มานั่ง Loople Bus เที่ยวเซนไดกันต่อครับ ตอนที่แล้ว พาไปรู้จักกับประวัติของเมืองเซนไดกันมาคร่าวๆ แวะทำความเคารพตระกูล ขุนพลที่ปกครองเมืองเซนได และชื่นชมความงามของสุสาน Zuihoden กันแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องลงมาต่อรถบัสไปยังจุดหมายต่อไปของเราครับ รถบัสที่นี่มีหลายคัน ตอนขานั่งมารอบแรกได้ขึ้นสีน้ำเงิน พอขึ้นรอบนี้เป็นคันสีเหลือง คนขับก็จะมีแนวในการขับของตัวเอง อย่างขามาก็ปกติครับ แนะนำว่าเรากำลังขับผ่านจุดไหน ชื่อเรียกว่าอะไร สลับกับเปิดคลิปเสียงแนะนำเป็นภาษาอังกฤษประกอบ พอมารอบนี้ คนขับฮากระจาย ปล่อยมุขตลอดทาง เล่นกับผู้โดยสารด้วย หัวเราะเสียงดังสนั่นกันทั้งคัน (คนญี่ปุ่นทั้งนั้นเค้าเลยฟังกันรู้เรื่องนะครับ ^^)
เป้าหมายต่อไปของเราคือ อดีตที่ตั้งของปราสาทเซนได เอ…ต้องบอกว่า ที่ตั้งของอดีตปราสาทเซนได น่าจะเหมาะกว่า เพราะว่า บริเวณนี้เคยมีปราสาทเซนไดตั้งอยู่ แต่หลังจากที่ถูกเผาทำลายไปในช่วงสงคราม ก็ไม่มีใครทำการบูรณะขึ้นมาจนกระทั่งทุกวันนี้ น่าแปลกใจเหมือนกัน ทีปราสาทโอซาก้า หรือปราสาทอื่นๆ ถูกเผาทำลายยังสร้างขึ้นมาใหม่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองกันได้ แต่ทำไมที่นี่ถึงไม่สร้างขึ้นมา ปล่อยให้เหลือเพียง ประตูทางเข้า กำแพงรอบปราสาท และอาคารเล็กๆหลังเดียวเอง
ด้านหน้าทางเข้า มีทั้งโทริอิแดงและสะพานแดง
เข้ามาจะพบกับตรอกพิพิธภัณฑ์ของปราสาทและร้านค้าขายขนมของฝากก่อน
มีการแต่งตัวย้อนยุคเล่าเรื่องราวสมัยก่อนให้กับแขกผู้มาเยี่ยมชมด้วย เรียกความสนใจและเสียงหัวเราะจากเด็กๆได้มาก สามารถเข้าไปขอถ่ายรูปได้ด้วยครับ แอคติ้งของแต่ละคนนี่กินขาดมากๆ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้สถานที่แห่งนี้มีชีวิตชีวาและสดใส (จากภาพเป็นเบื้องหลังตอนกำลังเตรียมตัวกันอยู่)
ถัดเข้ามาจะมีศาลเจ้าเล็กๆ ชื่อว่าศาลเจ้า Gokoku สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้ที่สละชีพและเสียชีวิตในช่วงสงครามและแสดงถึงเจตจำนงเพื่อให้มีความสงบสุขตลอดไป สามารถเข้ามาสักการะ เขียนป้ายขอพรกันได้ครับ
หน้าตาของเครื่องรางต่างๆ มี เครื่องรางขับขี่ปลอดภัย ที่เป็นที่นิยมของศาลเจ้าแห่งนี้
บรรยากาศด้านหน้าศาลเจ้า
หลังจากนั้นเดินต่อขึ้นมาอีกไม่ไกล ก็จะพบกับทางเข้าไปยังลานกว้าง ที่เคยเป็นสถานที่ตั้งของปราสาทเซนไดในอดีต สามารถชมวิวเมืองเซนไดได้แบบพานารามาเห็นรอบทิศทาง สวยมากๆครับ
