สำหรับรีวิวนี้จะพาเดินทางต่อมายังเมือง คาชิมะ (Kashima) อีกเมืองที่มีความสำคัญต่อชาวอิบารากิและคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะคอบอล อีกทั้งเมืองนี้ยังสามารถเดินทางมาได้สะดวกจากโตเกียว และสนามบินนาริตะ ทั้งทางรถบัสทางด่วน และรถไฟ JR

การเดินทางมาคาชิมะจากโตเกียว

  • โดย Expressway Bus จากด้านหน้าสถานี Tokyo ณ จุดขึ้นรถบัสตรงทางออก Yaesu-Minami ปลายทางอยู่ที่สถานี JR Kashima-Jingu ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
  • โดยรถไฟ จากสถานี Tokyo โดยสารรถไฟ JR ขบวน Ltd.Exp. Tokiwa ลงสถานี Mito จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟ Kashima Rinkai Railway ลงที่สถานี Kashima Jingu ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที
  • จากสถานี Narita โดยสารรถไฟ JR สาย Narita ลงที่สถานี Sawara หรือ Katori จากนั้นเปลี่ยนขบวนเป็นสาย Kashima ลงที่สถานี Kashima Jingu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

จุดหมายแรก จะพาไปทำความรู้จักกับ คาชิมะ แอนท์เลอร์ส (Kashima Antlers) ฉายา กวางเขาเหล็ก ถือว่าเป็นยอดทีมแห่งวงการฟุตบอลญี่ปุ่น เคยได้แชมป์ 3 การแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น ประกอบด้วย J1 League  ลูวานคัพ (ชื่อเดิม ยามาซากิ นาบิสโก คัพ)  และ ฟุตบอลเอ็มเพอเรอร์ คัพ อีกทั้งปี 2016 ก็ได้แชมป์ J1 League ฟุตบอลเอ็มเพอเรอร์ คัพ และได้เป็นรองแชมป์ในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก

จึงทำให้มีแฟนฟุตบอลคอยเชียร์และเฝ้าติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแฟนชาวไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น และในครั้งนี้จะพาไปเยือน คาชิมะ ซอกเกอร์ สเตเดียม (Kashima Soccer Stadium) ที่เป็นสนามเหย้าของทีมแอนท์เลอร์ส

*ชื่อทีม Kashima Antlers มีที่มาจากชื่อเมือง Kashima 鹿島 ในภาษาญี่ปุ่น และ Antlers ในภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่า เขากว้าง ซึ่ง ณ ที่นี่ก็คือ กวางที่เป็นสารให้กับเทพเจ้า ณ ศาลเจ้าคาชิมะ 

Kashima Soccer Stadium ตั้งอยู่ที่เมืองคาชิมะ จังหวัดอิบารากิ เป็นฟุตบอลสเตเดียมแห่งแรกของญี่ปุ่นที่มีการติดหลังคา และเป็นหนึ่งในสนามที่ใช้ในการจัดการเเข่งขันฟุตบอลโลก ที่เกาหลีใต้เเละญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกัน เมื่อปีค.ศ.2002

DSC05051

สนามเเห่งนี้ก่อสร้างครั้งแรกในปีค.ศ.1992 เเละได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ในปีค.ศ. 2001 เพื่อต้อนรับฟุตบอลโลกในปีถัดมา ทำให้สนามเเห่งนี้มีขนาดใหญ่และทันสมัยมากขึ้น ถูกออกเบบให้อัฒจันทร์เป็นเเบบสองชั้นเเละล้อมล้อมสนามเป็นชิ้นเดียวกัน โดยด้านบนนั้นมีหลังคาคลุมทั้งหมด สามารถจุได้มากถึง 40,728 ที่นั่ง

DSC05041

นอกจากนี้ยังมีโซนของ Kashima Soccer Museum ให้คอบอลได้ชื่นชมความสำเร็จของแอนท์เลอร์ส

