Ibaraki: เที่ยวอิบะระกิรอบนอก ข้ามสะพานแขวน ชมน้ำตก ไหว้พระใหญ่ ไม่ไกลจากโตเกียว

เมื่อพูดถึง “จังหวัดอิบะระกิ” อีกหนึ่งจังหวัดที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงซักเท่าไหร่ ทั้งๆที่อยู่ไม่ไกลจากโตเกียว สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้แบบสบายๆ จากผลสำรวจว่าจังหวัดไหนมีเสน่ห์น่าไปท่องเที่ยวมากที่สุดตั้งแต่ปี 2009-2015 “จังหวัดอิบะระกิ” มักจะติดอันดับอยู่ปลายๆแถวเสมอ ครั้งนี้ทางเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมจึงอยากจะเดินทางมาพิสูจน์กันว่า “จังหวัดอิบะระกิ” เป็นจังหวัดที่มีเสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวน้อยที่สุดจริงไหม?

จังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคคันโต เมืองหลวงชื่อว่าเมืองมิโตะ (MITO) อยู่ห่างจากโตเกียวไปไม่ไกลมากเพียง 1 ชั่วโมงโดยรถไฟ การเดินทาง
จากสถานี Tokyo ก็ไม่ยากสามารถโดยสารรถไฟ JR Limited Express Hitachi / Tokiwa ไปลงที่สถานี Mito ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที

ขอบคุณภาพจาก www.pref.ibaraki.jp

จากนั้นสามารถโดยสารรถบัสหรือเช่ารถขับด้วยตัวเองเพื่อไปท่องเที่ยวตามเมืองต่างๆ ที่นี่เต็มไปด้วยธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์อย่างมาก สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่สุดหลายสถานที่ อีกทั้งเมืองทสึคุบะ (Tsukuba) จังหวัดอิบะระกิ ยังได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองแห่งวิทยาศาสตร์และการวิจัยอีกด้วย จะเห็นได้จากการเป็นที่ตั้งของศูนย์อากาศยานทางอวกาศ JAXA และมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกมากมาย เรียกได้ว่าชื่อของจังหวัดอิบะระกิ เป็นที่รู้จักมากขึ้น จากทุ่งดอกสีฟ้าเนโมฟิลลาแห่งสวนฮิตาชิ ซีไซด์และงานเทศกาลดอกบ๊วยมิโตะแห่งไคราคุเอ็น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น แต่ถ้าได้ค้นหาจริงๆแล้ว ที่จังหวัดนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ซ่อนตัวอยู่อีกหลายแห่ง ที่การท่องเที่ยวอิบารากิได้แนะนำไว้ จนต้องออกเดินทางตามรอยอีกครั้ง

ในทริปนี้ใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่ในจังหวัดอิบะระกิเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน การเดินทางในครั้งนี้เป็นการเดินทางออกนอกเส้นทาง เพื่อไปค้นหามุมมองใหม่ๆของอิบะระกิ เรียกได้ว่าเป็นมุมที่ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเข้าถึงมาก ยังคงความน่าค้นหาและมีเสน่ห์ในแบบที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งมาก เหมาะสำหรับคนชอบขับรถ ลัดเลาะไปตามเส้นทางต่างๆเพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ


เริ่มต้นสถานที่แรกของวัน เราเดินทางไปกันที่ศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ (Kasama Inari Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองคะซะมะ (Kasama) มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,350 ปี

ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 651 โดยถือเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองคะซะมะ มีเทพบูชาประจำศาลเจ้าคือ เทพอุคาโนะมิทามะ มีความเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพิ่มและดูแลผลผลิตทางการเกษตรและยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ ในทุกๆวันที่ 10 พฤษภาคมจะมีเทศกาล Shinsenden Otauesai หรือเป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะรวมตัวกันดำนำ เต้นรำและร้องเพลงเพื่อขอพรจากเทพเจ้าให้ในปีนั้นๆมีผลผลิตทางการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์