ปราสาทเซนได มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ปราสาท Aoba ถูกสร้างขึ้นในปี 1600 โดยท่าน Masamune ชื่อ Aoba มาจากชื่อของเขา Aoba ที่เป็นที่ตั้งของอดีตป้อมปราการของปราสาทแห่งนี้นั่นเอง โดนท่าน Masamune ได้ยึดจากยุทธศาสตร์ของพื้นที่ในการสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันข้าศึกมาบุกทำลายปราสาท ต่ำลงไป 100 เมตรที่บริเวณเชิงเขา
ในช่วงอายุ 400 ปี ปราสาทได้ผ่านสงครามและภัยพิบัติมามากมาย โดยเฉพาะเหตุการ์ณเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1882 จนกระทั่งถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดในปี 1945 จนตอนนี้สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ มีเพียงซากของกำแพงปราสาทด้านนอกและหอรักษาการ์ณเท่านั้น
อนุสรณ์ของท่าน Date Masamune ผู้ปกครองแคว้นเซนได และผู้สร้างปราสาทเซนได
หลังจากชมวิวเสร็จให้เดินมาทางด้านหลัง จะเห็นเสาโทริอิสีเทา มีบันไดทางลงไปด้านล่าง จากจุดนี้จะเป็นทางลาดลง ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดแผ่นดินไหวในปี 2011 รถสามารถขึ้นมาทางนี้ได้ แต่ได้รับความเสียหายมากจนตอนนี้บูรณะอยู่ สามารถเดินขึ้น-ลงได้อย่างเดียว จะมีเจ้าหน้าที่ที่คุมการก่อสร้างยืนบอกทางให้อยู่ พอเดินไปถามว่าทางลงนี้เดินไปโผล่ที่ไหน คุณลุงเจ้าหน้าที่ก็ชวนคุยใหญ่ ว่ามาจากที่ไหน ก้มขอบคุณที่มาเที่ยวที่เซนได แถมยังเล่าประวัติของปราสาทเซนไดให้ฟังอีกซะด้วย ตอนแรกก็คุยภาษาญี่ปุ่นกันอยู่ดีๆ คุณลงก็โชว์ภาษาอังกฤษแบบไฟแล่บ ไม่รู้ว่าเพราะซ้อมมาดี หรือโดนถามอยู่ทุกวัน เพราะดูจากงานคุณลุงแล้ว คงต้องยืนประจำอยู่กับที่แบบนั้นทั้งวันทุกวันแน่ๆเลย สรุปว่า คุณลุงแกน่ารักอัธยาศัยดี ยืนอยู่ตรงนั้นทุกวันคนเดียว คงเหงาแย่ ใครแวะผ่านไปก็ไปชวนคุณลุงคุยได้นะครับ ^^
หลังจากวิ่งสู้ฟัดเพราะกลัวจะกลับมาขึ้นรถบัสไม่ทัน แค่วิ่งลงทางลาดยังเหนื่อย นี่ไม่อยากจะนึกตอนที่ต้องวิ่งย้อนขึ้นมา พอลงมาถึงด้านล่าง ก็จะพบกับอาคารหลังสีขาวที่เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทเซนได ยังคงหลงเหลืออยู่ให้ได้เห็นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็คือหอรักษาการ์ณที่ท่านมาซามุเนะสั่งให้สร้างอยู่ตรงเชิงเขานั่นเอง (นี่ถ้าสมัยก่อนไปสร้างอยู่ข้างบน ก็คงโดนระเบิดทำลายไปหมดแล้ว)
ถึงแม้อาคารจะหลังเล็ก แต่ก็สวยโดดเด่นจนสามารถจินตนาการได้ว่า ถ้าอาคารปราสาทหลังใหญ่ยังอยู่จะสวยงามขนาดไหน
