เราจะพาทุกคนไปเที่ยว เมืองฮามามัตสึ เมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายสไตล์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีกันแบบ 2 วันเต็มๆ โดยรีวิวนี้จะเป็นตอนแรก [อ่านตอนต่อได้ >>ที่นี่<< ]
เมืองฮามามัตสึ (Hamamatsu 浜松) ตั้งอยู่ในจังหวัดชิซุโอกะ เป็นเมืองเล็กๆที่มีชินคันเซ็นวิ่งผ่าน จึงทำให้เดินทางไปได้ง่ายทั้งจากฝั่งโตเกียว นาโงย่า และโอซาก้า มีพื้นที่ติดทะเลฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก และมีทะเลสาบฮามานาโกะ (Lake Hamanako) ที่เป็นแหล่งเลี้ยงปลาไหลด้วย ดังนั้นปลาไหลจึงกลายเป็นเมนูท้องถิ่นที่ห้ามพลาดเมื่อมาเที่ยวเมืองฮามามัตสึ
เมืองเล็กๆแห่งนี้เต็มไปด้วยความอบอุ่น เราจะได้ยินเสียงดนตรีเคล้าคลอตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถไฟ เพราะเมืองนี้เป็นต้นกำเนิดของแบรนด์เครื่องดนตรีชื่อดังอย่าง Yamaha และ Kawai นั่นเอง อีกทั้งยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับประเทศอีกด้วย และทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ตามไปชมกันเลย
[สารบัญ เที่ยวเมืองฮามามัตสึ วันที่ 1]
- 1.1 คนชอบเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
- 1.2 Hamamatsu Fruit Park สวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองฮามามัตสึ
- 1.3 ขอพรความรักที่วัด Houkouji พร้อมชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์
- 1.4 เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashidou Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
- 1.5 Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
- 1.6 ชิมเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
- 1.7 คืนนี้นอนที่นี่นะ! Okura Act City Hotel Hamamatsu โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
>> เลือกอ่านรีวิว คลิกที่ชื่อสถานที่แต่ละแห่งได้เลย <<
คนชอบเครื่องบินต้องไปที่นี่ Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
มาเริ่มต้นทริปกันที่พิพิธภัณฑ์เครื่องบิน Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum (คำว่า JASDF นั้นย่อมาจาก Japan Air Self Defense Force) ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวมเครื่องบินทางการทหารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว ภายใน Airpark อลังการงานสร้างด้วยเครื่องบินรบของกองทัพญี่ปุ่นที่จัดโชว์ให้ดูตัวเครื่องรุ่นต่างๆมากมาย เรียงรายกันให้เราเดินชมได้แบบเต็มอิ่ม
ชมคลิปรีวิวได้ที่นี่ >> Airpark JASDF Hamamatsu Air Base Museum
ด้านหน้าของ Airpark มีเครื่องบิน F1 ซึ่งเป็นเครื่องบินลำแรกที่บินโชว์สำหรับทำ Blue Impulse ในตอนที่โตเกียวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1964 และตอนนี้เครื่องบิน F1 ก็ได้ปลดระวางนำมาวางโชว์ไว้ให้แฟนคลับได้ชื่นชมกัน