ร้านค้าข้างทางระหว่างทางเดินเข้าสู่อาคารหลักของศาลเจ้า

ตามธรรมเนียมก่อนเข้าสู่ศาลเจ้า

ซุ้มประตูขนาดใหญ่ก่อนเดินเข้าสู่ตัวอาคารหลัก

อาคารหลักของศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ

สัญลักษณ์ของศาลเจ้าอินาริ สุนัขจิ้งจอกคาบดาบ

ด้านในศาลเจ้ายังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ศิลปะ

ภาพของซุ้มประตูเก่าแก่ที่มีอายุกว่าพันปี

ในช่วงเดือนพฤษภาคม ที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีผู้คนเดินทางมาชมความงดงามของสวนดอกวิสทีเรียที่พร้อมใจกันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งบริเวณศาลเจ้า

ซุ้มดอกวิสทีเรียส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งศาลเจ้า

หลังจากเดินชมศาลเจ้ากันเป็นที่เรียบร้อย ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับศาลเจ้า เราสะดุดตากับร้านขายของฝากร้านหนึ่งหน้าร้านมีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากกาตลอดเวลา เดินเข้าไปสำรวจพบว่าเป็นร้านขายขนมอร่อยเจ้าดัง

เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของจังหวัดอิบะระกิ แนะนำเราว่าขนมร้านนี้อร่อยมาก ลักษณะคล้ายกับมันจูเคลือบด้วยน้ำตาลแดงสีเข้มข้น กรอบนอกนุ่มใน ด้านในเป็นไส้มันม่วงและผลวอลนัทลูกโต ที่สำคัญอร่อยมากๆ ใครมีโอกาสมาเที่ยวที่นี่ ห้ามพลาดเด็ดขาด

ศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ (Kasama Inari Shrine)
เวลาทำการ: 06.00 – ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน

วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน

ค่าเข้าชม: ฟรี
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Tomobe ใช้เวลา 110 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ  JR สายมิโตะ ลงที่สถานี Kasamaใช้เวลา7นาที  จากนั้นเดินประมาณ 20 นาทีหรือนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): Kasama Inari Jinja


ออกจากศาลเจ้าเราแวะทานร้านอุด้งชื่อดังของจังหวัดอิบะระกิ ที่ร้านทาราอิ อุด้ง โมมิจิยะ (Tarai Udon Momijiya)

บรรยากาศด้านนอกร้าน ร่มรื่นไปด้วยสวนญี่ปุ่น

ความพิเศษของอุด้งร้านนี้เป็นอุด้งเส้นสดที่เสริฟมาในถังไม้ไผ่ เซทที่เราเลือกทานในวันนี้ชื่อว่า Momijiya Set ราคา 1,380 เยน ประกอบด้วยอุ้งเส้นสดแบบร้อนทานคู่กับซุปและกุ้งเทมปุระตัวใหญ่และผักตามฤดูกาล เช่น มันหวานที่มีขนาดยาวกว่าหนึ่งไม้บรรทัด, กระเจี๊ยบ, สาหร่ายคอมบุและหัวไชเท้า ความพิเศษของเซทนี้พนักงานจะนำน้ำเต้าหู้สดมาตุ๋นไฟอ่อนๆจนสุกได้ที่ทานคู่กับอุด้ง ส่วนรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึงร้านต้นตำรับในตำนาน อร่อยมากที่สุด สำหรับใครที่อยากจะแวะไปลองชิมแนะนำให้โทรไปจองโต้ะกันก่อน

ร้านทาราอิ อุด้ง โมมิจิยะ (Tarai Udon Momijiya)
ที่อยู่: 1021 Arigacho, Mito, Ibaraki Prefecture
หมายเลขโทรศัพท์: +81 29-259-4826
เวลาทำการ: 11:00-21:00 น. (ปิดรับออเดอร์สุดท้าย 20:00 น.)
วันหยุด: ไม่มีวันหยุดที่แน่นอน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ  JR สายมิโตะ ลงที่สถานี Uchiharaใช้เวลา 11นาที จากนั้นนั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): https://www.facebook.com/taraiudonmomijiya/ , http://taraiudonmomijiya.favy.jp/


