ถ้าหากพูดถึงฮอกไกโดส่วนใหญ่เราจะคุ้นเคยกับอากาศที่หนาวเย็น หิมะและการไปเที่ยวสกีรีสอร์ทกันใช่ไหมล่ะคะ แต่ว่ามนตร์เสน่ห์อีกอย่างที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาที่ฮอกไกโดก็คือบรรยากาศและกลิ่นอายความสดชื่นของบรรดาต้นไม้ใบหญ้าในหน้าร้อนของที่นี่นั่งเองค่ะ
เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาทางทีมงาน Japan Intouch ได้ไปขับรถเที่ยวฮอกไกโดหน้าร้อนครั้งแรกกันมาทั้งหมด 7 วันค่ะ และครั้งนี้เราได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การเช่ารถ Premium Car Rental ของ Nippon Rent-A-Car x Yanase ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่แสนพิเศษเลยก็ว่าได้ค่ะกับการที่เราได้มา road trip ที่ฮอกไกโดครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เส้นทางที่เป็นที่เป็นจุดแลนด์มาร์คที่ทุกคนสามารถขับรถเที่ยวตามได้ไม่ลำบาก และแต่ละสถานที่ก็สวยและบรรยากาศดีซะจนทำให้เราตกหลุมรักหน้าร้อนฮอกไกโดได้ไม่ยากเลยละค่ะ
Hokkaido Summer Road Trip ครั้งนี้เราใช้เวลา 7 วัน และใช้ระยะทางไปทั้งหมดกว่า 1,300 กิโลเมตร โดยเราเน้นการขับรถชมวิวธรรมชาติที่หลากหลายทั้งวิวทุ่งหญ้า ทะเลสาบ ภูเขาและทะเล โดยแบ่งแพลนหรือเส้นทางในแต่ละวันดังนี้ค่ะ
- Day 1: New Chitose Airport – Jigokudani (Hell Valley) – Lake Tōya
- Day 2: Shikotsu Toya National Park Silo Observation – Cape Kamui – Nikka Whisky Yoichi Distillery – Otaru
- Day 3: Sakaimachi Street (Otaru) – Hokuryu Sunflower Farm – Ororon Route – Asahikawa
- Day 4: Patchwork Road – Tree of Ken and Mary – Shineinookatenbo Park – Shikisai No Oka – Blue Pond – Panorama Road – Tomita Farm – Shimukapu
- Day 5: Hitsujigaoka Observation Hill – Takasaki – Sapporo – Susukino
- Day 6: Sapporo city – Moerenuma Park – Chitose
- Day 7: New Chitose Airport
สำหรับ ค่าใช้จ่าย ในการเดินทางของทริปเรานี้ ประกอบไปด้วย
- ค่าเช่ารถ Premium Car rental : X-E Class , Mercedes-Benz CLA180 Shooting Brake พร้อมออปชั่นช่วยเหลือฉุกเฉิน Recommended course , ประกันอุบัติเหตุแบบไม่ต้องจ่ายเพิ่ม (CDW) และ ประกันค่าเสียโอกาส (ECO)
- นอกจากนี้ เราเลือกเพิ่ม ETC card + Hokkaido Expressway Pass เพื่อความสะดวกและคุ้มค่าในการเดินทางด้วยทางด่วนในภูมิภาค Hokkaido จำนวน 7 วัน 7,700 เยน
- สรุปค่าใช้จ่ายต่างๆในทริปของเราครั้งนี้ ซึ่งเดินทางทั้ง สิ้น 5 ท่าน เช่ารถทั้งสิ้น (144 ชั่วโมง หรือ 6 วัน)
- ค่าเช่ารถ X-E Class พร้อมแพจเกจประกันสูงสุดและภาษีมูลค่าเพิ่ม = 108,864 เยน
- ค่าเช่าบัตร ETC Card + Hokkaido Expressway Pass 7 days = 324+7,700 = 8,024 เยน
- ค่าน้ำมันที่ใช้ไปในการวิ่งบนเส้นทางกว่า 1,300 กิโลเมตร = 14,345 เยน
- ค่าที่จอดรถ ภายในเมือง Otaru และ Sapporo = 2,000 เยน
++++ รวมทั้งสิ้น 133,233 เยน หรือเป็นเงินบาทประมาณ 38,650 บาท หรือเฉลี่ยคนละ 7,730 บาท เท่านั้น ++++
ซึ่งถือว่าคุ้มมากๆครับ เทียบกับหากว่าเราต้องซ้อ Hokkaido JR Pass เพื่อเดินทางด้วยรถไฟ ในเวลา 7 วัน ด้วยราคา 24,000 เยน หรือ 6,960 บาท ต่อคน ซึ่งยังไม่รวมถึงค่าเดินทางจิปาถะต่างๆด้วยรถบัส หรือ taxi ในสถานที่ๆ เราไปไม่ถึง
