มาถึงวันสุดท้ายของเส้นทาง Diamond Route กันแล้ว วันนี้เราเดินทางมุ่งหน้าไปที่จังหวัด อิบะระกิ (Ibaraki) จะพาไปพบกับสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของจังหวัดนี้ ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกัน
อ่านรีวิวตอนที่ผ่านมาได้ที่นี่
ตามรอยใบไม้เปลี่ยนสี บนเส้นทาง Diamond Route ตอน 1 : โทชิงิ (Tochigi)
ตามรอยใบไม้เปลี่ยนสี บนเส้นทาง Diamond Route ตอน 2 : ฟุคุชิมะ (Fukushima)
จากสถานีรถบัส Aizu-Wakamatsu โดยสารรถบัสด่วนพิเศษ ไปยัง สถานี Iwaki ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง การเดินทางโดยรถบัสนั้นอาจจะดูว่านานไปสักหน่อย แต่อันที่จริงแล้วใช้เวลาใกล้เคียงกับการเดินทางด้วยรถไฟ แต่มีข้อได้เปรียบในเรื่องของความสะดวกสบาย ไม่ต้องไปเปลี่ยนรถไฟแถมยังต้องลากกระเป๋าไปให้เหนื่อยอีกด้วย
บริเวณด้านหน้าสถานี มีจุดสำหรับให้ข้อมูลนักท่องเที่ยว
แวะทานมื้อกลางวันกันที่ห้าง LATOV ซึ่งเป็นห้้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับตัวสถานีรถไฟ มื้อนี้เราแวะทานเซทข้าวหน้าปลาดิบรวม ที่ร้าน Onozaki ซึ่งราคาถูกมากๆ เพียงแค่เซทละ 1,000 เยนเท่านั้น
หลังจากทานอาหารกลางวันกันเรียบร้อย เราเดินทางกันต่อ โดยสารรถไฟสาย JR ที่วิ่งตรงเข้าสู่สถานี Mito แต่เราจะแวะระหว่างมากันที่ Hananuki Keikoku (หรือ Hananuki Gorge) สถานที่ท่องเที่ยวจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยติดอันดับของจังหวัดอิบะระกิ โดยลงรถไฟที่ สถานี Takahagi แล้วนั่งรถแท็กซี่ต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
Hananuki Keikoku หุบเขาชื่อดังที่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งจุดที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ คงจะหนีไม่พ้นทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีทั้งสองข้างทางบนสะพานแขวนเหนือน้ำตก ซึ่งในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 11-12 และ 18-19 พ.ย. ได้มีการจัดงานเทศกาลชมใบไม้เปลี่ยนสี โดยจะมีรถชัตเติ้ลบัสคอยให้บริการรับส่งจากสถานีรถไฟ Takahagi ไปถึงหุบเขาฮานานุกิ ค่าบริการ 500 เยนสำหรับผู้ใหญ่และ 250 เยน สำหรับเด็กไม่เกินชั้นประถม
บรรยากาศธรรมชาติของอุทยาน Hananuki Keikoku
ในช่วงฤดูกาลชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ด้านหน้าของอุทยานจะมีร้านค้าต่างๆอีกทั้งร้านอาหารมาเปิดบูทขายสินค้าอีกด้วย
จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki Prefectural Museum of History) เพื่อมาชมบรรยากาศต้นแปะก๊วยที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทองไปทั่วทั้งบริเวณภายในสวน และมีการจัดแสดงไลท์อัพในช่วงกลางคืน พร้อมการแสดงแสงสีเสียงที่ตึกเก่าในบริเวณพิพิธภัณฑ์อีกด้วย
แนวต้นแปะก๊วยที่บริเวณพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จังหวัดอิบะระกิ
ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การชม : ประมาณต้นเดือนถึงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยเทศกาลชมต้นแปะก๊วยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 – 23 พ.ย. และจะมีการจัดไลท์อัพรวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ก่อนและหลังวันที่ 13 พ.ย.
ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง : ประมาณ 10 นาที โดยสารรถบัสสาย Kairakuenที่มุ่งหน้าไปยัง Sakuragawanishidanchiจากจุดขึ้นรถบัสหมายเลข 4 ประตูทิศเหนือของสถานี Mito แล้วลงที่ป้ายจุดจอดรถบัส Rekishi-kan Kairakuen Iriguchi จากนั้นเดินต่ออีก 2 นาที
เว็บไซต์ : Mito Ginkgo
และอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมายังเมืองมิโตะ นั่นก็คือการเดินทางไปชมความสวยงามของ สวนไคระคุเอ็น (Kairakuen) สวนแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น ควบคู่กับสวนเคนโรคุเอ็น จังหวัดคะนะซะวะ และสวนโคระคุเอ็น จังหวัดโอคะยะมะ
สวนไคระคุเอ็น สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1841 โดยไดเมียว Tokugawa Nariaki ผู้ปกครองเมืองมิโตะในขณะนั้น สวนญี่ปุ่นแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ใช้เป็นสวนสาธารณะสำหรับชาวบ้านและประชาชนทั่วไปมีสิทธิ์เข้าชมได้ ตามความหมายของชื่อสวนแห่งนี้ที่แปลว่า “สวนที่ทุกคนสามารถมาเพลิดเพลินด้วยกัน” ต่างจากสวนเคนโระคุเอ็น และสวนโคระคุเอ็น ซึ่งทั้งสองสวนนั้น สร้างขึ้นสำหรับไดเมียวและชนชั้นปกครองเท่านั้น
นอกจากจะเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ที่สวนไคระคุเอนแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของเทศกาลชมดอกบ๊วย ที่จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ภายในสวนมีต้นบ๊วยปลูกไว้มากกว่า 3,000 ต้น นอกจากความสวยงามของต้นบ๊วย ที่จะผลิดอกในช่วงของฤดูใบไม้ผลิแล้วที่นี่ยังเป็นสวยที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามตามแบบฉบับสวนญี่ปุ่น ทั้งบ่อน้ำ สวนไผ่ อาคารไม้โคบุนเท (Kobuntei) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน
ต้นซากุระขนาดใหญ่ที่มีอายุกว่า 61 ปี
กระดานหมากรุกหินที่ใช้เป็นที่ประลองสมองของเหล่าบรรดาซามูไรในสมัยก่อน
จุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมอาคารไม้โคบุนเท (Kobuntei) ค่าเข้าชม 200 เยน
อาคารไม้โคบุนเท ถูกสร้างขึ้นเมื่อค.ศ. 1842 เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของของ โทคุกะวะ นิริอะกิ (Tokugawa Niriaki) โชกุนรุ่นที่ 9 ผู้ครองอาณาจักรมิโตะ จากนั้นเกิดเพลิงไหม้เมื่อปีค.ศ. 1945 ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด จากนั้นเริ่มบูรณะขึ้นใหม่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1955 โดยใช้เวลา 3 ปี นอกจากที่นี่จะใช้เป็นบ้านพักตากอากาศแล้ว ก็ยังใช้ที่แห่งนี้เป็นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจ แต่งกลอน รวมถึงจัดงานเลี้ยงรับรองขุนนางชั้นผู้ใหญ่ แล้วยังเปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้ในการพักผ่อนอีกด้วย
ห้อง Kiku-no ma ในอดีตใช้เป็นห้องสำหรับเตรียมอาหาร
ห้อง Momo-no ma เป็นอีกหน้องหนึ่งที่ในอดีตใช้เป็นห้องสำหรับเตรียมอาหาร
ห้อง Tsutsuji-no ma, ห้อง Sakura-no ma และห้อง Hagi-no ma ในอดีตใช้เป็นห้องสำหรับให้ผู้ติดตามภรรยาของผู้ครองอาณาจักรมิโตะพักขณะมาที่โคบุนเท
ห้องโถงไม้ขนาดใหญ่ในตัวอาคาร
Kato-guchi คำกลอนโบราณและเพลงถูกเขียนขึ้นบนผนังของประตูห้อง
ห้อง Rakuju-ro ขนาด 8 เสื่อใช้เป็นห้องสำหรับพักผ่อนพร้อมชมวิวสวนของท่านนะริอะกิ
บรรยากาศของสวนจากชั้นบนสุดของอาคารไม้โคบุนเท
ลิฟท์ชักลากสำหรับใช้ขนส่งอาหารจากชั้นล่างขึ้นมาด้านบน
สวนไคระคุเอ็น (Kairakuen)
เวลาเปิดทำการ : ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ. – ก.ย. เปิดเวลา 6.00-19.00 น. และช่วงเดือนต.ค. – วันที่ 19 ก.พ. เปิดเวลา 07:00 – 18:00 น.
วันหยุดทำการ : เปิดทำการทุกวัน
ค่าเข้าชม: การเข้าชมบริเวณสวนไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้น Kobuntei ค่าเข้าชม 200 เยน
การเดินทาง: จากตัวเมือง Mito โดยสารรถไฟ JR จากสถานี Mito สาย JR Joban ไปลงที่สถานี Kairakuen หรือโดยสารรถบัสจากหน้าสถานี JR Mito มาลงที่สวน
เว็บไซต์: Kairakuen
เชื่อว่าเส้นทาง Diamond Route จะเป็นอีกเส้นทางท่องเที่ยวสายใหม่ ที่จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ต้องการแสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ เส้นทางใหม่ๆ ไม่ซ้ำใคร ลากันไปด้วยภาพสวยๆของสวนไคระคุเอ็น อย่าลืมติดตามกันต่อไปในครั้งหน้าว่าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันอีกบ้าง