ด้านในของพิพิธภัณฑ์ก็มีเครื่องบินจำลอง F2 มาจาก F16 โดยตัวอักษร F มีความหมายว่า Fighter ซึ่งทางญี่ปุ่นเองใช้สำหรับการบินโชว์ทำ Blue Impulse ซึ่งคนชอบเครื่องบินก็จะได้เห็นเครื่องบินในระยะประชิดกันเลยทีเดียวค่ะ
อีกทั้งยังมีเครื่องบินของอิตาลีที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทำจำลองไว้ด้วย โดยเครื่องบินลำนี้ถ้าใครเป็นแฟนอนิเมชั่นค่ายสตูดิโอจิบลิก็น่าจะคุ้นตา เพราะปรากฏในเรื่อง Kurenai no Buta หรือ Porco Rosso สลัดอากาศประจัญบานนั่นเอง ว่ากันว่าผู้แต่งได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินลำนี้ค่ะ
ที่นี่ไม่ได้มีแต่เครื่องบินรวมคอลเลคชั่นตั้งโชว์ไว้อย่างเดียวเท่านั้นด้วยนะคะ แต่ยังมีพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศญี่ปุ่นที่เปิดให้เข้าชมอีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์นี้จะเล่าเกี่ยวกับหน้าที่ของกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นว่าทำอะไรบ้าง รวมถึงมียศและตำแหน่งอย่างไร
มีการจำลองห้องโดยสารที่ใช้เฉพาะราชวงศ์และคณะรัฐบาล ซึ่งเป็นมุมที่หาชมได้ยากสำหรับคนทั่วไป
บริเวณชั้นบนจะเป็นคาเฟ่และร้านอาหาร ซึ่งจะมองเห็นวิวด้านนอกที่เป็นลานเครื่องบิน ว่ากันว่านี่เป็นสนามสอบแห่งสุดท้ายของนักบิน โดยจะมีช่วงเวลาที่เครื่องบินแล่นขึ้นและลงเพื่อฝึกซ้อมกันที่นี่
ส่วนเมนูอาหารที่จัดว่าเป็นของเด็ดสำหรับที่นี่ก็คือ ข้าวแกงกะหรี่ โดยเฉพาะไอเทมของฝากข้าวแกงกะหรี่ Kaigun Curry ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าเวลาที่ทหารเรืออาศัยอยู่บนเรือก็จะไม่รู้วันรู้คืน แต่ทุกๆวันศุกร์เมนูอาหารของทหารเรือจะเป็นแกงกะหรี่ เพื่อให้ทหารทุกคนรู้ว่าวันนี้คือวันศุกร์แล้ว ดังนั้นจึงเหมือนกับว่าแกงกะหรี่เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อแจ้งวันให้ทราบโดยทั่วกันนั่นเอง
แต่ไฮไลต์ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทางพิพิธภัณฑ์ยังมีกิจกรรมเด็ดๆที่คอยสานฝันให้คนอยากเป็นนักบิน นั่นก็คือ Simulation ทดลองขับเครื่องบิน เพื่อความสมจริง วิวในจอจะเป็นภาพทางอากาศของเมือง Hamamatsu ของจริงเลย
ถ้าเป็นช่วงสถานการณ์ปกติที่ไม่มีโรคระบาด เราสามารถแต่งตัวเป็นนักบินด้วยการสวมชุดนักบินของจริงกันได้ฟรีๆที่นี่ (แต่ตอนนี้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 จึงงดกิจกรรมนี้ไปก่อน) ที่สำคัญค่าเข้าชมที่นี่ก็ฟรีด้วย คนรักเครื่องบินไม่มาไม่ได้แล้วนะ
นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ก็ยังมีการจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการหนีภัยของนักบินในรูปแบบต่างๆไว้ด้วย มีการโชว์เครื่องบินย่อส่วนเอาไว้หลากหลายรุ่น ดูแล้วจะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน และยังมีรถถังที่ใช้สำหรับยิงวัตถุบนฟ้าที่บินข้ามเข้ามาในอาณาเขตของประเทศญี่ปุ่นด้วย
สำหรับสายช็อปปิ้ง ที่นี่มีร้านจำหน่ายสินค้าภายในพิพิธภัณฑ์ ชื่อว่าร้าน TSUBASA มีทั้งขนมของฝาก ของที่ระลึกต่างๆมากมาย
- เว็บไซต์ | พิกัด
- เวลาทำการ : 9.00 – 16.00 น. ปิดทุกวันจันทร์และวันอังคารสุดท้ายของทุกเดือน