อย่างที่ได้กล่าวไปค่ะ รอบนี้เรามีโอกาสได้ใช้บริการ Premium Car Rental ที่สาขา Chitose Airport แอดมินอยากจะบอกว่าการรับรถที่นี่สะดวกสบายมากค่ะ สำหรับคนที่ไม่เคยเช่ารถมาก่อนไม่ต้องกังวลใดๆค่ะ แค่เดินตามลูกศรบนป้ายที่เขียนว่า Car Rental และ ไปติดต่อ Information counter ที่มีโลโก้ Nippon Rent-A-Car ตรงชั้น 1
จากนั้นเจ้าหน้าที่ให้บัตรคิวกับเรา และมี shuttle bus รับไปที่สาขาโดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีค่ะ
นั่งรถกินลมชมวิวแปปนึงก็จะถึงสาขารับรถของ Nippon Rent-A-Car จ้า รถที่เราเลือกเช่าเป็น Premium Car Rental ซึ่งตัวสาขาของรถนำเข้า หรือ premium car จะเป็นอาคารสีดำโดนเด่น แยกออกมาจากอาคารของ Nippon Rent-A-Car ปกติค่ะ แต่อยู่ไม่ไกลกันเลยค่ะห่างกันนิดเดียวสามารถเดินหากันได้เลย และภายนอกก็จะมีบรรดารถหรูจอดเรียงรายให้เลือกชมเลือกเช่ากันค่า
เมื่อเข้าไปข้างใน แอดมินไม่แปลกใจเลยค่ะทุกคนกับความเป็น Premium Rental Office ตกแต่งได้เรียบง่ายแต่หรูหรา แถมยังมีเครื่องดื่มและเครื่องชงกาแฟ และสัญญาณอินเตอร์เน็ตให้บริการฟรีในระหว่างรอขั้นตอนการรับและคืนรถอีกด้วยค่ะ
พอถึงขั้นตอนการรับรถก็ไม่มีอะไรยุ่งอยากเลยค่ะ เพียงแค่เตรียมเอกสารดังต่อไปให้พร้อมและยื่นให้เจ้าหน้าที่ค่ะ
1. พาสปอร์ต
2. ใบขับขี่สากล
3. ใบจองรถ
*เอกสารรับรถขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้เลยนะคะ สำคัญมากๆเลย ไม่อย่างนั้นรับรถไม่ได้น๊า*
รถที่เราเลือกเช่าคือ Mercedes Benz CLA Shooting Brake ค่ะ อาจจะมองปราดแรกเห็นว่าคันเล็กๆนะคะ แต่ว่าเอาจริงๆแล้วค่อนข้างกว้างขวางและจุกระเป๋าได้เยอะพอสมควรเลยค่ะ
และในระหว่างที่รับรถหากมีอะไรสงสัยหรือไม่เข้าใจตรงไหนไม่เคลียร์ในเอกสารก็สามารถสอบถามจากเจ้าหน้าที่สาขาได้เลยนะคะ และไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่องค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ค่ะ หลังจากจัดการเรื่องเอกสารรับรถเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะพาเราไปทำขั้นตอนการตรวจรับสภาพรถและเซ็นรับรถในขั้นตอนสุดท้าย จากนั้นก็ออกเดินทางกันได้เลยค่า LET’S GO LET’S GO!!!!
ใครสนใจจะเช่ารถนำเข้าสวยๆแบบนี้ที่ Hokkaido หรือภูมิภาคอื่นๆที่ญี่ปุ่นก็สอบถามเข้ามาได้เลยจ้าที่
Japan Intouch Rental Cars ตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ Nippon Rent–A–Car ที่มีสาขามากกว่า 500 แห่งทั่วญี่ปุ่น รับประกันรถใหม่มาก อายุไม่เกิน 3 ปี มีรถให้บริการหลากหลายยี่ห้อ
โดยมีเจ้าหน้าที่คนไทย ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกตั้งแต่การเลือกรถ ขั้นตอนการจอง ไปจนถึงการบริการช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและที่สำคัญ ถ้าจองผ่านช่องทางนี้ รวมประกันภัยแล้ว ยังได้ราคาถูกกว่าจองออนไลน์อย่างแน่นอน
เบอร์โทร: 02–251–9648 HOTLINE : 088-678-4999
Line: @japanintouch
Facebook: Japan Intouch
TAT Licence No. 11/08229
หลังจากออกจากสนามบิน Chitose ก็มุ่งหน้าสู่เมือง Noboribetsu เพื่อจะไปที่ destination แรกของเราจ้า — หุบเขาจิโกคุดาหนิ (Jigokudani) หรือเรียกอีกชื่อว่าว่า “หุบเขานรก” (Hell Valley) ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Shikotsu-Toya เมือง Noboribetsu ที่เรียกว่าหุบเขานรกนั้นเพราะที่นี่มีทั้งบ่อโคลนและบ่อน้ำร้อนที่เดือดตามธรรมชาติกระจายไปทั่วบริเวณเสมือนนรกที่มีกระทะทองแดงที่มีควันร้อนๆอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นสถานที่ถ่ายรูปที่เก๋มากๆ อีกจุดนึงเลยค่า
- ค่าเข้าชม: ฟรี
- เวลา ปิด: 18:00
????ข้อมูลการขับรถ????