DSC05042

ทุกคนยังสามารถร่วมทัวร์ที่จะพาสัมผัสประสบการ์ณของนักแข่งก่อนออกไปยังสนามแข่งได้ด้วย

DSC05032

เวลาทำการ: จันทร์-เสาร์ 10.00-16.00 น.
สำหรับทัวร์ใช้เวลา 70 นาที ราคา 1,000 เยน ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มได้ที่ เว็บไซต์
การเดินทาง จากสถานี JR Kashima Soccer Stadium เดิน 5 นาที


ต่อมาเราย้อนกลับมาที่สถานี Kashima Jingu เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่มีความสำคัญระดับประเทศของญี่ปุ่น นั่นก็คือ ศาลเจ้าคาชิมะจิงกู (Kashima Jingu Shrine) 1 ใน 3 ศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในเขตตะวันออกของภูมิภาคคันโต และมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,600 ปี

ศาลเจ้าแห่งนี้ว่ากันว่าสร้างขึ้นราว 660 ปีก่อนคริสตกาลในสมัยจักรพรรดิจินมุ จักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าแห่งการต่อสู้ ทาเคมิคะซุชิ โนะ โอคามิ (Takemikazuchi no Okami) ได้รับการเคารพสักการะจากราชวงศ์มาตั้งแต่สมัยโบราณ

DSC05057

ในทุกๆปีจะมีประชาชนผู้เลื่อมใสกว่า 6 แสนคนเดินทางไปสักการะขอพรในช่วงปีใหม่ เพื่อใหมีทักษะการกีฬาด้านศิลปะการต่อสู้ที่ดีขึ้น ขอพรให้ชนะการแข่งขัน คลอดลูกอย่างปลอดภัย ประสบความสำเร็จกับสิ่งที่หวัง และเจริญรุ่งเรืองด้านธุรกิจ

DSC05058

DSC05072

ด้านในมีหินที่มีการสะกดปลาดุกขนาดใหญ่ไว้ใต้พื้นโลก ที่เชื่อกันว่าเป็นต้นเหตุของแผ่นดินไหวตามตำนานญี่ปุ่นโบราณ

DSC05068

เวลาทำการ: 9.00-16.00 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าใช้จ่าย ยกเว้นโถงสมบัติ ผูใหญ่ 300 เยน เด็ก 100 เยน
การเดินทาง จากสถานี JR Kashima Jingu เดิน 10 นาที
เว็บไซต์


บริเวณด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้า มีร้านอาหารในแบบฉบับของคาชิมะให้เลือกทานด้วย ช่วงที่เราไปค่อนข้างเย็นแล้ว แต่ยังมีร้าน Fufu Sasagen เปิดให้บริการ เลยแวะเข้าไปชิมหอยฮามากุริ (Hamaguri) ย่างแบบสดๆ ซึ่งหอยฮามากุริเป็นอาหารขึ้นของคาชิมะ นอกจากนี้ถ้าใครหิวหนักก็ยังมีเมนูเด็ดอย่าง สเต็กเนื้อ และแกงกะหรี่หอยฮามากุริด้วย

DSC05082


และมื้อหลักของวันนี้คือร้านเทมปุระชื่อดังของเมืองคาชิมะ ร้านนี้ชื่อว่า Tenya 天ぷら割烹 てんや มีความพิเศษตรงที่ จะมีเมนูตามใจเชฟหรือที่เรียกกันว่าสไตล์โอมะกะเซะ คือเราไม่ต้องสั่ง เชฟจะจัดให้

ยิ่งวันนี้คุณลุงโชอิจิ เจ้าของร้านรู้ว่าเราเป็นมีเดียมาจากไทย ก็เลยเลือกวัตถุดิบให้เป็นพิเศษ ขนาดของแปลกๆอย่างนัตโตะ มะเขือหยก คุณลุงยังทอดให้อร่อยได้ (ปกติคือเราเขี่ยทิ้งเลยนะ) ทุกชิ้นไม่อมน้ำมัน แป้งไม่หนาไป ได้รสชาตหวานแบบไม่ปรุงแต่ง และสดทุกขั้นตอน ถึงขั้นผสมแป้งเทมปุระให้แบบสดใหม่

