ทริปนี้จะเป็นการใช้ Ise-Kumano Area Tourist Pass เป็นพาสพิเศษจาก JR ที่สามารถใช้เดินทางเที่ยวจากสนามบินคันไซ ไปยัง Wakayama และ Kumano รวมถึง Ise และ Nagoya ไปสิ้นสุดที่สนามบินเซ็นแทร์ได้ ถือว่าเป็นอีกพาสที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการเที่ยวในเส้นทางนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่มีพาสใดที่ครอบคลุมโซนนี้โดยเฉพาะ

DSC02085

เส้นทางการเดินทางที่ครอบคลุมโดยพาสนี้ ดูรายละเอียดพาสที่นี่ >> Ise-Kumano Area Tourist Pass

ราคา ผู้ใหญ่ 11,000 เยน / เด็ก 5,500 เยน

home_img01

วันสุดท้ายเราตั้งต้นกันที่ สถานี Iseshi การเดินทางภายในตัวเมืองอิเสะ สามารถใช้บริการ CAN Bus ที่จะวิ่งตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ตั๋ววันราคา 1,000 เยน หรือ เดินทางรอบเมืองด้วยบัตรรถบัส Michikuchi Ticket แบบ 1 วัน ราคา 1,000 เยนเช่นกัน

DSC02061

อิเสะ (Ise) ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ (Mie) มีชื่อเรียกเดิมว่า อุจิยะมะดะ (Ujiyamada) เป็นเมืองเล็กที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น และเป็นเมืองหลักในการเดินทางมาแสวงบุญของผู้เลื่อมใสในศาสนามาช้านาน และเดิมศาลเจ้าหลักทั้งสอง มีชื่อเรียกดังนี้ ศาลเจ้า คือ Uji ศาลเจ้านอก คือ Yamada จึงเป็นที่มาของชื่อเรียเมืองนี้ในอดีตนั่นเอง

DSC02062

เป้าหมายแรกของเราในวันนี้คือ ศาลเจ้าส่วนใน หรือ  ไนคุ (Naiku) ใช้บริการรถ CANBUS ไปได้เลย

DSC02064

ก่อนที่เข้าไปยังบริเวณทางเข้าศาลเจ้าส่วนใน จะพบกับย่าน โอฮะไรมะชิ (Oharaimachi) เป็นย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า เอโดะน้อย (Little Edo) บรรยากาศของอาคารบ้านเรือนสมัยก่อนถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ กลายเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและ ร้านอาหารประจำเมืองมากมาย  แนะนำให้ลองชิม อิเสะอุด้ง (Ise Udon) อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้

DSC02066

DSC02070

DSC02080

DSC02085

ไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกครั้งต้องพก Pocket WiFi ญี่ปุ่น 4G จาก TRIPIZEE ไปด้วยเสมอ เพราะไม่เคยมีปัญหาเรื่องสัญญาณเลย ไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็ตาม รับรองงานนี้แอดมินใช้เองและการันตีว่าดีจริง!!

ตอนนี้มีโปรโมชั่นเพียงแค่ 150 บาทต่อวันเท่านั้น แถมช่วงนี้มีส่วนลดพิเศษ 100 บาท/การจอง เมื่อจองตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป เพียงใส่ Promo Code “TYPMAR18” ถึง 31 มี.ค. 2018 เท่านั้น จองได้เลย >> TRIPIZEE

DSC02073

เดินเข้ามาด้านในจะพบกับตรอก โอคะเกะโยโคะโจ (Okage-yokocho) มีการแสดงพื้นเมืองให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และที่นี่เองที่เราจะมาลองชิม อิเสะอุด้ง แบบต้นตำรับกัน ที่ร้าน Fukusuke

DSC02136

เส้นอุด้งของที่นี่จะมีเนื้อที่นิ่มกว่า เส้นอุด้งทั่วไป และนำซุปที่มาด้วยจะมีรสชาตเข้มข้น

DSC02089

ชมการแสดงตีกลองอันทรงพลัง

DSC02092

เมืองอิเสะ มีศาลเจ้าชินโตอยู่แห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อด้านของความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อว่า ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine) ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดเรียกด้วยคำว่า จิงงู (Jingu) ที่มีความหมายตรงตัวว่า ศาลเจ้า ใช้แทนชื่อเรียกศาลเจ้าอิเสะได้เลย ทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลมากถึง 7 ล้านคน

ศาลเจ้าอิเสะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ศาลเจ้าใน เรียกว่า ไนคุ (Naiku) และศาลเจ้านอก เรียกว่า เกะคุ (Geku) มีประวัติอันยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น