Jigokudani (Hell Valley)
Mapcode: 603 287 235*11
โทรศัพท์: +81 143-84-3311
Google Map: https://bit.ly/2VRnBsv
หลังจากที่เราออกจาก Jigokudani ก็ค่อนข้างเย็นมากแล้วค่ะ เราจึงรีบขับกลับที่พักแถว ทะเลสาบโทยะ (Lake Toya) เลยค่ะทะเลสาบโทยะ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่รูปวงกลม มีความพิเศษตรงที่น้ำจะไม่แข็งตัวในช่วงฤดูหนาวค่ะ ในหน้าร้อน อากาศก็เย็นสบายมาก เหมาะสำหรับเดินเล่น ปั่นจักรยาน หรือล่องเรือชมวิว
นอกจากนี้กลางทะเลสาบจะมีเกาะเล็กๆอยู่ตรงกลาง คือ เกาะนากาจิมะ (Nakajima Island) สามารถลงไปเดินเล่นได้ตลอดหน้าร้อน จะมีการจุดพลุในเวลา 20:45 ของทุกๆคืนค่ะ – คืนนี้เราเลือกพักกันแถวนี้เพื่อจะมาชมพลุดอกไม้ไฟกันนี่แหละค่า
????ข้อมูลการขับรถ????
Lake Tōya
Mapcode: 321 731 678*41
Google Map: https://bit.ly/2VFJTIK
วันรุ่งขึ้นก่อนเดินทางสู่จุดหมายต่อไป หลังจากที่เมื่อคืนเรามาชมพลุดอกไม้ไฟที่ Toya Lake ไปแล้ว เช้านี้หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ แอดมินเลยอยากลงมาชมวิวทะเลสาบตอนเช้าดูบ้างค่ะ อากาศดีมากๆ และสีน้ำทะเลเป็นสีฟ้าครามสวยสุดๆไปเลยค่ะ เห็นภูเขาไกลๆลางๆ นั่นคือ Mt.Yotei ค่ะ ถือเป็นการเริ่มตอนเช้าอันสดใส
หลังจากที่เดินทางจาก Toya Lake ตามแพลนเดิมเราจะมุ่งหน้าเข้าสู่ Kutchan เลย แต่พอดีว่า Shikotsu Toya National Park เป็นทางผ่านของเราพอดี เราเลยอยากจะแวะไปชมวิวของทะเลสาบโทยะจากมุมสูงบ้าง เลยตัดสินใจมาแวะที่ Shikotsu Toya National Park Silo Observation กันก่อนค่า
????ข้อมูลการขับรถ????
Shikotsu Toya National Park Silo Observation
Mapcode: 321 726 732*66
พอเราขับผ่านเมือง Kutchan เลยตั้งใจจะแวะไปชมสวน pink moss ที่ Mishima-san’s Garden สักหน่อย แต่ว่า…. ดอก pink moss มันแห้งไปหมดแล้วค่ะทุกคน (╥﹏╥) เราเลยตัดใจ แต่ก็ยังมีวิวสวยๆเป็นทุ่งนาและฟาร์มที่รายล้อม Mt.Yotei ปลอบใจพวกเรา
จากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไปคือ Cape Kamui หรือ แหลมคามูอิ อันโด่งดังจ้า
แหลมคามูอิ (Kamui Misaki) ตั้งอยู่ในคาบสมุทรชาโคตัง (Shakotan Peninsula) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันตกของเกาะ Hokkaido ห่างจากเมืองโอตารุ (Otaru) ประมาณ 35.5 ก.ม. เป็นแหลมที่ยื่นออกไปในทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) ประมาณ 770 เมตรโดยมีทางเดินทอดยาวอย่างดีสามารถเดินไปชมวิวธรรมชาติได้ถึงสุดปลายแหลมเลยค่ะ และระหว่างทางที่เดินจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายทะเล และทิวทัศน์อันงดงามของเวิ้งทะเลทั้งสองฝั่ง ถือธรรมชาติที่งดงามมากเลยค่ะ อยากให้กล้องจับภาพได้สวยเท่าตาเลย มันสวยจริงๆค่ะทุกคน
????ข้อมูลการขับรถ????
Cape Kamui
Mapcode: 932 582 720*22
โทรศัพท์: +81-135-44-3715
Google Map: https://bit.ly/2YGBG97
หลังจากที่ดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติกันแล้ว เราขับรถมาต่อกันที่ Nikka Whisky Yoichi Distillery โรงกลั่นวิสกี้ชั้นยอด และมีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่นค่ะ บริษัทวิสกี้แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดย Taketsuru Masataka ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเทคนิคการกลั่นวิสกี้เป็นระยะเวลาหลายปีในสก็อตแลนด์ และนำความรู้มาผลิตวิสกี้ในประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง วิสกี้ของที่นี่นั้นได้รับการยอมรับในการจัดอันดับวิสกี้มอลต์ที่ดี แถมยังมีรางวัลการันตีความดีงามอีกเพียบเลยล่ะค่ะ และขอบอกเลยนะคะว่าที่นี่เปิดให้เข้าฟรี รวมถึงลองชิมวิสกี้ก็ฟรีจ้า
*หมายเหตุ การขับรถหลังจากดื่มสุราถือเป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรงของญี่ปุ่นนะคะ ถ้าโดนจับได้จะมีโทษจำคุกอย่างน้อย1 ปี หรือ ปรับสูงสุด 1,000,000 เยนเชียวนะคะ หากว่าใครสนใจจะแวะลอง Whiskey Testing ควรจะมีคนขับสำรองที่ไม่ได้ดื่มมาขับแทน ดีกว่าจ้า**
- ค่าเข้าชม: ฟรี
- เวลาเปิด-ปิด: 9:00-17:00
- วันปิดทำการ: วันที่ 25 ธันวาคม – 7 มกราคม
????ข้อมูลการขับรถ????