- การเดินทาง : จากสถานี JR Hamamatsu ทางออก North Exit แล้วต่อรถบัสที่ Bus Terminal Line 14 มุ่งหน้าไปยัง ’51 Seirei Hamamatsu Izumi Takaoka’ ใช้เวลาประมาณ 25 นาที แล้วลงรถบัสที่ป้าย ‘Izumi 4-chome’ เดินต่ออีก 10 นาที
เมืองฮามามัตสึ มีสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดชื่อว่า ‘ฮามามัตสึ โทคิโนะซุมิกะ’ (Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika) ที่นี่เป็นสวนผลไม้ที่ไม่ได้มีแค่ผลไม้ เนื่องจากสวนแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มากๆ จึงเป็นทั้งสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ พร้อมกิจกรรมสนุกๆหลากหลาย ของคนในเมืองและนักท่องเที่ยวแบบพวกเราด้วยค่ะ
ที่สวนแห่งนี้มีผลไม้มากมายกว่า 11 ชนิด ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี พีช แอปเปิล ส้ม ลูกพลับ บ๊วย บลูเบอร์รี่ องุ่น สาลี่ และผลไม้ชนิดอื่นๆซึ่งจะออกตามแต่ละฤดูกาล เรียกได้ว่ามีผลไม้ให้เก็บกันทั้งปีค่ะ เห็ดหูหนูกับเห็ดหอมก็มีให้เก็บด้วยเช่นกันนะ
ชมคลิปรีวิวได้ที่นี่ >> Hamamatsu Fruit Park
ช่วงฤดูหนาวจะมีเทศกาลประดับไฟ โดยทางสวนจะใช้หลอดไฟกว่า 3 ล้านดวง ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดงานนี้ระหว่างวันที่ 20 พ.ย. 2020 – 28 ก.พ. 2021 เริ่มเปิดไฟตั้งแต่เวลา 17.00 – 19.00 น. (ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 1,200 เยน / เด็ก 600 เยน)
นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีโซนไวน์เนอรี่ ที่มีโรงกลั่นไวน์ขนาดย่อมด้วย มีการนำผลไม้บางชนิดมากลั่นเป็นเครื่องดื่มเพื่อจำหน่ายที่โรงงานแห่งนี้เช่นกัน ใครชอบเครื่องดื่มไวน์ผลไม้ก็ลองแวะมาที่นี่ได้ค่ะ
ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็นโซนร้านอาหารอิตาเลียน มีเมนูเด็ดทั้งพาสต้าและพิซซ่า ที่ใช้เตาถ่านอบร้อนพร้อมรับประทานได้ทันที โดยเชฟจะนำมาอบที่เตาถ่านในเวลา 3 นาที
ถ้าหากสั่งพิซซ่า 1 ถาดเราจะได้เครื่องดื่มฟรี 1 แก้ว ในราคา 1,000 เยนต้นๆเท่านั้น พิซซ่ามีด้วยกัน 3 หน้า หน้าที่ขายดีคือหน้าที่เป็นซอสมะเขือเทศ ชีส และบาซิล ตามลำดับ เชฟแนะนำมาว่าให้ลองกินพิซซ่าหน้าชีสกับน้ำผึ้งดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่ามันอร่อยมากๆ! ปิดท้ายด้วยเมนูของหวาน ที่เสิร์ฟเป็นถ้วยเล็กๆ เซ็ต 4 ถ้วย 300 เยน น่ารักมากๆเลย
ช่วงที่เราเดินทางไปเป็นฤดูกาลของส้ม ต้นส้มจึงออกผลมาให้เก็บเต็มที่ ต้องนั่งรถไฟที่มีชื่อว่า ‘Max Trains’ เพื่อขึ้นไปเก็บส้มกันนะ หรือใครอยากออกแรงก็สามารถเดินขึ้นไปได้ ส่วนเราเลยเลือกนั่งรถไฟไปดีกว่า เพราะว่ารถไฟน่ารักมากๆเลย
ส้มสายพันธุ์ที่เราไปเก็บกันมีชื่อว่า Aoshima Mikan เป็นส้มที่มีรสหวานไร้เมล็ดค่ะ สวนส้มที่นี่จะปลูกเพียง 2 สายพันธุ์ อีกสายพันธุ์หนึ่งมีชื่อว่า Wase Mikan การเก็บส้มที่นี่จะไม่ใช่การเก็บแบบเหมาราคาเดียว คือเราจะเก็บจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ แล้วทางสวนก็จะชั่งน้ำหนักและคิดราคาตามน้ำหนักจริง ราคาจะอยู่ที่ 40 เยน/100 กรัม