หลังจากเติมพลังกันเรียบร้อย เราเดินทางไปท่องเที่ยวกันต่อที่สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Big Suspension Bridge) ตั้งอยู่ที่เมืองฮิตะจิโอตะ (Hitachiota) ภายในวนอุทยานโอคุคุจิ

สะพานแขวนแห่งนี้มีความยาวทั้งหมด 375 เมตร เป็นสะพานแขวนสำหรับเฉพาะให้คนเดินข้ามที่ยาวที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น สร้างขึ้นเหนือเขื่อนริวจิน

โดยมีแม่น้ำจากเขื่อนไหลผ่านหุบเขาเป็นรูปตัววีที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก ซึ่งจากสะพานแขวนแห่งนี้สามารถมองเห็นทัศนียภาพแบบพาโนรามาอันสวยงามได้ตลอดทั้ง 4 ฤดูกาล

แวะซื้อตั๋วค่าเดินข้ามสะพานกันก่อน

ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม จะมีการประดับประดาด้วยธงรูปปลาคาร์ฟขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งวันเด็กผู้ชายนั่นเอง

ทัศนียภาพด้านล่างระหว่างเดินอยู่บนสะพาน สำหรับใครที่ชอบความหวาดเสียวที่นี่ก็มีบันจี้จัมพ์ให้กระโดดวัดใจลงไปจากสะพานได้ด้วย

ด้านล่างของสะพานแขวนริวจิน ยังเป็นที่ตั้งของเขื่อนริวจินขนาดใหญ่

แท่งปูนขนาดใหญ่เป็นรูปมังกรใช้สำหรับขึงลวดเคเบิลสะพาน

นอกจากนั้นที่นี่ยังมีร้านขายของฝากและของที่ระลึกชื่อดังมากมายของจังหวัดอิบะระกิ

สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Big Suspension Bridge)
เวลาทำการ: 08.30-17.00 น.
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 310 เยน เด็ก 210 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ  JR สาย Suigun ลงที่สถานี Hitachi-ota ใช้เวลา 37 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทาง Ibaraki Kotsu Bus (คันที่วิ่งไปยัง Shimo-Takakura หรือShimo-Takakura Daigo) ใช้เวลา 45 นาที ราคา 500 เยน ลงที่สะพานแขวนริวจินหรือด้านหน้าทางเข้าสะพานแขวนริวจิน
เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): http://ohtsuribashi.ryujinkyo.jp/
(ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/ryujin_bridge.html


เดินทางไปท่องเที่ยวกันต่อที่น้ำตกฟุคุโระดะ (Fukuroda Waterfalls) ตั้งอยู่ใน ต.ไดโกะ น้ำตกแห่งนี้เป็นหนึ่งในสามของน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

บรรยากาศระหว่างทางเดินขึ้นไปที่น้ำตก จะสังเกตได้ว่าธรรมชาติของที่นี่ยังคงอยู่อย่างครบถ้วนจริงๆ

เดินขึ้นมาเรื่อยๆถึงบริเวณจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมน้ำตก

ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนของน้ำตกโดยลอดไปตามอุโมงค์คอนกรีต

บรรยากาศด้านในอุโมงค์ แอบคิดในใจว่าการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นนั้นช่างอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวจริงๆ

ภาพของน้ำตกเบื้องหน้าที่ได้รับการขนานนามถึงความสวยงามเนื่องมาจากธารน้ำตกจะไหลผ่านหน้าผาหินยักษ์ที่มีความสูง 120 เมตรและขนาดของความกว้างถึง 73 เมตร ซึ่งเป็นชั้นหินไล่ระดับลงมา 4 ชั้น จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “น้ำตก 4 ชั้น” จุดชมวิวที่ถูกออกแบบให้นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพของน้ำตกอย่างใกล้ชิด