Nikka Whisky Yoichi Distillery
Mapcode: 164 635 876*25
โทรศัพท์: +81 135-23-3131
Google Map: https://bit.ly/2EilXFl
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่เมืองโอตารุ กันค่ะ เมื่อมาถึงโอตารุ แลนด์มาร์คที่จะต้องไปเยือนก็คือ คลองโอตารุ (Otaru Canal) จ้า ใครไม่มาก็เหมือนมาไม่ถึงใช่มั้ยละคะ ≧◡≦ แต่ก่อนที่จะกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างในปัจจุบันนี้จริงๆแล้วก็มีประวัติความเป็นมายาวนานไม่เบาเลยนะคะ เพราะในอดีตเป็นท่าเรือที่คึกคักในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ต่อมาช่วงปี ค.ศ.1980 ที่บริเวณคลองแห่งนี้ได้รับการบูรณะให้สวยงามขึ้นจนน่าเที่ยว
แถมโกดังริมคลองก็เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และร้านอาหาร บรรยากาศกลางคืนนี่บอกเลยว่างดงามมากค่ะ เพราะจะมีการเปิดโคมไฟก๊าซโบราณก็ทำให้บรรยากาศริมคลองโรแมนติกขึ้น และยังเป็นที่จัดเทศกาลแสงไฟริมคลองโอตารุ (Otaru Snow Light Path Festival) ในฤดูหนาว— แต่พอมาตอนหน้าร้อนแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบค่ะ
????ข้อมูลการขับรถ????
Otaru Canal
Mapcode: 493 690 414*33
Google Map: https://bit.ly/2RU1AE3
เช้าวันรุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้ากันที่โอตารุค่ะ และก่อนจะออกเดินทางเราแวะไปเตร็ดเตร่ที่ Sakaimachi Street ค่ะ ถนนซาไกมาจิตั้งอยู่กลางเมืองโอตารุ ไม่ไกลจากคลองโอตารุ (Otaru Canal) ที่ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแลนมาร์คของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ
ถนนซาไกมาจิ นับเป็นถนนที่มีเสน่ห์และเต็มเปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ เนื่องจากตัวถนนเองได้รับการอนุรักษ์มาอย่างดี จนกลายมาเป็นถนนแหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของเมืองโอตารุอย่างในปัจจุบันนี้ และได้รับการดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ร้านเสื้อผ้า และพิพิธภัณฑ์ต่างๆมากมาย ถือเป็นอีกจุดนึงที่เก็บภาพสวยๆไว้ได้เยอะเลยค่ะ
????ข้อมูลการขับรถ????
Sakaimachi Street
Mapcode: 493 661 607*47
โทรศัพท์: +81 134-27-1133
Google Map: https://bit.ly/2XuH26j
เวลานึกถึงความสดใสในฤดูร้อน ก็มักจะคิดถึงสีเหลืองอันสดใสของดอกทานตะวันกันใช่ไหมล่ะคะ เราเลยตั้งใจจะไปชมความสดใสของดอกทานตะวันที่สวนโฮคุเรียวค่ะ (Hokuryu) ค่ะ จากนั้นพวกเรามุ่งหน้าบนทางด่วน Hokkaido Expressway (E5) จาก Otaru -> Fukugawa ระยะทางกว่า 150 กม.
ระหว่างทางก็ถือโอกาสแวะ Service Area หรือจุดพักรถบนทางด่วนซะหน่อย โดยรถที่เราขับ เมื่อจอดเทียบกับรถคันอื่นแล้ว โดดเด่นเป็นพิเศษเลยค่า เพราะมองไปทางไหน ก็จะเห็นแต่รถที่ผลิตในญี่ปุ่นในโทนสีดำ ขาว หรือเทา เมื่อเทียบกับ เจ้า Benz CLA180 Shooting Brake สีแดงเพลิงที่พาเรามา โดดเด่นและแตกต่างไปเลยค่า
ภายในจุดพักรถ ก็จะมี ร้านอาหาร เครื่องดื่ม ของทานเล่น ของฝาก และข้อมูลทางด่วนคอยให้บริการด้วยค่ะ นอกจากนั้นก็ยังมีปั้มน้ำมันด้วย เราเลยถือโอกาส เติมน้ำมันไว้ก่อนเลยค่ะ ซึ่งน้ำมันที่ใช้ จะเป็น High-Octain หรือน้ำมันเกรดพรีเมี่ยมแบบบ้านเราพวก เบนซิน 95 ค่า สังเกตง่ายๆด้วยสัญลักษณ์ สีเหลือง หรือคำว่า “ハイオク”พนักงานก็มีบริการเติมน้ำมันให้พร้อมกับเช็คกระจกด้วยค่ะ (บางปั๊มก็เป็นแบบบริการด้วยตัวเองค่ะ เรียกว่า Self serve หรือ “セルフ”)
โฮคุเรียวถือเป็นหนึ่งในทุ่งดอกทานตะวันที่มีชื่อเสียงมากของเมืองฮอกไกโด ทุ่งทานตะวันแห่งนี้ปลูกดอกทานตะวันไว้กว่า 1.5 ล้านดอก แต่ว่า.. .เราโชคร้ายนิดนึงค่ะ มาถึงในข่วงที่น้องยังไม่บาน เจอกำลังบานอยู่ไม่กี่แปลงเองค่ะ (╥﹏╥) ถ้าหากอยากเจอ full bloom แอดมินแนะนำว่าให้มาช่วงเดือนสิงหาคม เราจะได้พบกับเหล่าดอกทานตะวันที่แข่งกันบานสะพรั่งรับแสงอาทิตย์ในหน้าร้อนไกลสุดลูกหูลูกตาเลย และบริเวณไร่โฮคุเรียวนี้ เปิดให้เข้าชมได้ฟรีจ้า!!!