ไม่มีเวลาชื่นชมมาก ก็ต้องรีบวิ่งขึ้นเนินมาอีก ใช้เวลาขึ้น-ลง ถ้าเดินปกติคุณลุงบอกว่าน่าจะอยู่ที่ 30 นาที นี่ต้องวิ่งขึ้นและลง เลยย่นเวลาลงเหลือแค่ไม่ถึง 20 นาที แต่หอบแฮกๆ เหนื่อยเกือบทรุด พอวิ่งมาถึงป้ายรถบัสก็พบว่า รถบัสมาเร็วกว่าเวลาที่เขียนบอกแถมยังขับออกไปแล้วอีกต่างหาก โถๆแล้วนี่ต้องอีกตั้งครึ่งชั่วโมงจะให้ทำอะไรละเนี่ย ก็เลยเดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ (เปิดตั้งแต่ 9.00-17.00 น. ค่าเข้าชม 700 เยน) แล้วก็แวะชิมขนมของดังของเมืองซะหน่อย นั่นคือ Zunda Mochi ขนมโมจินุ่มๆเหนียวๆ ราดหน้าด้วยถั่วซึนดะบดเข้มข้น หอมหวานอร่อยแบบไม่ได้ตั้งตัวเลยละครับ เพราะตอนแรกก็งง ถั่วเขียวๆจะมีรสชาติเป็นยังไง ไม่กล้ากินสักที กลัวเหม็นเขียว แต่พอได้ลองแล้ว ไม่เหม็นสักนิด แถมหอมสุดๆ หวานด้วย อร่อยด้วย กินสองไม้ ยังไม่หายอยากเลย (ไปที่ไหนก็จะเจอขนมของฝากที่ทำมาจากถั่วซึนดะ แม้แต่เพรทซ์และคิทแคท ที่ทำมาจากถั่วซึนดะก็มีกับเค้าด้วย)
กินไปพลาง เดินดูนักรบย้อนยุคถ่ายรูปเฮฮากับเเก๊งเด็กๆไปพลาง ก็ได้เวลาออกมารอรถ คราวนี้รีบออกมารอก่อน 15 นาทีเลย แต่รถบัสกลับมาเลทไป 5 นาทีซะงั้น นั่งรถชมวิวบนภูเขาเลาะเลี้ยวมาเรื่อยๆ ก็สนุกดีนะครับ เพราะผ่านสถานที่สำคัญของเมืองเซนไดหลายที่เลย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป้นอาณาเขตของมหาวิทยาลัยโทโฮขุครับ
จริงๆแล้วอยากแวะลงเข้าไป Sendai City Museum และ Miyagi Museum of Art มากแต่เวลาคงไม่พอ เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่เป้าหมายต่อไปแทน นั่นก็คือ ศาลเจ้า Osaki Hachimangu นั่นเอง ศาลเจ้าแห่งนี้ไม่เสียค่าเข้าชม แถมยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติแห่งชาติอีกด้วย
ศาลเจ้าแห่งสร้างขึ้นในปี 1606 ด้วยความประสงค์ของท่านมาซามุเนะ ให้เป็นศาลเจ้าที่ปกปักษ์คุ้มครองเมืองเซนได โดยรวบรวมศิลปินจิตรกรฝีมือดีในยุคนั้นมาร่วมกันช่วยสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ให้สวยงามที่สุด ศาลเจ้าแห่งนี้จึงสะท้อนและเป็นต้นแบบของศิลปะในยุคตระกูลดาเตะได้เป็นอย่างดี โดยจะเห็นได้ว่ามีอิทธิพลอย่างมากในการสร้างสุสานของท่านมาซามุเนะที่ Zuihouden Mousoleum ที่เราไปกันชมมาเมื่อตอนที่แล้ว
หลังคาสีดำ ประดับสีทอง และเล่นสีหลากสีสัน นี่คือเสน่ห์ของศิลปะในยุคตระกุลดาเตะ
ศาลเจ้าแห่งนี้เพิ่งได้รับการบูรณะไปไม่นาน มีอาคาร 2 หลังคือ Honden และ Haiden
เชื่อมด้วยทางเดินที่เป็นส่วนเก่าที่สุดเรียกว่า Ishi-no-ma 石の間
ชาวเมืองเซนไดจะมีความผูกผันกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก โดยมักจะมาขอพรให้ได้รับความคุ้มครองและประสบความสำเร็จในด้านต่างๆกันที่นี่ วัดเปิดตลอดทุกวันทั้งวัน ไม่มีวันหยุด