อีกทั้งยังเพลิดเพลินกับภาพความสวยงามเบื้องหน้าได้ในทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ธารน้ำจะกลายเป็นน้ำแข็งคล้ายกับถูกหยุดเวลาไว้ซึ่งก็ให้ความรู้สึกสวยงามไปอีกแบบ

นักท่องเที่ยวยังสามารถข้ามสะพานแขวนไปชมความงามของน้ำตกได้จากอีกมุมหนึ่ง

ประติมากรรมแห่งความรักของ Yumi Katsura

ระหว่างเดินกลับไปที่รถ เราพบกับไร่ชาขั้นบันได

น้ำตกฟุคุโระดะ (Fukuroda Waterfalls)
เวลาทำการ: 08.00-18.00 น. (ช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม)
09.00-17.00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน)
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 300 เยน เด็ก 150 เยน
วิธีการเดินทาง:  จากสถานี Tokyoโดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Mito ใช้เวลา 75 นาที จากนั้นโดยสารรถไฟ  JR สาย Suigun ลงที่สถานี Fukuroda ใช้เวลา 70 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทาง Ibaraki Kotsu Bus (คันที่วิ่งจากสถานี Fukuroda- Takimoto) ใช้เวลา 10 นาที ราคา 210 เยน ลงที่หน้าทางเข้าน้ำตกฟุคุโระดะ หรือสามารถนั่งรถแท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/fukuroda_falls.html

หลังจากนั้นเดินทางเข้าพักที่โรงแรม President Hotel MITO
อ่านรีวิวได้ที่นี่ >> รีวิวที่พัก : Ibaraki ~ President Hotel MITO ติดกับสถานีรถไฟ JR Mito


เริ่มต้นการเดินทางวันที่ 2 วันนี้เราจะไปทดสอบความแข็งแกร่งของพลังขากับการเดินเทร็คกิ้งขนาดย่อมๆกันที่ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba) ตั้งอยู่ในเมืองทสึคุบะ (Tsukuba)

จุดจำหน่ายตั๋วขึ้นกระเช้าไฟฟ้า

ภูเขาแห่งนี้ได้รับการขนานนามเปรียบเปรยว่าเป็นฟูจิซังแห่งตะวันออก มีความสูงถึง 877 เมตร ภูเขาทสึคุบะยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้นานาพันธุ์มากกว่า 1,000 ชนิด ด้านบนสุดของภูเขาแห่งนี้มียอดเขาสองลูกมีชื่อว่าเนียวไตซัง (Nyotai-San) ซึ่งเป็นภูเขาผู้หญิงและอีกลูกหนึ่งชื่อว่านันไตซัง (Nantai-San) ซึ่งเป็นภูเขาเพศชาย นักท่องเที่ยวจะเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพทางธรรมชาติที่สวยงาม โดยขาไปเราโดยสารโรปเวย์แล้วโดยสารรถราง (เคเบิลคาร์) กลับลงมาอีกฝั่งหนึ่งทางด้านศาลเจ้าทสึคุบะ (Tsukuba Shrine) อีกทั้งในช่วงฤดูร้อนนักท่องเที่ยวยังสามารถเข้าร่วมกิจกรรมคอร์สปีนเขาได้อีกด้วย

บรรยากาศรอบๆตัวมองเห็นได้ 360 องศาภายในกระเช้าไฟฟ้า

ทิวทัศน์ของภูเขาทสึคุบะระหว่างทางบนกระเช้าไฟฟ้า

หลังจากลงจากกระเช้าไฟฟ้า เราก็จะทำการเดินเทร็กกิ้งย่อมๆเป็นระยะเวลาประมาณ 20 นาที ไปที่ยอดเขานันไตเพื่อโดยสารรถรางกลับลงไปที่ด้านล่าง

ทางเดินเป็นพื้นที่ราบสลับกับแนวภูเขา ดั้งนั้นก่อนมาเดินควรสวมรองเท้าที่แข็งแรงซักนิดไม่อย่างนั้นรองเท้าอาจจะพังได้

ศาลเจ้าขนาดย่อมๆระหว่างทาง

และแล้วเราก็เดินทางกันมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขานันไต จากนั้นเราจะนั่งรถรางลงไปที่ศาลเจ้าทสึคุบะ (Tsukuba Shrine)