ที่พีคคือคุณลุงบอกว่าถ้าไปกินแบบเกาะเคาเตอร์ ให้เชฟเสิร์ฟส่วนตัวแบบนี้ในโตเกียว ต้องจ่ายแพงถึง 3 หมื่นเยนเลย แต่ถ้ามากินที่ร้านคุณลุง จ่ายเพียง 3 พันกว่าเยน ก็ได้ลิ้มรสความสุดยอดไม่แพ้กัน เพราะคุณลุงอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสความพิเศษของเทมปุระที่คุณลุงตั้งใจทำมานานกว่า 40 ปี

DSC05085

DSC05097

วัตถุดิบแต่ละชิ้น นำมาทำเป็นเทมปุระได้อร่อยเหลือเชื่อ

DSC05098

ถ่ายคู่กับคุณลุงโชอิจิ สุดยอดเชฟมือหนึ่งของเราในวันนี้

DSC05096

คุณลุงเคยได้ลงนิตรสาร get lost ของออสเตรเลียด้วย

DSC05109

เวลาทำการ: 11.30-14.00 น. และ 17.00-22.00 น. หยุดวันจันทร์
ราคา: Omagase course 3,000 เยน และ 5,000 เยน / Tempura meal set 1,200 เยน (ราคาไม่รวมภาษี)
การเดินทาง: จาก Kashima Soccer Stadium เดิน 15 นาที
เว็บไซต์


จุดชมวิวกลางคืนของเมืองคาชิมะ

DSC05116

สำหรับวันนี้เราเข้าพักที่โรงแรม Kashima Central Hotel อ่านรีวิวได้ >> ที่นี่

DSC05135


ใครที่สนใจชมงาน เทศกาลดอกไอริส ณ เมืองอิตาโกะ สามารถเดินทางไปได้ง่ายๆจากเมืองคาชิมะ ด้วยรถถไฟ JR สาย Sawara เพียง 10 นาทีเท่านั้น อ่านรายละเอียดงานได้ >> ที่นี่

ayameomotenashi


ถ้าพูดถึงเมลอน หลายคนอาจนึกถึงฮอกไกโด แต่รู้หรือไม่ว่าจริงๆแล้วจังหวัดที่ผลิตเมลอนมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่นคือ จังหวัดอิบารากิ โดยเฉพาะที่เมืองโฮโคตะ (Hokota)

เราจึงถือโอกาสได้มาเยือนอิบารากิในช่วงที่เมลอนอร่อยที่สุด แวะไปที่ Miyabi Farm Hoku Hoku 雅ファームほくほく เมือง โฮโคตะ ที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งเมลอน มีสายพันธุ์ออริจินอลอย่าง อิบาราคิง (Ibaraking)ใช้เวลาคิดค้นกว่า 10 ปีจนกว่าจะได้เมลอนที่เนื้อแน่น หวานสดชื่น และมีสีสันสวยงาม แถมราคาไม่แพง แต่ได้คุณภาพเยี่ยมระดับประเทศ!

สามารถมาอิ่มอร่อยกับเมลอนสดๆ และเพิ่มความอร่อยด้วยซอฟครีมสูตรพิเศษที่ปรับความหวานและความนุ่มนวลให้เข้ากับรสหวานฉ่ำของเมลอนได้เป็นอย่างดี และมีเมนูพิเศษมากมาย อาทิ มันม่วงทานคู่กับซอฟครีม ได้แบบไม่ไกลจากโตเกียว ดูรายละเอียด >> ที่นี่ (ภาษาญี่ปุ่น)

melon 6

melon 4

เมลอนสดๆ และเพิ่มความอร่อยด้วยซอฟครีมสูตรพิเศษ

melon 1

มันม่วงทานคู่กับซอฟครีม

melon 5