บริเวณด้านหน้าทางเข้า สังเกตุจากป้ายชื่อวัดคำว่า Hachi 八 ดูคล้ายนกสองตัวแม่ลูกหันหน้าเข้าหากัน
ระหว่างรอรถบัส เหลือบไปมองเห็นร้าน Tonkatsu น่ากินมากกกกกกกกกกกกกก แต่เสียดายที่เวลามีน้อย เลยได้แต่ถ่ายรูปและบอกกับตัวเองว่า คราวหน้าจะลงทุนนั่งรถบัสมาเพื่อกินให้ได้เลย ใครที่ไปเที่ยวเซนได แล้วมีโอกาสได้ไปชิมข้าวหมูทอดของที่นี่ แวะมาเล่าให้ฟังบ้างนะครับ ว่าอร่อยมากขนาดไหน
อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ตอนแรกนะครับว่า ปกติ Loople Bus จะวิ่งถึงราวๆ 4 โมงเย็น เฉพาะในเดือนธันวาคมที่มีจัดงาน einter Illumination เทท่านั้น ที่จะมีรอบวิ่งตอนกลางคืน พาไปยังถนน Jozenji บริเวณสถานที่จัดงาน โดยสามารถใช้พาสใบเดิมได้ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม โดยเริ่มวิ่งตั้งแต่ 17.30-20.00
ในช่วงวันที่ ตั้งแต่วันที่ 6-31 ธันวาคมที่ผ่านมา มีงานไฟสุดอลังการ Sendai Pageant of Starlight 光のページェンสัญลักษณ์ของฤดูหนาวของเซนได ต้นเคยาขิ (Zelkova) กว่า 160 ต้นที่เรียงรายตามถนนโจเซนจิโดริ 定禅寺通 ประดับไปด้วยดวงไฟกว่า 600,000 ดวง โดยสามารถเข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 17.30 น.เป็นต้นไป จนถึงประมาณ 23.00 ครับ
มองจากไกลๆก็สวยมากแล้ว คนมาดูกันเยอะมากๆ (ก็เป็นคืนวันคริสมาสพอดีนี่นา)
ต้นไม้ไฟยักษ์ สูงถึง 30 เมตร ฉลองครบรอบปีที่ 10 ในปีนี้
นางแบบของเรา มีแต่คนมาถ่ายรูปด้วย
“Starlight Wink” จะมีการดับและจุดไฟใหม่ในทุกๆวัน ซึ่งเราจะได้เห็นจากความมืดมิดกลายเป็นความสว่างไสวในชั่วพริบตา โดยแต่ละวันจะมีการปิดและเปิดไฟวันละ 4 รอบ คือ 18.00, 19.00, 20.00 และ 23.00 ที่ถนน Jozenji
มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆครับ ตอนที่อยู่ดีๆไฟก็ดับพรึ่บ แล้วก็มีเสียงประกาศขึ้นมากับเสียงเพลง แล้วก็นับถอยหลังเปิดไฟทุกดวงพร้อมกัน ประทับใจสุดๆ
มีรถน่ารักๆเป็นสีสันตลอดสองข้างทาง คึกคักดีครับงานนี้ คนให้ความสนใจเยอะ แล้วก็มีของกินขายเต็มไปหมดเลย
จบแล้วครับ สำหรับหนึ่งวันในเซนได ถึงแม้จะเที่ยวไม่ครบ แต่ก็ได้ทำความรู้จักกับเซนไดไปพอสมควร อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า หนึ่งวันในเซนไดน้อยไปจริงๆ นี่ยังไม่ได้ไปช้อปปิ้ง ตระเวนหาของอร่อยขึ้นชื่อของเมืองเลย แถมเค้าว่าที่เซนได เป็นเมืองที่มีร้านคาเฟ่น่ารักๆอยู่ทั่วทั้งเมืองอีกด้วย เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้ไปอีก จะไปตามเก็บให้ครบทุกมุม แล้วจะมาเขียนเล่าให้อ่านกันอีกนะครับ 🙂