โดยปกติแล้วทางสวนจะไม่อนุญาตให้แกะส้มแล้วชิมทันที จะให้นำกลับไปรับประทานที่บ้าน (ทางเราได้รับอนุญาตเพราะเขาอยากให้ชิมทันที จะได้รู้ว่ารสชาติอร่อยแค่ไหนค่ะ)
ถ้ามาที่สวน Hamamatsu Fruit Park Tokinosumika แห่งนี้แล้ว หากจะไม่พูดถึงผลไม้สุดฮอตอีกอย่างหนึ่งก็คงไม่ได้ ก็คือสตรอว์เบอร์รี่นั่นเอง ใครเป็นแฟนคลับสตรอว์เบอร์รี่ห้ามพลาดสวนนี้เลย เพราะมีสตรอว์เบอร์รีสายพันธุ์เด็ดๆคือ Akihime, Benihoppe, Kaoino และ Yotsuboshi
เราสามารถเข้าเก็บสตรอว์เบอร์รีได้ตั้งแต่เดือนธันวาคมจนถึงเดือนพฤษภาคม การเข้าชมสวนสตรอว์เบอร์รีจะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ คือเก็บแล้วกินได้เลยภายในเวลา 30 นาที ส่วนราคาของการเก็บก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงฤดูค่ะ
- เว็บไซต์ | พิกัด
- การเดินทาง : จากสถานี Hamamatsu มีระบบขนส่งสาธารณะให้เลือกดังนี้
รถไฟ : นั่งรถไฟ Enshu Railway ไปลงที่สถานี Nishikajima และเปลี่ยนสายเป็น Tenryu Hamanako line ลงที่สถานี Fruit Park จากนั้นเดินต่อ 8 นาที
รถบัส : นั่งรถบัสสาย Miyakoda/Fruit Park (ใช้เวลา 60 นาที) ขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 16 ลงที่ป้าย Fruit Park
ขอพรความรักที่วัด Houkouji พร้อมชมพระพุทธรูป Rakan กว่า 500 องค์
วัดโฮโคจิ (Houkouji) เป็นวัดเก่าแก่ในเมืองฮามามัตสึ มีอายุกว่า 650 ปี จุดเด่นของวัดนี้คงเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆที่วางเรียงรายตั้งแต่ทางเดินจากที่จอดรถยาวไปจนถึงภายในวัด ซึ่งมีจำนวนกว่า 500 องค์ คนญี่ปุ่นเรียกพระพุทธรูปเหล่านี้ว่า Rakan พระแต่ละองค์จะมีอิริยาบถที่แตกต่างกันไปตามความศรัทธา
คนญี่ปุ่นเล่ากันว่า ถ้าเป็นรูปพระอุ้มปลาแสดงว่าต้องการให้ค้าขายดีหรือทำการประมงจับปลาได้เยอะๆ พระพุทธรูปเล็กๆเหล่านี้เป็นพระพุทธรูปที่ผู้มีจิตศรัทธาเช่าบูชาเพื่อขอพรให้สิ่งที่ตนขอสมหวัง จากนั้นพวกเขาก็จะนำพระมาตั้งไว้ที่วัด ปัจจุบันก็ยังมีพระพุทธรูปสำหรับให้ผู้ที่มีความศรัทธาเช่าซื้อบูชาอยู่เช่นกัน สนนราคาที่ 200,000 เยน ถ้าเป็นเงินไทยก็ประมาณ 60,000 บาท
ชมคลิปรีวิวได้ที่นี่ >> Houkouji
ไฮไลต์ที่เป็นที่ฮือฮาของวัดนี้ก็คือ มีพระพุทธรูป Rakan อยู่องค์หนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นบอกว่าหน้าเหมือนคุณ Yoshihide Suga นายกรัฐมนตรีของประเทศญี่ปุ่น ดูรูปแล้วคิดว่าเหมือนไหมคะ
โฮโคจิ เป็นวัดเซนที่มีวิหารใหญ่ที่สุดในเขตโทไก มีวิหารที่สร้างด้วยไม้ มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1371 แต่ถูกไฟไหม้ในสมัยเมจิที่ 14 เลยมีการสร้างวิหารขึ้นใหม่ในสมัยโชวะที่ 10 และใช้มาจนถึงปัจจุบัน เท่ากับมีอายุกว่า 100 ปี และที่วัดแห่งนี้ก็มีพระประทานเก่าแก่ที่สร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 1351 ซึ่งได้ถูกอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วิหารหลักแห่งนี้ด้วย
