสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ เป็นงานออกแบบของ Toyo Ito ซึ่งเป็นอาคารไร้เสาที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย (ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ)
ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีกิจกรรมบริเวณกลางสวน อาทิการแสดงดนตรีให้ชาวเมืองได้ชมและผ่อนคลาย
สองฝั่งถนนเรียงรายเต็มไปด้วยร้านอาหาร และร้านจำหน่ายสินค้าต่างๆมากมาย ด้านข้างถนนทั้งสองฝั่งยังมีสวนสาธารณะใหญ่ของเมือง คือ สวนโคโตไดโคเอ็นและสวนนิชิโคเอ็น และย่าน “อิจิบังโจ” ถนนช้อปปิ้งสายหลักของเมืองเซ็นได
อีกจุดหนึ่งของเมืองเซ็นไดที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ น่าจะเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง นั่นก็คือ ย่านช้อปปิ้งอิจิบังโจ (Ichibancho Shopping Arcade) เป็นแหล่งช้อปปิ้งในใจกลางเมืองเซนได ที่ประกอบด้วยถนนช้อปปิ้งหลายสาย จึงได้ชื่อว่าเป็นถนนช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ โดยเราเริ่มต้นที่ ถนนช้อปปิ้งคลิสโร้ด (Clis Road)
ช่วงวันหยุดเหล่านักช้อปปิ้งและนักท่องเที่ยวก็จะเยอะเป็นพิเศษ
ได้เวลากลับโตเกียวกันแล้ว ก่อนกลับจากสถานีเซนไดด้วยรถไฟชินกันเซ็น อย่าลืมชิมของอร่อยที่ต้องลองของเมืองเซนไดนั่นก็คือ “ซุนดะโมจิ” (Zunda Mochi) ขนมพื้นบ้านชื่อดังของเมืองเซนได ทำมาจากถั่วแระญี่ปุ่นและธัญพืช ที่อุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย สำหรับใครที่ไม่ชอบทานโมจิ แนะนำ “Zunda Saryo Shake” สมู้ตตี้ถั่วแระ แอดเองก็เพิ่งเคยทานเป็นครั้งแรกเหมือนกัน คิดในใจมาตลอดว่าคงจะมีรสชาดเหม็นเขียวมั้ย แต่ดูดไปคำแรกฟินมากๆๆ แนะนำเลยครับว่าห้ามพลาด
“Zunda Saryo Shake”
วันนี้นั่งรถไฟชินกันเซ็นขบวน Hayabusa กลับโตเกียวครับ
Day 3: จากโตเกียว -> เมือง Ichinoseki (จังหวัด Iwate) ขึ้นรถไฟโปเกมอน
วันที่ 3 ของการเดินทาง วันนี้เอาใจน้องๆหนูๆ กันซักหน่อย เราจะพาทุกคนไปนั่งรถไฟโปเกมอนกัน
“อยากให้เด็กๆกลับมามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง”
POKÉMON with YOU Train รถไฟที่เกิดขึ้นมา เพื่อที่จะได้เป็นหนึ่งในขวัญและกำลังใจ ให้กับเด็กๆในแถบภูมิภาคโทโฮขุ ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่บนพื้นที่ชายฝั่งแถบภาคตะวันออก เมื่อเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 2011 โดยปลายทางของสถานี Kesennuma เป็นเมืองท่าชายฝั่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคลื่นสึนามิมากที่สุดแห่งหนึ่ง
รถไฟขบวนล่าสุดนี้ ได้ทำการปรับโฉมใหม่จากขบวนเก่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา น่ารักมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับใครที่อยากไปเราแนะนำให้ทำการสำรองที่นั่งบนรถไฟไว้ก่อน เนื่องจากรถไฟขบวน POKÉMON with YOU Trainจะทำการเดินรถเพียงแค่ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น ที่สำคัญคือรถไฟจะวิ่งแค่วันละ 2 รอบเท่านั้นคือเที่ยวไปและกลับ
ขาไป: ออกจากสถานี Ichinoseki เวลา 11.01 น. เดินทางถึงสถานี Kesennuma เวลา 12.51 น.