หน้าตาของรถรางสีเขียวสดใส

บรรยากาศระหว่างทางลง เต็มไปด้วยต้นไม้และดอกอาซาเลียที่กำลังออกดอกบานสะพรั่ง

ธรรมชาติของที่นี่ยังคงความสมบูรณ์อย่างมาก

เดินลงมาจนถึงเสาโทริอิ แสดงถึงเขตของศาลเจ้าแล้ว

บรรดานักท่องเที่ยวและนักเดินเขาต่างมาสักการะศาลเจ้าทสึคุบะกันมากมาย

ประตูทางเข้าเก่าแก่ของศาลเจ้าทสึคุบะ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 3,000 ปี

ภูเขาทสึคุบะ (Mount Tsukuba) – Rope Way & Cable Car
เวลาทำการ:
Rope Way:

วันจันทร์ – ศุกร์ เที่ยวแรกเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.20 น. (เช็คเวลาตามตาราง)

วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการเวลา 09.00 – 17.40 น. (เช็คเวลาตามตาราง)

Cable Car:

วันจันทร์ – ศุกร์ เที่ยวแรกเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. (เช็คเวลาตามตาราง)

วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการเวลา 09.20 – 17.20 น. (เช็คเวลาตามตาราง)

วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน (ยกเว้นในช่วงที่สภาพอากาศเลวร้ายและวันปิดซ่อมบำรุง 1 วันตามประกาศ)

ค่าใช้จ่าย:
Rope Way:
ไปกลับ – ผู้ใหญ่ 1100 เยน เด็ก 550 เยน / เที่ยวเดียว –  ผู้ใหญ่ 620 เยน เด็ก 310 เยน
Cable Car:
ไปกลับ – ผู้ใหญ่ 1050 เยน เด็ก 530 เยน / เที่ยวเดียว –  ผู้ใหญ่ 580 เยน เด็ก 290 เยน

วิธีการเดินทาง: จากสถานี Akihabara โดยสารรถไฟ Tsukuba Express ลงที่สถานี Tsukuba จากนั้นโดยสารรถบัส Tsukubasan ลงที่ป้าย Tsusujioga ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ราคา 870 เยน

เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ): http://www.ttca.jp/ , http://www.mt-tsukuba.com/
(ภาษาไทย) http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/mt_tsukuba.html


พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ตั้งอยู่ที่เมืองอุชิคุ (Ushiku) พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึองค์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุคว่าเป็นพระพุทธรูปปางยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 120 เมตรและมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 4,000 ตัน

ภายในองค์พระพุทธรูปแบ่งออกเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาในการสร้าง ห้องทำวัตรของพระสงฆ์ เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิโตเกียวสกายทรี บริเวณพระบาทของพระพุทธรูปจะมีสวนกว้างใหญ่ โดยมีดินแดนสุขาวดีเป็นต้นแบบ ซึ่งจะมีการปลูกดอกไม้สีสันสดใสหมุนเวียนกันไปตามแต่ละฤดูกาล ไม่ไกลกันมากยังเป็นที่ตั้งของสวนสัตว์ขนาดเล็กที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสพร้อมให้อาหารรวมถึงการแสดงโชว์ของลิงแสนรู้ได้อีกด้วย

ป้ายแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการเข้าชมอุทยาน

พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึองค์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุคว่าเป็นพระพุทธรูปปางยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 120 เมตร

นักท่องเที่ยวสามารถซื้อแผ่นไม้สำหรับเขียนคำอฐิษฐานเพื่อขอพรจากองค์พระอุชิคุ ไดบุทสึ

ช่วงเดือนเมษายนสวนแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกชิบะซากุระที่พร้อมใจกันออกดอกเป็นสีชมพูบานสะพรั่งพร้อมกับต้นซากุระ