- ค่าเข้าชม: ฟรี แต่มีกล่องรับบริจาคหน้าทางเข้า หากบริจาคจะได้รับเมล็ดทานตะวัน / เข้าวงกตทานตะวัน : 300 เยน
- เวลาเปิด-ปิด: 8:30-17:00 น.
- วันเปิดทำการ: เมษายน – ตุลาคม
????ข้อมูลการขับรถ????
Hokuryu Sunflower Farm
Mapcode: 179 840 570*33
โทรศัพท์: 0164-34-2082
Google Map: https://bit.ly/2XuH26j
หลังออกมาจากทุ่งทานตะวันที่โฮคุเรียวเราก็จะมุ่งหน้าเข้าสู่เส้นทางที่เป็น Highlight ของ Route นี้นั่นก็คือ Ororon Route ค่ะ ด้วยความที่จุดหมายปลายทางของเราค่อนข้างไกลค่ะ ระหว่างเดินทางก็ได้เห็นวิวสวยๆข้างทางเยอะเลย แอดมินอยากจะนำเสนอเส้นทางนี้มากๆเลยค่ะทุกคน
Ororon Route ถือเป็นถนนที่สวยงามมากๆอีกเส้นนึงค่ะ ลองจินตนาการถึงเวลาที่เราขับรถท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แล้วข้างทางฝั่งนึงเป็นทะเลที่มีคลื่นซัดเข้ามากระทบฝั่ง อีกฝั่งนึงเป็นผืนหญ้าเขียวขจี (ಥ﹏ಥ)ทุกคนจ๋า มันดีมากจริงๆค่ะ ขับรถไกลหน่อย แต่คุ้มมาก อยากให้มาเห็นบรรยากาศแบบนี้ด้วยกันจังค่ะ
ซึ่งเราขับมาไกลสุดถึง Ororon Route – Rishiri Island Outlook, ซึ่งเป็นเส้นทางติดทะเลญี่ปุ่น โดยสามารถมองเห็นยอดของภูเขา Rishiri บนเกาะ Rishiri Island ซึ่งเป็นส่วนนึงของภูมิภาค Hokkaido ด้วยค่ะ น่าเสียดายที่วันนี้ท้องฟ้ามีเมฆมาก อดเห็นยอดเขา Rishiri เลยค่ะ T_T (แอบกระซิบว่า Nippon Rent-A-Car ก็มีสาขาที่ Rishiri Island นะคะ)
????ข้อมูลการขับรถ????
ororon route
Mapcode: 416 361 596*60
Google Map: https://bit.ly/2JhuueQ
เมื่อคืนนี้เรามาปักหลักนอนกันที่ Asahikawa ค่ะ และเช้าวันที่ 4 เรามุ่งหน้าเข้าสู่ Biei กันจ้า สำหรับเส้นทางที่ Biei ถ้าไม่มาขับที่ Patchwork Road ก็เหมือนมาไม่ถึงใช่ม๊า พอมาเจอทิวทัศน์ของทุ่งข้าวบาร์เลย์สีทองอร่าม ตัดกับ ทุ่งหญ้า ไร่นา ต้นไม้ และพุ่มไม้เก๋ๆ สลับไปมาอย่างน่าสนใจ เป็นความสวยที่เราคิดว่าเรียกว่า “น้อยแต่มาก”ได้อย่างเต็มปากเลยค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นโซนที่มักจะใช้เป็นฉากเด่นๆ ในโฆษณาสินค้าทางทีวีดังๆ ของญี่ปุ่นหลายตัวเลยค่ะ และมีจุดชมวิวสวยๆ หลายแห่งด้วยจ้า
????ข้อมูลการขับรถ????
Patchwork Road
Mapcode: 389 069 116*36
โทรศัพท์: + 81 166-92-4378
Google Map: https://bit.ly/2Xry3HY
บนเส้นทาง Patchwork Road จะมี signature tree หลายต้นค่ะ หนึ่งในนั้นคือ Tree of Ken and Mary ที่ใช้ในภาพยนตร์โฆษณา “สกายไลน์” ของบริษัทนิสสันมอเตอร์ ฉายในยุคทศวรรษ 1970 ทำให้ผู้คนต่างแวะเวียนมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันมาเนิ่นนาน วิวต้นไม้ใต้+ท้องฟ้าที่มีเมฆลอยแบบนี้ทำให้นึกถึงการ์ตูนในสมัยเด็กๆ เลยค่ะ แอบแนบรูป signature tree อีกที่มาให้ดูด้วยค่ะ เนินเขา Mild Seven Hill สวยไม่หยอกเลย
????ข้อมูลการขับรถ????