ขากลับ: ออกจากสถานี Kesennuma เวลา 14.37 น. เดินทางถึงสถานี Ichinoseki เวลา 16.35 น.
เราเริ่มต้นการเดินทางกันตั้งแต่เช้าจากสถานีรถไฟ Tokyo โดยสารรถไฟชินกันเซน ขบวน Hayabusa มาลงที่สถานี Ichinoseki ในจังหวัดอิวะเตะ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 12 นาที
เมื่อมาถึงสถานีจะเห็นตุ้กตาโปเกม่อนในสถานี ให้เราสามารถถ่ายภาพด้วย
จากนั้นได้เวลารถไฟจะออกแล้ว เราเดินมาขึ้นรถ จากนั้นหาที่นั่งตามตั๋วที่เราจองมา เมื่อรถออกพนักงานจะเดินมาขอตรวจตั๋วว่าเรานั่งถูกต้องมั้ย
ภายในรถไฟตกแต่งได้อย่างน่ารักมาก ทุกพื้นที่บนรถไฟต็มไปด้วยคาแรกเตอร์โปเกมอน
ตัวรถไฟแบ่งเป็นสองโบกี้ โบกี้แรกจะเป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่จองมา อีกหนึ่งโบกี้ใช้เป็นสนามเด็กเล่นย่อมๆสำหรับเด็กๆ
นอกจากเครื่องเล่นต่างๆ ยังมีตุ้กตา ชุดคอสเพลย์ คาดผม สำหรับให้ใส่ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอีกด้วย
ซักพักพนักงานจะเดินมาแจกเอกสารให้เรา ด้านในมีแผ่นพับและแผ่นกระดาษขนาด A4 เว้นช่องไว้ให้เราลงไปเก็บแรลลี่แสตมป์ตามสถานีระหว่างทางที่รถไฟจอดให้เราลงไปทำกิจกรรม หรือถ่ายภาพกับเหล่าคาแรกเตอร์ต่างๆในเรื่อง
รถไฟจะจอดตลอดทุกๆสถานี สามารถลงจากรถไฟไปถ่ายภาพกับตัวโปเกม่อนได้ตลอดทาง
มาถึงสถานี Kesennuma ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
ถ้าใครชอบแนะนำให้ไปกันครับ มี JR Pass, JR East Pass สามารถนั่งตรงไปจากโตเกียวได้ อย่าลืมแนะนำให้จองที่นั่งล่วงหน้าด้วย!!
Day 4: จากโตเกียว -> เมือง Omagari / Misato (จังหวัด Akita)
วันที่ 4 ของการเดินทาง วันนี้เราจะพาขึ้นสู่ทางตอนเหนือ ไปที่ เมืองมิซาโตะ (Misato) ในจังหวัดอะกิตะ เพื่อไปชมทุ่งลาเวนเดอร์สีหวาน โดยความพิเศษของที่นี่คือการเป็นที่แรกที่สามารถพัฒนาลาเวนเดอร์ให้มีสายพันธุ์ใหม่เป็นสีขาว
ช่วงเข้าสู่ซัมเมอร์แบบนี้กิจกรรมยอดฮิตของชาวญี่ปุ่น ก็คือการไปชมดอกไม้นั่นเอง วันนี้เราจะเดินทางไปชมทุ่งลาเวนเดอร์ ที่ไม่ต้องไปไกลถึงฮอกไกโดก็ดื่มด่ำความสวยงามได้
เทศกาล “Misato Lavender Garden 2019” ตั้งอยู่ที่เมืองมิซะโตะ จังหวัดอะกิตะ เป็นเมืองที่นักแบตมินตันทีมชาติไทย จะมาเข้าพักเก็บตัวสำหรับการแข่งขันที่จะมีขึ้นในงานแข่งกีฬาโอลิมปิก ปีค.ศ. 2020 ที่โตเกียวเป็นเจ้าภาพ ความพิเศษของที่นี่ก็คือ ลาเวนเดอร์สายพันธุ์สีขาว ซึ่งได้รับการเพาะพันธุ์จากเมืองนี้ นอกจากจะชมเพื่อความสวยงามแล้ว นักวิจัยของเมืองนี้ยังนำดอกลาเวนเดอร์สีขาวไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะสกัดเป็นน้ำมันหอม แต่ที่เก๋สุดๆนั่นก็คือ สาเกลาเวนเดอร์ขาวชื่อดัง