เมื่อเข้ามาด้านในขององค์พระพุทธรูป จะมีการดับไฟให้ทำสมาธิเป็นเวลา 1 นาที โดยเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายเกี่ยวกับกุศโลบายของปัญหา เปรียบเทียบปัญหาได้กับความมืด แต่ถ้าเรามีสติและปัญญาก็จะมาสามารถแก้ปัญหาได้จนลุล่วง เปรียบเสมือนแสงสว่างขององค์พระพุทธนั่นเอง เมื่อเปิดไฟขึ้นจะพบว่าบริเวณตรงกลางขององค์พระจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปองค์ประธาน

เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา การสร้าง และชิ้นส่วนของนิ้วเท้าที่จำลองแบบมาให้ชมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิและโตเกียวสกายทรีเลยทีเดียว

ชั้นที่ 3 ของภายในองค์พระพุทธ เป็นที่ตั้งของห้องทำพิธี ทุกๆเช้าจะมีพระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอัฐิของผู้ล่วงลับที่นำมาเก็บไว้ อุทิศส่วนกุศลโดยการเขียนชื่อผู้ตายลงไปในสมุด (สมุดที่ใช้บันทึกรายชื่อของผู้ตาย) แล้วนำไปใส่ในพระพุทธรูป โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อทางวัดเพื่อสามารถนำอัฐิของคนที่รักมาเก็บไว้ที่นี่ได้ ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีการทำพิธีใหญ่ เรียกว่า “พิธีเอไทเคียวโฮโย” เพื่อทำบุญและระลึกถึงความดีงามของผู้เสียชีวิต

จากนั้นเดินลงมาบริเวณชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของห้องสำหรับทำสมาธิ ด้วยการคัดลอกพระไตรปิฎกจากแผ่นกระดาษไข ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็สามารถเข้าร่วได้เนื่องจากเป็นการคัดลอกตัวอักษรจากกระดาษไขนั่นเอง

หน้าตาของกระดาษไขที่ใช้สำหรับคัดลอกพระไตรปิฎก

อีกหนึ่งความอเมซิ่งที่เราไม่คิดว่าจะพบเห็นที่อื่นนอกจากประเทศไทย คือการปิดทองด้านนอกองค์พระพุทธ ซึ่งเจ้าหน้าที่อธิบายกับเราว่าเริ่มต้นจากนักท่องเที่ยวชาวไทย ที่นี่จึงมีแผ่นทองไว้คอยให้บริการราคาแผ่นละ 300 เยนอีกด้วย

นอกจาการเดินทางมาสักการะองค์พระพุทธอุชิคุ ไดบุทสึแล้วที่นี่ก็ยังมีสวนสัตว์ขนาดย่อมๆไว้เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ปกครองที่มีเด็กๆมาด้วย สามารถมาให้อาหารสัตว์น่ารักๆ พร้อมชมการแสดงโชว์ลิงแสนรู้ได้อีกด้วย

กระต่ายน่ารักๆแถมยังเชื่องอีกด้วยวิ่งกรูกันเข้ามาขออาหารจากนักท่องเที่ยวกันอย่างคุ้นเคย

ชมการแสดงโชว์ลิงแสนรู้ที่สามารถเรียกเสียงหัวเราะได้จากผู้เข้าชมมากมาย

พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu)
เวลาทำการ:

ช่วงเดือนมีนาคม – กันยายน

วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา  09.30 – 17.00 น. /  วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 09.30 – 17.30 น.

ช่วงเดือนตุลาคม – กุมภาพันธ์

วันจันทร์ – ศุกร์ เวลา  09.30 – 16.30 น. /  วันเสาร์ – อาทิตย์และวันหยุดราชการ เวลา 09.30 – 16.30 น.