ภายในวัดมีรูปปั้นของเทพ Daikoku (大黒) ที่ท่านเจ้าอาวาสบอกว่าเป็นเทพเจ้าผูกรักผูกดวง ผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น โดยผู้ชายต้องไปลูบที่มือขวาของรูปปั้นเทพเจ้า และผู้หญิงต้องไปลูบที่ด้านหลังขององค์เทพเจ้า ใครโสดอยากมีคู่ต้องลอง ส่วนคนมีคู่แล้วก็ทำได้เช่นกัน สำหรับขอพรให้ครอบครัวมั่นคง ความรักยั่งยืนนาน
ด้านหน้าของอาคารนี้มีจุดเด่นคือ เสาไม้ที่แกะสลักเป็นรูปมังกร สุดอลังการ เพราะใช้ไม้คุซึท่อนเดียว และมีอายุเกิน 100 ปี
จุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่สวยของวัดแห่งนี้เป็นจุดชมวิวมุมสูง ซึ่งเราจะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี ถ้ามาตรงตามช่วงเวลาที่เหมาะสม สีสันของใบไม้ในช่วงเวลานั้นจะยิ่งทำให้วัดแห่งนี้สวยงาม ดูสงบท่ามกลางธรรมชาติที่งดงาม
และในระหว่างทางเดินเราก็จะเห็นพระพุทธรูป Rakan ตั้งเรียงรายอยู่ด้วย
วัดแห่งยังมีบริการที่พักภายในวัดให้นักท่องเที่ยวแวะมาพักได้ และมีอาหารพระหรือ ‘โชจินเรียวริ’ เสิร์ฟด้วย
วิวกลางคืนของวัดนี้ก็สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวดังๆที่อื่นเหมือนกันนะ
เที่ยวถ้ำมังกร Ryugashidou Cavern หนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ถ้ำริวกะชิโด (Ryugashidou Cavern) หรือถ้ำมังกร เป็นถ้ำหินปูนที่ทับถมกันมานานกว่า 250 ล้านปี ซึ่งชื่อเรียกนั้นมาจากภาพด้านหน้าถ้ำ ซึ่งเป็นรูปมังกรที่มีดวงตาสีแดงยืนเด่นเป็นสง่า ถ้ำแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 1983 ภายในถ้ำมีความลึก 1,046 เมตร แต่ทางจังหวัดได้เปิดถ้ำให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้ลึกประมาณ 400 เมตรเท่านั้น ภายในถ้ำแห่งนี้อากาศจะเย็นตลอดทั้งปี อุณหภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 18 องศาเซลเซียส
ชมคลิปรีวิวที่นี่ >> Ryugashidou Cavern
ที่ปากทางเข้าถ้ำเราจะได้เจอกับค้างคาว ซึ่งเขาจัดห้องกระจกให้เราได้เห็นตัวเป็นๆกันเลย ทางเดินเข้าตัวถ้ำจะค่อนข้างมืดสลัว เวลาเดินต้องระวังศีรษะ แล้วก็ต้องระวังลื่นด้วย เพราะถ้ำมีความชื้นสูง ผนังด้านข้างก็จะมีหินปูนที่ทับถมกันเป็นรูปต่างๆ
ภายในถ้ำมีจุดชมความงามอยู่หลายจุดเลยทีเดียว เวลาเดินอาจจะต้องคอยระวังศีรษะด้านบนเพราะทางเดินแคบ แต่พื้นทางเดินสามารถเดินได้สบาย ไม่เป็นอันตรายแน่นอน
หินรูปตายายและหลานที่นั่งกินข้าวด้วยกัน / หินรูปจระเข้อ้าปาก / ผนังถ้ำที่มีน้ำไหลออกมา
หินปูนรูปเทพเจ้าทั้ง 7 ของญี่ปุ่น
โคมไฟแชนเดอร์เลียร์
น้ำตกอายุยืน (Fountain of Longevity) น้ำใสมากๆ แต่ไม่สามารถกินได้นะคะ ส่วนไฮไลต์เด่นๆเลยก็คือ น้ำตกสีทอง (The Grand Golden Waterfall) จะเป็นน้ำที่พุ่งลงมาจากผนังหลังคาของถ้ำ ได้ยินเสียงน้ำกระทบกับพื้นแล้วรู้สึกสดชื่นมากๆ น้ำที่ไหลลงมามีความสูงประมาณ 30 เมตร ทำให้นี่เป็นหนึ่งในน้ำตกใต้ดินที่ยาวที่สุดของญี่ปุ่นด้วยค่ะ
ร้านขายของฝากก็มีไอเทมหินต่าง ๆ มาวางจำหน่ายมากมาย มีของฝากท้องถิ่นของจังหวัดชิซึโอกะ รวมถึงฟูจิซังโคล่าด้วย
- เว็บไซต์ | พิกัด
- เวลาทำการ : 9.00 – 17.00 น.
- ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 1,000 เยน (ซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji ราคา 1,150 เยน)
นักเรียนชั้นประถม-มัธยมต้น 600 เยน (ซื้อบัตรรวมกับค่าเข้าชมวัด Houkouji ราคา 650 เยน) - การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Hamamatsu นั่งรถบัสที่มุ่งหน้าไป Okuyama Kougen ลงที่ป้าย Ryugashidou Iriguchi
Sawayaka ร้านอาหารที่คนท้องถิ่นบอกว่าถ้ามาเที่ยวเมืองฮามามัตสึต้องลอง!
ร้าน Sawayaka ตั้งอยู่ที่ชั้น 8 ของห้าง Entetsu Main Building อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR Hamamatsu ร้านนี้เป็นร้านดังของคนท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมมาก เป็นร้านสไตล์ Family restaurant และมี 35 สาขากระจายทั่วจังหวัดชิซุโอกะค่ะ
ร้านนี้ได้รับความนิยมจากคนทุกเพศทุกวัย คนท้องถิ่นของเมืองฮามามัตสึบอกเราว่าร้านนี้เป็นร้านดัง คิวเลยยาวมาก และเขาก็มากินตั้งแต่เด็กๆ จุดเด่นของร้านนี้ก็คือเมนูแฮมเบิร์ก ซึ่งใช้เนื้อวัวชั้นดีชิ้นหนามาย่างในถาดร้อนๆ ใครไม่กินเนื้อวัวก็สามารถสั่งเมนูไก่และเมนูอื่นๆได้ เช่น สลัด แกงกะหรี่ ฯลฯ
ความน่ารักของทางร้านก็คือ ก่อนที่เขาจะเสิร์ฟอาหารให้ จะมีการนำกระดาษแผ่นรองจานมาให้เราก่อน ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่รองจานอาหารเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผ้ากันเปื้อนป้องกันการกระเด็นของน้ำมันที่อยู่ภายในถาดร้อนๆ ไม่ให้กระเด็นโดนตัวเราได้ด้วยค่ะ
ทางร้านมีสเปรย์ฆ่าเชื้อวางไว้ที่โต๊ะ เผื่อว่าใครกังวลเรื่องการหยิบจับขวดเครื่องปรุงต่างๆ
เรื่องกินเรื่องใหญ่! ไปลองเกี๊ยวซ่าสไตล์ฮามามัตสึที่ร้านอิซากายะ Hamataro Gyoza กันเถอะ
Hamataro Gyoza เป็นร้านเกี๊ยวซ่าของชาวเมืองฮามามัตสึ ที่ว่ากันว่าเป็นร้านที่ไม่ควรพลาด ไฮไลต์ของที่นี่ก็คือเกี๊ยวซ่าซึ่งมีหลากหลายรสชาติให้เลือก เช่น กุ้ง วาซาบิ กิมจิ ชีส ฯลฯ และเมื่อสั่งเมนูเกี๊ยวซ่าแล้ว ตรงกลางของจานก็จะเสิร์ฟมาพร้อมกับถั่วงอกลวกค่ะ
รับรองว่าต้องติดใจตั้งแต่คำแรก น้ำจิ้มทางร้านปรุงมาให้เสร็จสรรพ เราแค่เติมน้ำมันพริกเผาเพื่อเพิ่มความเผ็ดตามชอบ
นอกจากนี้เรายังสั่งเมนูกับแกล้มเป็นแตงกวาหั่นโรยปลาคัตสึโอะฝอย และสายดื่มก็ห้ามพลาดถั่วแระญี่ปุ่นเลยค่ะ แทะไปดื่มไป ฟินมากๆ