เดินชมทุ่งดอกไม้เพลินๆ ก็ยังมีกิจกรรมให้สามารถตัดดอกลาเวนเดอร์กลับบ้านเป็นที่ระลึกได้อีกด้วย
และที่สำคัญอย่าลืมชิมไอศกรีมลาเวนเดอร์
น้ำดอกอัญชันผสมไซรัปรสชาติเปรี้ยวอมหวานเข้ากับเทศกาลสุดๆ
วิธีการเดินทาง : ตั้งต้นที่สถานีรถไฟ JR Omagari จากนั้นนั่งรถแท้กซี่ไปประมาณ 25 นาที หรือสามารถเช่ารถขับมาก็ได้ (เนื่องจากไม่มีรถประจำทางวิ่งมาที่นี่
นอกจากที่เมืองมิซะโตะ จะมีชื่อเสียงในเรื่องของทุ่งลาเวนเดอร์แล้ว เมืองมิซะโตะ ก็ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยแหล่งน้ำผุดขึ้นตามธรรมชาติ ถึงแม้จะเป็นน้ำที่ผุดขึ้นมาจากธรรมชาติ ไม่ได้ผ่านการกรองใดๆ น้ำกลับใสและไม่มีกลิ่น ไม่ว่าไปทางไหน ก็มักจะเห็นกับบ่อน้ำใสหรือแอ่งน้ำขนาดเล็ก ชาวบ้านมักจะนำน้ำที่ได้จากธรรมชาติไปล้างผัก ผลไม้ ช่วงฤดูร้อนก็จะนำผลไม้มาแช่น้ำให้เย็นฉ่ำ รวมถึงยังเป็นจุดท่องเที่ยว โดยน้ำจะรักษาอุณหภูมิไว้เท่าเดิม ในช่วงอากาศหนาวน้ำก็จะไม่เป็นน้ำแข็ง
จากนั้นเราเดินทางไปชมบ้านของ House of Tagoku Sakamoto พ่อค้าร่ำรวย ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือของชาวเมืองนี้ โดยในช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้เป็นผู้พัฒนาถนนหนทางของเมืองจนเจริญก้าวหน้า
ภายในตัวบ้านประกอบไปด้วยตัวบ้าน สวนสไตล์ญี่ปุ่น ศาลชงชา และโกดังสำหรับเก็บสินค้า
ก่อนกลับโตเกียว มื้อเที่ยงเราแวะทาน Nagashi Somen ที่ร้าน Meisuian Restaurant อาหารสำหรับหน้าร้อน ความสนุกคือเราจะนั่งล้อมวงกันรอบโต้ะ แล้วรอช่วงที่เส้นโซเมนไหลผ่านท่อวนไปตามสายน้ำ ให้แย่งกันคีบทานอย่างสนุกสนาน
นั่งใจจดจ่อรอเส้นโซเมนออกมาจากท่อไม้ไผ่
ทานคู่กับเทมปุระเป็นกับแกล้มเพิ่มความฟิน
หน้าตาของเส้นโซเมนจะเล็กกว่าเส้นชนิดอื่นๆ
ไฮไลท์คือการรับประทานเส้นโซเมนกับน้ำซอสสปาร์คกิ้ง ที่มีที่นี่เพียงที่เดียว โดยการนำซอสโซเมนผสมกับน้ำ Niteko Sparkling Water ทำให้เพิ่มความซ่าของน้ำซอส เมื่อทานคู่กับเส้นโซเมนจะทำให้เพิ่มรสสัมผัสของฟองโซดา
Day 5: จากโตเกียว -> Otsuki – Kawaguchiko ขึ้นรถไฟขบวนใหม่ Fuji Excursion
วันสุดท้ายของการเดินทาง เราใช้ JR East Pass เดินทางไปยัง เมืองคาวากุจิโกะ (Kawaguchiko) เพื่อไปชมทุ่งลาเวนเดอร์ริมทะเลสาบ โดยเราจะนั่งรถไฟด่วนขบวนล่าสุด Fuji Excursion ความพิเศษคือรถไฟนี้จะวิ่งตรงจากสถานี Shinjuku ตรงไปยังสถานี Kawaguchiko โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานี Otsuki ให้เสียเวลา