ติดต่อเค้าท์เตอร์ก่อนสวนปิด 30 นาที

วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก 400 เยน
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Ueno โดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Ushiku ใช้เวลา 55 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทางตรงบริเวณฮิกาชิกุจิ (ประตูทิศวันตะวันออก) จุดขึ้นรถบัสหมายเลข 2 ที่วิ่งตรงไป Ushiku-daibutsu / Ushiku-joen หรือรถบัสประจำทางที่วิ่งไปยัง Ami Premium Outlets ลงที่ป้ายรถประจำทาง Ushiku-daibutsu ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคา 680 เยน
เว็บไซต์ (ภาษาไทย): http://thai.ibarakiguide.jp/db-kanko/ushiku_daibutsu.html


สถานที่สุดท้ายที่เราจะพาไปชมกันในทริปนี้ เดินทางไปชมความงามของดอกโบตั๋นที่ สวน Peony Garden Tokyo in Tsukuba ของ DR. Hiroichi Seki ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของการวิจัยพันธุ์พืช สวนดอกโบตั๋นแห่งนี้เริ่มต้นเปิดให้เข้าชมในปี ค.ศ. 1989 โดยที่นี่ถือว่าเป็นสวนดอกโบตั๋นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ความพิเศษของที่นี่คือเป็นการเพาะพันธุ์ดอกไม้แบบออร์แกนนิกโดยปราศจากการใช้ยาฆ่าแมลง 100% ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิดอกโบตั๋นมากกว่า 500 สายพันธุ์ของที่สวนแห่งนี้จะแข่งกันเบ่งบานอวดความสวยงามมากกว่า 20,000 ต้น นอกจากจะชมความสวยงามของพันธุ์ไม้ต่างๆ ภายในยังมีร้านชาดอกโบตั๋นไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เชื่อกันว่าส่วนของรากต้นโบตั๋นยังมีสรรพคุณด้านการแพทย์ช่วยในเลือดหมุนเวียนในร่างกายได้ดีขึ้น บำรุงหลอดเลือด หัวใจอีกทั้งยังช่วยบำรุงตับอีกด้วย

แผนผังของสวน Peony Garden Tokyo in Tsukuba

บรรยากาศของดอกโบตั๋นสายพันธุ์ต่างๆ

ร้านชาดอกโบตั๋นไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย เชื่อกันว่าส่วนของรากต้นโบตั๋นยังมีสรรพคุณด้านการแพทย์ช่วยในเลือดหมุนเวียนในร่างกายได้ดีขึ้น บำรุงหลอดเลือด หัวใจอีกทั้งยังช่วยบำรุงตับอีกด้วย

ชาดอกโบตั๋น กลิ่นหอมและมีรสชาติดีมากๆ

นอกจากดอกไม้ที่นี่ก็ยังมีการทดลองปลูกพืชชนิดอื่นๆ เช่นมะเขือเทศออแกนิคกล่องนี้ที่เราลองซื้อมาชิม รสชาติหวานกรอบอร่อยมากๆ

สวนดอกโบตั๋น Peony Garden Tokyo in Tsukuba
เวลาทำการ: 09.00-17.00 น.
วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1000เยน เด็กอายุต่ำกว่า 14 ปี เข้าฟรี
วิธีการเดินทาง: จากสถานี Ueno โดยสารรถไฟ JR สายโจบัน ลงที่สถานี Ushiku ใช้เวลา 55 นาที จากนั้นโดยสารรถบัสประจำทางที่วิ่งไปสถานี Midorino ใช้เวลา 20 นาที ราคา 340 เยน จากนั้นลงที่ป้ายรถบัสคุคิซาคิวาคะคุริ (Kukizakiwakaguri Bus Station) จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ (ภาษาอังกฤษ): https://www.peonygardentokyo.com/

Fukuroda WaterfallsGiant WifiIbarakiKantoKasama Inari ShrineMount TsukubaPeony Garden Tokyo in TsukubaPocket wifiUshiku Daibutsuwhisteriaจังหวัดอิบะระกิดอกวิสทีเรียน้ำตกฟุคุโระดะพอคเกตไวไฟภูเขาทสึคุบะร้านทาราอิ อุด้ง โมมิจิยะศาลเจ้าคะซะมะ อินาริสวนดอกโบตั๋นสะพานแขวนริวจินอุด้งไจแอนท์ไวไฟ