Tree of Ken and Mary
Mapcode: 389 071 724*17
โทรศัพท์: + 81 166-92-4378
Google Map: https://bit.ly/2L3vfKx
มาต่อกันที่ Shineinookatenbo Park ค่ะ ที่นี่เป็นทุ่งดอกไม้กว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตาเลยค่ะ แถมยังมีตุ๊กตาฟางตั้งตระหง่านเป็น Mascot อยู่ด้านหน้าด้วย ถ้าหากมาตอนฤดูหนาวคงจะเจอหิมะขาวโพลนเลยล่ะค่ะ คงจะสวยไปอีกแบบ
????ข้อมูลการขับรถ????
Shineinookatenbo Park
Mapcode: 349 790 586*71
โทรศัพท์: + +81 166-92-4378
Google Map: https://bit.ly/32aveK4
และจุดหมายต่อมาของเรา สวนดอกไม้อันเลื่องชื่อของ Biei นั่นก็คือ Shikisai No Oka นั่นเองจ้า สวนสวรรค์แห่งดอกไม้ของฮอกไกโดแห่งนี้ เต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสันกว่า 30 ชนิดที่ผลิบานอวดดอกสวยตามฤดูกาลอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่ มองดูคล้ายกับพรมสีสวยสดหลากสีเลย ภาพของทุ่งดอกไม้ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าที่กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดนี้เป็นภาพที่สวยงามสุดยอดจริงๆค่ะ
- ค่าเข้าชม: ฟรี แต่มีกล่องรับบริจาคหน้าทางเข้า เพื่อบำรุงสวน 200 เยน
- เวลาเปิด-ปิด: 8:30-18:00 น.
????ข้อมูลการขับรถ????
Shikisai No Oka
Mapcode: 349 701 188*52
โทรศัพท์: +81 166-95-2758
Google Map: https://bit.ly/2S9pV9n
เรามาต่อกันที่ Blue Pond หรือ Aoiike บ่อน้ำสีฟ้า ที่เกิดจากการที่มีการสร้างเขื่อนป้องกันโคลน ลาวาจากภูเขาไฟบริเวณใกล้เคียง จึงทำให้น้ำบริเวณนี้ถูกกั้นไว้ น้ำที่เราเห็นเป็นสีฟ้าเกิดจากน้ำมีสารอลูมิเนียมไฮดรอกไซต์เจือปน สีของน้ำจะแตกต่างกันไปตามแต่สภาพอากาศและแสงแดดนะจ๊ะ
????ข้อมูลการขับรถ????
Shirogane Blue Pond
Mapcode: 349 569 814*88
โทรศัพท์: + 81 166-94-3355
Google Map: https://bit.ly/2LER2Yw
ยังไม่ออกจาก Biei จ้า เราขับมาต่อกันที่ Panorama Road ที่อยู่ทางใต้ของเมืองเป็นเส้นทางทีมี่ทัศนียภาพสวยงาม ซึ่งมีเนินเขาที่ปลูกดอกไม้หลายชนิด ไกลสุดลูกหูลูกตา สมชื่อ Panorama Road จริงๆและ เหมาะมากๆเลยค่ะสำหรับการขับรถกินลมชมวิว ระยะทางรวมทั้งหมดของถนนเส้นนี้คือประมาณ17 กม.
????ข้อมูลการขับรถ????
Panorama Road
Mapcode: 349 397 676*30
Google Map: https://bit.ly/32awzAA
และแล้วก็มาถึงอีกหนึ่ง Highlight ของทริปปปป >//< Tomita Farm ทุ่งลาเวนเดอร์ Landmark ของฟุราโนะค่า!!!
เมื่อพูดถึงทุ่งดอกไม้อันโด่งดังของฮอกไกโด หลายคนก็คงจะต้องรู้จักทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงเข้มกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา จากฟาร์มโทมิตะอันโด่งดัง อยู่แล้วใช่ไหมล๊า!! นอกจากลาเวนเดอร์แล้ว ฟาร์มโทมิตะยังมีดอกไม้อีกหลากสายพันธุ์ เช่นทุ่งอิโรโดริ (Irodori Field) ที่มีทั้งสีม่วง สีขาว สีแดง สีส้ม สีชมพู ฯลฯ แอดมินแนะนำเลยค่ะว่า Instagrammer ห้ามพลาดเลยเพราะถ่ายรูปสวยมาก
แต่ว่าเสน่ห์ของทุ่งลาเวนเดอร์สีม่วงแห่งนี้ยังไม่ได้มีดีแค่สวยอย่างเดียวนะคะ เพราะเจ้าดอกไม้สีม่วงเนี่ยยังสามารถนำไปประยุกต์เป็นเมนูอร่อยๆ ได้อีกหลายเมนู เช่น ซอฟท์ครีมลาเวนเดอร์ (อร่อยมากค่ะ แนะนำเลย) พุดดิ้งลาเวนเดอร์ เครื่องดื่มซ่าๆ อย่างโซดาลาเวนเดอร์และอีกมากมาย
- เวลาทำการ: เปิดให้เข้าชมทั้งวัน แต่ร้านค้าต่างๆ ภายในจะเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 08:30 – 17:00 น.
- ค่าเข้าชม: ฟรี
????ข้อมูลการขับรถ????