รถไฟ Fuji Excursion รุ่น E353 ของบริษัทรถไฟ Fuji Kyuko ขบวนล่าสุดนี้ เริ่มให้บริการเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2019
โดยตารางการเดินรถดังต่อไปนี้
ขาไป
- FUJI EXCURSION 1 Shinjuku 8.30 → Kawaguchiko 10.22
- FUJI EXCURSION 3 Shinjuku 9.30 → Kawaguchiko 11.22
- FUJI EXCURSION 91 Shinjuku 7.35 → Kawaguchiko 9.39 (เฉพาะวันส.-อา.และวันหยุด)
ขากลับ
- FUJI EXCURSION 16 Kawaguchiko 15.05 → Shinjuku 16.58
- FUJI EXCURSION 20 Kawaguchiko 17.35 → Shinjuku 19.27
- FUJI EXCURSION 92 Kawaguchiko 16.00 → Shinjuku 17.59 (เฉพาะวันส.-อา.และวันหยุด)
เราเริ่มต้นเดินทางจากสถานีชินจุกุ โดยได้ทำการสำรองที่นั่งล่วงหน้าไว้แล้วทั้งไปและกลับ
ขบวนของเราจะออกจากสถานีชินจุกุเวลา 8.30 น.
บรรยากาศภายในขบวนรถไฟ Fuji Excursion รุ่น E353
ข้อแนะนำที่จำเป็นต้องดูก่อน ต้องสังเกตจากสัญลักษณ์ดวงไฟด้านบนเพดานตรงที่นั่งของเรา ว่าไฟเป็นสีอะไร หากเป็นสีแดง คือ ที่นั่งตรงนั้นเป็นที่นั่งว่าง สามารถนั่งได้, ไฟสีเหลืองคือ ที่นั่งนี้มีผู้โดยสารเจ้าของที่จะขึ้นมาจากสถานีต่อไป และไฟสีเขียว คือที่นั่งตรงนี้ได้ถูกสำรองแล้ว
สำหรับใครที่ถือพาส JR TOKYO Wide Pass สามารถใช้ได้ ตลอดเส้นทางตั้งแต่ Shinjuku – Kawaguchiko ในกรณีใช้ JR Pass แบบทั้งประเทศ หรือ JR EAST Pass จะครอบคลุมถึงแค่ Shinjuku – Otsuki เท่านั้น นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องจ่ายส่วนต่างเพิ่มเติม
มาถึงสถานี Kawaguchiko จะมีป้ายแจ้งเตือนให้ชำระเงินเพิ่มก่อนหากใครที่มีพาสแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน
บริเวณด้านหน้าสถานี Kawaguchiko
จากนั้นเรานั่งรถบัสประจำทางไปชมทุ่งลาเวนเดอร์ที่สวน Oishi Park โดยนั่งรถสายสีแดงมาลงที่ป้ายสุดท้าย
เสียดายตอนที่เรามาถึงเจ้าฟูจิซังไม่ยอมออกมาให้เจอ
นอกจากดอกลาเวนเดอร์แล้ว ที่นี่ก็ยังมีพรรณไม้ดอกไม้อื่นๆอีกมากมาย
อย่าลืมชิมซอฟท์ครีมรสลาเวนเดอร์
จากนั้นเราเดินทางไปต่อที่สวน Yagisaki Park เพื่อไปชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์อีกแห่งหนึ่ง โดยเปลี่ยนเป็นรถประจำทางสายสีเขียวไปลงที่หมายเลข 24
นอกจากทุ่งดอกลาเวนเดอร์แล้วที่นี่ก็ยังมีสวนดอกไฮเดรนเยียร์ขนาดใหญ่อีกด้วย
จบไปแล้วครับกับการเดินทาง 5 วันของเรา เรียกได้ว่าใช้พาสได้คุ้มค่าสุดๆ สำหรับใครที่ต้องการซื้อพาส, ตั๋วเข้าชมหรือบริการต่างๆในญี่ปุ่น สามารถซื้อได้ที่เว็บไซต์ของ KLOOK ได้ >> ที่นี่