การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ หลักๆแล้วจะใช้พาสรถไฟ Kintetsu Rail Pass พาสนี้ใช้เที่ยวได้ 5 เมืองสำคัญ คือ โอซาก้า เกียวโต นารา มิเอะ และ นาโกย่า บินมาลงที่สนามบินคันไซ แต่ครั้งนี้จะไปตะลุยเมืองอื่นรอบนอกคันไซกันบ้าง โดยจะเน้นไปที่ จังหวัดมิเอะ มุกเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจังหวัดใหญ่ รวมสิ่งที่เป็นที่สุดของญี่ปุ่นเอาไว้มากมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะไปเปิดประสบการ์ณใหม่ในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งต่อไป

โดยรีวิวตอนแรกพาไปเที่ยวกันที่ เมืองอิงะ (Iga) เมืองแห่งนินจากันมาแล้ว ในตอนนี้จะมาต่อกันที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นศูนย์รวมศรัทธาของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ ที่ เมืองอิเสะ (Ise) กันครับ

อ่านรีวิวตอนแรกที่นี่ >> เที่ยวมิเอะจากโอซาก้าด้วย Kintetsu Rail Pass ตอน 1 : เมืองนินจา Iga-Ueno

วิธีการเดินทาง ตั้งต้นจากสถานีของ Kintetsu ที่ สถานี Osaka-Uehommachi (ติดกับห้าง Kintetsu สาขา Uehommachi) ขึ้นรถไฟขบวน Limited Express หรือ ise Shima Liner มาลงที่สถานี Iseshi ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที

kintetsu_iga 02

และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2016 เป็นต้นไป Kintetsu Rail Pass จะลดเหลือ 3,600 เยน ส่วน Kintetsu Rail Pass Wide จะเปลี่ยนชื่อเป็น Plus และลดราคาเหลือ 4,800 เยน (แต่ไม่รวมการเดินทางเข้าออกสนามบินคันไซและสนามบินจูบุแล้ว) ทั้ง 2 แบบใช้ได้ 5 วันต่อเนื่องกัน อ่านรายละเอียดพาสที่นี่ >> KINTETSU RAILPASS

kintetsu_iga 05

แต่สำหรับเช้านี้ เนื่องจากเมื่อคืนเราค้างแรมกันที่เมืองมัตสึซะกะ จึงต้องมาขึ้นรถไฟจากสถานี Matsuzaka ขึ้นรถไฟขบวน Yamada Line Exp. มาลงที่สถานี Iseshi ใช้เวลาเพียง 14 นาทีเท่านั้น

dsc02370

dsc02373

การเดินทางภายในตัวเมืองอิเสะ สามารถใช้บริการ CAN Bus ที่จะวิ่งตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ตั๋ววันราคา 1,000 เยน หรือ เดินทางรอบเมืองด้วยบัตรรถบัส Michikuchi Ticket แบบ 1 วัน ราคา 1,000 เยนเช่นกัน

dsc02375

อิเสะ (Ise) ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ (Mie) มีชื่อเรียกเดิมว่า อุจิยะมะดะ (Ujiyamada) เป็นเมืองเล็กที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น และเป็นเมืองหลักในการเดินทางมาแสวงบุญของผู้เลื่อมใสในศาสนามาช้านาน และเดิมศาลเจ้าหลักทั้งสอง มีชื่อเรียกดังนี้ ศาลเจ้า คือ Uji ศาลเจ้านอก คือ Yamada จึงเป็นที่มาของชื่อเรียเมืองนี้ในอดีตนั่นเอง

dsc02379

ถนนสายหลักตรงข้ามสถานี

 

dsc02381

เช้านี้เราแวะทานร้านข้าวต้มแบบคนญี่ปุ่น เรียกว่า อะซะคะยู (Asakayu) ที่ร้าน Asora no chaya あそらの茶屋 เข้าสู่เว็บไซต์ >> ที่นี่

dsc02383

จัดวางและนำเสนอออกมาได้อย่างหรูหรา โดยรวมคล้ายกับมื้อเช้าที่เสิร์ฟในเรียวกัง

dsc02389

ทีเด็ดของร้านนี้คือ ข้าวต้นจะต้องราสซอสน้ำมันหอยเป๋าฮื้อ ที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้อร่อยขึ้นอย่างมาก