Mapcode: 349 276 804*00
โทรศัพท์: +81 167-39-3939
Google Map: https://bit.ly/30lLG8r
เมื่อคืนหลังออกจาก Farm Tomita แล้วเรามุ่งหน้าเข้าไปพักที่เมือง Tomamu เพราะตั้งใจจะตื่นไปชมทะเลเมฆหรือ Unkai Terrace กันตอนเช้ามืดค่ะ แต่โชคไม่ดีอีกแล้วค่ะตอนเช้าฝนตก อดดูตามเคยค่ะ(╥﹏╥) เลยถ่ายรูปของ Twin Tower Hoshino Resort Tomamu มาปลอบใจค่า
จากนั้นเราจึงเดินทางเข้าเมือง Sapporo ค่า แต่ก่อนถึง Sapporo เรามาแวะกันที่ Hitsujigaoka Observation Hill หรือ Hill of Sheep กันซะก่อน
ที่นี่เป็นจุดชมวิวเมืองฮอกไกโด โดยสามารถมองเห็น Sapporo Dome ได้ แรกเริ่มเดิมทีจุดนี้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์วัวและแกะ จึงเป็นที่มาของชื่อ Hitsujigaoka ถ้าใครอยากจะเห็นวิวทิวทัศน์ตัวเมืองสวยๆแนะนำเลยว่ามาที่นี่ไม่ผิดหวังจ้า จุดชมวิวที่นี่ได้เปิดให้เข้ามาชมกันตั้งแต่ปี ค.ศ.1959 จากจุดชมวิวสามารถมองเห็นทุ่งหญ้าและตัวเมือง นอกจากนี้บริเวณภายในเขายังมีจุดที่น่าสนใจอื่นๆอีกเพียบเชียวนะคะ เรียกได้ว่ามาแถบเดียวเที่ยวได้ยาวๆก็ว่าได้ค่ะ
- ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 500 เยน / เด็ก 300 เยน
- เวลาเปิด-ปิด: พฤษภาคม-มิถุนายน 8:30-18:00 / กรกฎาคม-กันยายน 8:30-19:00 / ตุลาคม-เมษายน 9:00-17:00
????ข้อมูลการขับรถ????
Hitsujigaoka Observation Hill
Mapcode: 9 287 533*30
โทรศัพท์: +81 11-851-3080
Google Map: https://bit.ly/2JhaCbA
พออกจาก Hitsujigaoka Observation Hill ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยจวนจะเย็นแล้วค่ะ เราก็เลยตัดสินใจเข้าไปเช็คอินที่พักในย่าน Susukino หลังจากนั้นช่วงเย็นก็เจอฝนตกอีกแล้ว เราก็เลยตัดสินใจเที่ยวเล่นกันชิลๆในเมือง Sapporo-Susukino จ้า
เช้าวันที่ 6 หลังจากที่เราขับรถเที่ยวกันมาถึง 5 วันเต็มๆ วันนี้ทั้งวันเราก็เลยขอช็อปปิ้งชิลๆแถวชานเมือง Sapporo กันค่ะ แต่ว่าช็อปคราวนี้เราไม่ได้ไปตามย่านดังๆเหมือนอย่างที่คนส่วนไปกันนะคะ แอดมิน ขอนำเสนอแหล่งช็อปปิ้งเอาใจคนที่ชอบของดีราคาถูกค่า
ร้านขายสินค้ามือ 2 ตระกูล OFF ค่ะ ซึ่งเป็นร้านขายของมือ 2 ที่มีสาขาเยอะมากๆ ในญี่ปุ่น ขายตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยจ้าไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน หนังสือ เสื้อผ้า เครื่องดนตรี ฯลฯ
และเจ้าร้านตระกูล OFF แบ่งเป็นทั้งหมด 7 แบรนด์ค่ะ – Book Off , Off House, Mode Off, Hobby Off, Garage Off, Liquor Off แต่ละแบรนด์ก็แบ่งหมวดหมู่สินค้าตามชื่อร้านเลยค่ะ แต่ก็มีบางแบรนด์ที่เป็นสาขาใหญ่ ๆ เช่น Book Off Super bazar ที่จำหน่ายสินค้าแทบจะทุกหมวดหมู่ก็มีค่ะ
ร้านตระกูล OFF ที่เราแวะกันทุกสาขาจะตั้งอยู่แถวชานเมืองค่ะ ซึ่งบางที่ไม่สามารถโดยสารรถไฟฟ้ามาได้ แต่เราเช่ารถมาจ้า!! แค่ใส่พิกัดร้านใน GPS แล้วก็ขับออกไปเลย สะดวกมากๆเลย ใครที่ไม่ติดกับการใช้ของมือสองแอดมิน recommend เลยค่ะ ♥‿♥
หลังจาก Shopping กันจนหนำใจแล้ว เราวางแผนกันว่าจะเข้าไปพักที่เมืองชิโตเสะเพราะวันรุ่งขึ้นเราจะต้องไปคืนรถแต่เช้าค่ะ ระหว่างทางเลยแวะถ่ายรูปที่ Moerenuma Park (สวนสาธารณะโมเอะเรนุมะ) ค่ะ
เป็นสวนที่ผสมผสานระหว่างศิลปะและธรรมชาติที่ได้รับการออกแบบโดยปฏิมากร “คุณอิซามุ โนกุจิ” มีเนื้อที่ประมาณ 1.89 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็นหลายๆโซนไม่ว่าจะเป็นเนินเขาทรงปีระมิด สนามเด็กเล่น ลานสกี มีสระว่ายน้ำและคอร์ดเทนนิสที่เปิดให้บริการเฉพาะหน้าร้อนด้วย เรียกได้ว่ามาที่เดียวเที่ยวได้ทุกฤดูเลยค่ะ
- ค่าเข้าชม: ฟรี
- เวลาเปิด-ปิด: 7:00-22:00 (เข้าชมก่อน 21:00)
- วันปิดทำการ: เปิดทุกวัน
????ข้อมูลการขับรถ????