บรรยากาศภายในร้านจะมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์สำหรับคนที่มาเดี่ยว และมีที่นั่งแบบโต๊ะสำหรับคนที่มาเป็นกลุ่ม การสั่งอาหารทำได้ผ่านจอ อารมณ์จะคล้ายๆกับอิซากายะ นั่งชิลล์ นั่งคุย กันตามประสาเพื่อนฝูงหลังเลิกงาน
ส่วนมื้อเที่ยงที่นี่ก็ราคาถูกมาก โดยเริ่มต้นเกี๊ยวซ่าเซ็ตที่ 580 เยน ถ้าใครอยู่ญี่ปุ่นก็สามารถซื้อกลับบ้านไปย่างกินเองได้ด้วย (6 ชิ้น 680 เยน / 12 ชิ้น 1,030 เยน / 18 ชิ้น 1,380 เยน)
คืนนี้นอนที่นี่นะ! Okura Act City Hotel Hamamatsu โรงแรมสุดหรูบนตึกสูงใจกลางเมืองฮามามัตสึ
ที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ เราเข้าพักกันที่ โรงแรม Okura Act City Hotel Hamamatsu ตึกสูง 45 ชั้นที่อยู่ติดกับสถานีรถไฟ เดินทางสะดวกสุดๆ เพราะโรงแรมสามารถเดินทะลุเข้าถึงสถานีรถไฟได้เลย และรอบโรงแรมมีห้างร้านต่างๆรายล้อมเต็มไปหมด
ชมคลิปรีวิวที่นี่ >> Okura Act City Hotel Hamamatsu
ช่วงที่ไป ล็อบบี้โรงแรมตกแต่งต้นคริสต์มาสและมีดนตรีบรรเลงให้เข้ากับบรรยากาศด้วย เมืองฮามามัตสึขึ้นชื่อเรื่องเครื่องดนตรี ดังนั้นไม่ว่าจะเดินไปทางซอกมุมไหน เราก็มักจะได้ยินเสียงเพลงบรรเลง คอยสร้างบรรยากาศให้ร่มรื่นและผ่อนคลายตลอดเวลา
แม้แต่ในลิฟต์ก็ยังตกแต่งด้วยตัวโน๊ตเลย
จุดเด่นของโรงแรมนี้ เป็นวิวจากมุมสูง ซึ่งเราสามารถชมวิวเมืองฮามามัตสึได้ทั่ว รวมถึงลิฟต์แก้วของโรงแรมที่มองวิวได้ตลอดเวลา คืนนี้เราได้พักที่ชั้น 44 เป็นวิวด้านตรงข้ามกับสถานีรถไฟที่สวยทั้งกลางวันและกลางคืน
ห้องน้ำสะอาด อุปกรณ์จัดเตรียมให้ครบถ้วน เครื่องประทินผิวที่ให้มาภายในห้องพักก็จัดได้ว่าดีงาม มาเข้าพักโรงแรมตัวเปล่าได้เลย
ไดร์เป่าผมของที่นี่ใช้แบรนด์ dyson ซึ่งทุกคนรู้ถึงสรรพคุณกันดี และหาได้ยากในญี่ปุ่น ที่โรงแรมจะเลือกใช้แบรนด์พรีเมียมระดับนี้
มารีวิวอาหารเช้ากันบ้าง ทางโรงแรมจะจัดมาเป็นแบบเซ็ต ให้เลือกว่าจะเป็นอาหารแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่น เพราะช่วงนี้โควิดระบาด ทางโรงแรมเลยจัดเป็นแบบเซ็ตแล้วนำมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะแทนการลุกไปตักเอง ยกเว้นเครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งทางโรงแรมก็เตรียมการรับมือเรื่องการแพร่กระจายของไวรัสได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ขั้นตอนการวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ โต๊ะที่นั่งก็จัดให้อยู่ห่างกันเพื่อเว้นระยะห่าง และเราต้องใส่ถุงมือกับหน้ากากอนามัยก่อนลุกไปหยิบเครื่องดื่มด้วยค่ะ
(ที่มา: fromJapan.info)