DSC02138

ศาลเจ้าใน (Naiku) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า คะไทจิงงุ (Katai Jingu) สร้างขึ้นเมื่อราว 4 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นที่สถิตของเทพสูงสุดของญี่ปุ่นคือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ นามว่า อะมะเทระสุโอมิคะมิ (Amaterasu Omikami) เทพเจ้าที่คอยปกปักษ์คุ้มครองชาวญี่ปุ่นให้แคล้วคลาดปลอดภัยและร่มเย็น นับตั้งแต่อดีตกาล จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือ สะพานไม้อุจิบะชิ (Uji-bashi) ข้ามแม่น้ำอิซุซู (Isuzu River) มีความยาว 100 เมตร  เป็นสะพานที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์

การเดินทาง จากสถานี Iseshi หรือ ศาลเจ้านอก นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Ise Jingu (Naiku) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

DSC02145

DSC02149

อ่านรีวิวพาเที่ยวอิเสะกันแบบเต็มๆได้ >> ที่นี่


ต่อจากนั้นเราเดินทางด้วยรถไฟ JR มาที่สถานี Toba เพียง 15 นาทีเท่านั้น มีศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวในสถานี

DSC02150

DSC02153

จากสถานีเราสามารถเดินมายังพิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะได้เลย

DSC02157

พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) มีจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ไข่มุก ที่อธิบายและสาธิตวิธีการเลี้ยงหอยมุก ที่ถูกคิดค้นและทำให้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โดย Kokichi Mikimoto ในปีค.ศ. 1893

DSC02158

นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว ยังสามารถชมการจับหอยออยสเตอร์โดย อามะซัง หรือสาวนักดำน้ำ ที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าอามะซังมีอายุตั้งแต่ สาวรุ่น 20 กว่า จนไปถึงรุ่นอาม่าอายุ 80 เลยทีเดียว

DSC02160

DSC02161

DSC02168

พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Museum) จัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์จาก ไข่มุกชั้นเลิศที่ถูกคัดเลือกอย่างปราณีต นำมาใช้ประดับเป็นผลงานอันทรงคุณค่า ที่ประเมินราคาไม่ได้ เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> MIKIMOTO 

DSC02172

มีผลิตภัณฑ์ความงามจากไข่มุกมิกิโมโตะจำหน่ายด้วย

DSC02180


และเดินต่อมาอีกไม่ไกล จะพบกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์ที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำไว้มากที่สุดในญี่ปุ่น กว่า 1,000 ชนิด และเป็นเพียงแห่งเดียวที่อนุรักษ์พะยูนเอาไว้

DSC02253

มีป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย

DSC02216

ภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็นโซนให้เดินเที่ยวทั้งหมด 12 โซน เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> TOBA AQUARIUM

DSC02218

DSC02219

DSC02222

DSC02232

DSC02239

DSC02244

DSC02246

DSC02249

DSC02252


ต่อจากนั้นไปทานอาหารกันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ที่ชื่อว่า Hachiman Kamado ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Osatsu ห่างจากสถานี Toba ประมาณครึ่งชั่วโมง มีบริการรถชัทเทิลรับส่งฟรีจากสถานี Toba เรียกว่า Ama Bus (ขาไป 11.30, 13.00, 14.30 / ขากลับ 12.10, 13.40, 15.10, 16.40) จองล่วงหน้า พร้อมกับตอนจองเวลาที่จะไปกระท่อมอามะซัง

DSC02181

DSC02195

เมื่อเดินทางมาถึงเหล่าอามะซังจะออกมายืนต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมถือธงชาติไทยต้อนรับคณะของเราอีกด้วย

DSC02185

โดยอามะซังตัวจริง จะนำอาหารทะเลสดๆ ไม่ว่าจะเป็น หอยอาซาริ หรือ กุ้งลอบสเตอร์ มาย่างให้เราทานกันแบบสดๆ แถมมีชุดอามะซังให้แต่งคอสเพลย์ และร่วมเต้นรำด้วยกันอีกด้วย สนนราคาต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,780 เยน ดูรายละเอียดที่นี่ >> AMAYOKA (มีล่ามแปลภาษาอังกฤษ และมีโบรชัวร์ภาษาไทยด้วย)

DSC02189

DSC02191

DSC02192

DSC02194

DSC02199

DSC02203

DSC02206

DSC02211

ปิดท้ายทริปด้วยคลิปบรรยากาศภายในกระท่อมอามะซังครับ

https://www.facebook.com/tiewyeepoon/videos/1877321589007482/

อ่านรีวิวเที่ยวโทบะแบบเต็มๆได้ >> ที่นี่