Moerenuma Park
Mapcode: 9 741 563*52
โทรศัพท์: +81 11-790-1231
Google Map: https://bit.ly/2O6Mugq
ในเช้าตรู่วันสุดท้ายเราก็ออกจากที่พักตั้งแต่ 7 โมงเพื่อนำรถไปคืนที่สนามบินชิโตเสะค่ะ แต่ว่าออฟฟิศของ premium car เปิดให้บริการตอน 9 โมงเช้า แต่ไม่ต้องกังวลค่ะถึงเราจะรับรถจาก ออฟฟิศ premium car แต่สามารถนำมาคืนที่อาคารของ Nippon Rent-A-Car ได้ตามปกติเลยค่ะ หากใครมีไฟลท์ขากลับช่วงเช้าเหมือนแอดมินไม่ต้องกลัวตกเครื่องเลยจ้า
ถ้าหากเราไม่ได้เติมน้ำมันเต็มถังก่อนคืนรถ No Worry ค่ะ สามารถขับเข้ามาเติมที่สาขาได้เลยโดยที่เรทราคาน้ำมันเท่ากันที่ขายตามปั๊มในเมืองทั่วไปเลยค่ะ สะดวกมากๆเลย
พอคืนรถเรียบร้อยแล้วทาง Nippon Rent-A-Car จะมีบริการรถ shuttle bus ฟรีจากสาขา ไปส่งเราที่อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ จากนั้นก็ใช้เวลาเดินจาก Domestic terminal ไปที่ International terminal ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีและตรงไปที่ counter สายการบินเพื่อ check in ได้เลยค่ะ
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดค่ะ แอดมินแอบมีเกร็ดเล็กๆกับการเติมน้ำมันรถในญี่ปุ่นมาฝากค่ะ
ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปเติมน้ำมันสังเกตกันสักนิดค่ะ ถ้าหากว่าเราเจอป้ายแบบนี้ที่มีตัวอักษร ‘セルフ’แบบนี้กำกับอยู่ หมายถึง self service นั่นคือเราจะต้องบริการตัวเอง หรือเติมน้ำมันเองนั่นแหละค่ะ ถ้าหากไม่เคยใช้บริการมาก่อน หรือไม่ชัวร์ ให้พนักงานปั๊มเติมให้ดีกว่าค่ะ
การขับรถเที่ยวหน้าร้อนตลอด 7 วันนี้ ถือเป็นประสบการณ์ที่มีค่ามากๆเลยค่ะ นอกจากจะได้ขับรถเที่ยวเอง ได้เห็นฮอกไกโดในมุมที่เราไม่คุ้นเคย เรายังได้มีโอกาสสัมผัสกับการขับรถยุโรปนำเข้าที่หาได้ค่อนข้างน้อยในฮอกไกโดพร้อมทั้งบริการแสนประทับใจจาก Nippon Rent-A-Car x Yanase ทำให้เราตกหลุมรักการขับรถเที่ยวเองในญี่ปุ่นได้ง่ายๆเลยค่ะ
ใครที่อยากสัมผัสกับบรรยากาศการขับรถนำเข้าที่ญี่ปุ่นสามารถติดต่อทีมงาน Japan Intouch ได้ตลอดเลยนะคะ เราตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ Nippon Rent–A–Car มีเจ้าหน้าที่คนไทยคอยให้ความช่วยเหลือตั้งแต่ขั้นตอนการจองรถไปจนถึงการบริการช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา รับรองได้รับความสะดวกสบายแน่นอนค่ะ
สำหรับใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หากสนใจเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นแบบไม่เหมือนใคร เรามีโปรโมชั่นพิเศษตามนี้เลยจ้า
ใครสนใจจะเช่ารถนำเข้าสวยๆแบบนี้ที่ Hokkaido หรือภูมิภาคอื่นๆที่ญี่ปุ่นก็สอบถามเข้ามาได้เลยที่ Japan Intouch Rental Cars ตัวแทนอย่างเป็นทางการในประเทศไทยของ Nippon Rent–A–Car ที่มีสาขามากกว่า 500 แห่งทั่วญี่ปุ่น รับประกันรถใหม่มาก อายุไม่เกิน 3 ปี มีรถให้บริการหลากหลายยี่ห้อ
รถนำเข้ารุ่นปกติ
รถนำเข้ารุ่นพิเศษ
รถนำเข้ารุ่นพิเศษ เฉพาะ Tokyo-Hokkaido
โดยมีเจ้าหน้าที่คนไทย ที่พร้อมจะอำนวยความสะดวกตั้งแต่การเลือกรถ ขั้นตอนการจอง ไปจนถึงการบริการช่วยเหลือเมื่อมีปัญหาและที่สำคัญ ถ้าจองผ่านช่องทางนี้ รวมประกันภัยแล้ว ยังได้ราคาถูกกว่าจองออนไลน์อย่างแน่นอน
เบอร์โทร: 02–251–9648 HOTLINE : 088-678-4999
Line: @japanintouch
Facebook: Japan Intouch
TAT Licence No. 11/08229