dsc02388

สำหรับช่วงเวลาอาหารเช้าจะให้บริการระหว่างเวลา 7.30-9.30 น.
(นอกเหนือจากเวลานี้ ทางร้านจะเปิดเป็นคาเฟ่)

dsc02396

เมืองอิเสะ มีศาลเจ้าชินโตอยู่แห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อด้านของความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อว่า ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine) ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดเรียกด้วยคำว่า จิงงู (Jingu) ที่มีความหมายตรงตัวว่า ศาลเจ้า ใช้แทนชื่อเรียกศาลเจ้าอิเสะได้เลย ทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลมากถึง 7 ล้านคน

dsc02401

ศาลเจ้าอิเสะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ศาลเจ้าใน เรียกว่า ไนคุ (Naiku) และศาลเจ้านอก เรียกว่า เกะคุ (Geku) มีประวัติอันยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น

dsc02403

ศาลเจ้านอก (Geku) มีชื่อย่างเป็นทางการว่า โทโยเกะไดจิงงุ (Toyoukedai Jingu) สร้างขึ้นราวปี ค.ศ.478 เป็นที่สถิตของเทพเจ้าโทโยอุเกะโอมิคะมิ (Toyouke Omikami) เทพที่คอยดูแลและถวายอาหารศักดิ์สิทธิ์ให้กับเทพแห่งดวงอาทิตย์ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าแห่งพิธีกรรม ในแต่ละปีจะมีงานพิธีกรรมมากมายนับไม่ถ้วน และมีงานเทศกาลเซ็งงุ (Sengu) ซึ่งเป็นเทศกาลที่จัดร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนาที่เรียกว่า ชิคิเน็นเซ็งงุ (Shikinen Sengu) หรือพิธีอัญเชิญเทพเจ้าไปสถิตย์ยังศาลแห่งใหม่ โดยจะมีการจัดขึ้นทุก 20 ปี ซึ่งครั้งต่อไปจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 63 ในปี ค.ศ.2033

การเดินทาง จากสถานี Iseshi เดินประมาณ 10 นาที

dsc02405

dsc02410

dsc02413

ศาลเจ้าใน (Naiku) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า คะไทจิงงุ (Katai Jingu) สร้างขึ้นเมื่อราว 4 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นที่สถิตของเทพสูงสุดของญี่ปุ่นคือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ นามว่า อะมะเทระสุโอมิคะมิ (Amaterasu Omikami) เทพเจ้าที่คอยปกปักษ์คุ้มครองชาวญี่ปุ่นให้แคล้วคลาดปลอดภัยและร่มเย็น นับตั้งแต่อดีตกาล จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือ สะพานไม้อุจิบะชิ (Uji-bashi) ข้ามแม่น้ำอิซุซู (Isuzu River) มีความยาว 100 เมตร  เป็นสะพานที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์

การเดินทาง จากสถานี Iseshi หรือ ศาลเจ้านอก นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Ise Jingu (Naiku) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

dsc02415

dsc02420

dsc02423

dsc02426

dsc02430

บริเวณทางเข้าศาลเจ้าส่วนใน จะพบกับย่าน โอฮะไรมะชิ (Oharaimachi) เป็นย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า เอโดะน้อย (Little Edo) บรรยากาศของอาคารบ้านเรือนสมัยก่อนถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ กลายเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและ ร้านอาหารประจำเมืองมากมาย  แนะนำให้ลองชิม อิเสะอุด้ง (Ise Udon) อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้

dsc02431

dsc02434

เดินเข้ามาด้านในจะพบกับตรอกโอคะเกะโยโคะโจ (Okage-yokocho) มีการแสดงพื้นเมืองให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีร้านค้ากระจายตัวอยู่รอบๆ ตรงข้ามกับทางเข้าตรอกจะมีทางเดินเล็กๆ ไปยังลำธารที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งมีซากุระอวดในช่วงฤดูใบไม้ผลิให้ชม

สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ จะมาทานกันที่ร้าน Ebimaru 海老丸

dsc02451

สำหรับเมนูที่ต้องสั่ง Sanma-zushi ข้าวปั้นหน้าปลาซันมะ / Kaisendon ข้าวหน้าทะเลสด / Maguro Tekonesushi ข้าวหน้าปลามากุโระ / Ebitendon ข้าวหน้ากุ้งทอด / Ryoshijiru ซุปล้อบสเตอร์

dsc02448

ดูคลิปวิดีโอที่นี่

หลังจากท้องอิ่มกันแล้ว เราก็ออกมาเดินหาอะไรทานเล่นกันต่อ

dsc02435

บรรยากาศราวกันเดินอยู่ในสมัยเอโดะ

dsc02452

เรามาสะดุดกันที่ร้านซอฟท์ครีมร้านนี้ ที่ทำมาจากเต้าหู้ หอมอร่อยและไม่หวานมาก กำลังดี

dsc02455

และร้านคั้นน้ำผลไม้สดจากผล มีส้มและเกรปฟรุตให้เลือกชิม

dsc02465

ดูคลิปวิดีโอที่นี่

ฝาท่อที่เมืองอิเสะ

dsc02466

และมาปิดท้ายกันที่ขนมญี่ปุ่นท้องถิ่นที่มาแล้วต้องชิมให้ได้ นั่นก็คือ Akafuku ถั่วแดงบดสอดไสโมจิ และช่วงฤดูร้อนจะเสิร์ฟคู่กับน้แข็งใสรสชาเขียว อร่อย หวาน สดชื่น

dsc02475

dsc02469

อีกหนึ่งสถานที่ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความรักมากที่สุดของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ นั่นคือ หินแต่งงาน (Meoto Iwa) แห่งเมืองอิเสะ หากได้มาขอพรกับหินแต่งงานจะสมหวังในความรัก สำหรับคนโสดจะได้พบกับเนื้อคู่ และสำหรับคนที่มีคู่แล้ว จะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข ราบรื่น และขับไล่สิ่งโชคร้าย นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวพระจันทร์สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย

การเดินทาง จากศาลเจ้า Ise Naiku ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีด้วยรถบัส CAN Bus หรือจะนั่งรถไฟ JR มาลงที่สถานี Futaminoura และเดินต่ออีก 15 นาที

จากทางเข้าให้เดินลงไปชั้นล่างของอาคาร ซึ่งจะเป็นโซนขายของฝาก เพื่อไปยังประตูทางออกสู่ชายหาดฟุตะมิอุระ (Futamiura Beach) และเดินเข้าไปยังเขตศักดิ์สิทธิ์ของหินแต่งงาน จะพบกับเสาแดงโทริอิขนาดใหญ่เป็นทางเข้าของศาลเจ้าทั้งสองคือ ศาลเจ้าฟุตะมิโอะคิตะมะ (Futami Okitama Jinja Shrine) และศาลเจ้าริวกูชะ (Ryugu-sha Shrine) หลังจากขอพรเสร็จ เดินออกมาตรงชายฝั่งก็จะมองเห็นหินคู่แต่งงานตั้งตระหง่านอยู่

dsc02477

dsc02478

dsc02480

หินแต่งงานคือหินศักดิ์สิทธิ์ 2 ลูกที่ตั้งอยู่ในทะเลเขตฟุตะมิ (Futami) เมืองเล็กๆ ในจังหวัดมิเอะ หินก้อนใหญ่เปรียบเสมือนสามี และหินก้อนเล็กเปรียบเป็นภรรยา ที่ครองคู่กันโดยมีเชือกที่เรียกว่าชิเมะนะวะ (Shimenawa) โดยจะมีประเพณีในการเปลี่ยนเชือกเส้นนี้ทุกปีๆ ละ 3 ครั้ง

ตัวอักษรคันจิคำว่า 夫婦 (Meoto)  อ่านออกเสียงได้อีกอย่างว่า Fuufu มีความหมายว่า คู่ครอง และคำว่า 岩  (Iwa) หมายถึง หิน จึงนำมาใช้เป็นชื่อเรียกของหินแต่งงานนั่นเอง

dsc02481

ช่วงเวลาที่ควรเดินทางมาชมที่สุดคือช่วงหน้าร้อน ซึ่งถ้าเป็นวันอากาศดีจะมองเห็นภูเขาฟูจิได้ด้วย ยามเช้าพระอาทิตย์จะขึ้นตรงกลางระหว่างหินทั้งสอง และยามเย็นภาพพระอาทิตย์ตกดินก็สวยงามสุดโรแมนติก

dsc02486

สำหรับรีวิวเมืองอิเสะจบลงแต่เพียงเท่านี้ จุดหมายต่อไปเราจะไปที่เมืองโทบะกันต่อ ติดตามได้ในรีวิวตอนต่อไปครับ