หลังจากที่ การบินไทย ได้ประกาศเที่ยวบินใหม่ล่าสุดสู่ เซนได (SDJ) จุดหมายญี่ปุ่นลำดับที่ 7 ทางทีมงานเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม จึงเดินทางไปพร้อมกับการบินไทยในทริปสุดพิเศษ ที่ดูแลโดย Royal Orchid Holidays มาเยือนภูมิภาคโทโฮขุกันอีกครั้ง
เนื่องจากช่วงที่เราเดินทาง เที่ยวบินตรงไปเซนไดยังไม่เปิดให้บริการ จึงต้องทำการบินไปลงที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด นั่นก็คือ สนามบินนาริตะ เพื่อเดินทางต่อไปยังเซนได (เราสามารถจะเลือกเดินทางด้วยรถไฟ หรือ รถบัสก็ได้) โดยก่อนออกเดินทาง เราทำการเช็คอินด้วย Thai Airways Application ที่อัพเกรดใหม่ ใช้งานง่าย และ สามารถเข้าถึงข้อมูลการเดินทางของเราได้สะดวกยิ่งขึ้น
สำหรับเที่ยวบินวันนี้ คือ TG642 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 23.50 น. และเดินทางถึงสนามบินนาริตะ เวลา 8.10 น. ด้วยเครื่องบินรุ่น A330 ที่อัพเกรดที่นั่งใหม่ทั้งลำ
ที่นั่งแบบ Throne seat บนชั้น Royal Silk
รวมถึงจอทัชสกรีน ที่ทันสมัยที่สุด และไม่ต้องใช้รีโมทควบคุมอีกต่อไป เพียงแค่เรามีแอป TG Xperience ก็สามารถเชื่อมต่อและเลือกดูสิ่งที่น่าสนใจที่เราต้องการจากสมาร์ทโฟนของเราเลย
เสิร์ฟอาหารเช้าก่อนเครื่องลง
ครั้งนี้จะเป็นการตะลุยเที่ยวทั้งในและนอกเมืองเซนได ลองมาดูกันว่าในทริปนี้จะมีสถานที่ไหนที่น่าสนใจมานำเสนอกันบ้าง โดยจะแบ่งรีวิวออกเป็น 2 ตอน คือ ตอนแรก เน้นเที่ยวในตัวเมืองเซนได และ ตอนสอง จะพาเที่ยวออกไปยังจังหวัดรอบๆเซนไดครับ
เมื่อเดินทางถึง เมืองเซนได (Sendai) สถานที่แรกที่เรามาเยือน นั่นก็คือบริเวณปราสาทเซ็นไดเก่า ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของเมือง และด้วยวิสัยทัศน์อันน่ายกย่องของผู้ปกครองเมือง ท่านดะเตะ มะซะมุเนะ ความรุ่งเรืองของเมืองเซนไดได้เริ่มต้นขึ้นจากสถานที่แห่งนี้นั่นเอง
บรรยากาศสงบสุขมาก ซะจนน้องแมวยังนอนหลับสบาย
ศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku shrine) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้ที่สละชีพและเสียชีวิตในช่วงสงครามและแสดงถึงเจตจำนงเพื่อให้มีความสงบสุขตลอดไป
ปราสาทเซนได (Sendai Castle) มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ปราสาทอาโอบะ (Aoba) ถูกสร้างขึ้นในปี 1600 โดยท่านดะเตะ มะซะมุเนะ ชื่อ เรียกดั้งเดิมของปราสาทมาจากชื่อของภูเขาอาโอบะ ที่เป็นที่ตั้งของอดีตป้อมปราการของปราสาทแห่งนี้นั่นเอง โดนท่านดะเตะ มะซะมุเนะ ได้ยึดจากยุทธศาสตร์ของพื้นที่ในการสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันข้าศึกมาบุกทำลายปราสาท ต่ำลงไป 100 เมตรที่บริเวณเชิงเขา
ในช่วงอายุ 400 ปี ปราสาทได้ผ่านสงครามและภัยพิบัติมามากมาย โดยเฉพาะเหตุการ์ณเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปีค.ศ. 1882 จนกระทั่งถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดในปีค.ศ. 1945 จนตอนนี้สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ มีเพียงซากของกำแพงปราสาทด้านนอกและหอรักษาการ์ณเท่านั้น
จากจุดชมวิวจะสามารถมองเห็นเมืองเซนไดได้ทั้งหมด และยังมองเห็นเทวรูปองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ที่คอยคุ้มครองเมืองเซนไดอยู่ด้วย (ซึ่งเราจะไปสักการะท่านใกล้ๆในช่วงท้ายรีวิวครับ)
ก่อนกลับแวะร้านจุดขายของฝากด้านหน้า แนะนำว่าต้องลองของเมืองเซนไดนั่นก็คือ “ซุนดะโมจิ” (Zunda Mochi) ขนมพื้นบ้านชื่อดังของเมืองเซนได ทำมาจากถั่วแระญี่ปุ่นและธัญพืช ที่อุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย สำหรับใครที่ไม่ชอบทานโมจิ แนะนำ “สมู้ตตี้ซุนดะ” (Zunda Saryo Shake) หวานเย็นชื่นใจ
ใครสะสมขวดโค้กลายต่างๆ ที่เมืองเซนไดก็มีลายเฉพาะของเมืองนี้ด้วย
เดินทางมาช่วงกลางเดือนก.ค. ยังพอได้ชมดอกไฮเดรนเยียอยู่
เมืองเซนไดนั้นเต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียวอย่างมากมาย ถนนที่มีต้นไม้เรียงราย เปรียบเหมือนเป็นสวนสาธารณะใจกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยสีเขียว ทำให้เซนไดได้สมญาว่าเป็น “เมืองแห่งต้นไม้” อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเมืองศูนย์กลางทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคโทโฮขุอีกด้วย
เริ่มต้นจากสวนสาธารณะใจกลางเมืองที่ ถนนโจเซ็นจิ (Jozenji-dori) เป็นถนนที่มีลักษณะทอดยาวจากแนวทิศตะวันออกสู่ทิศตะวันตกของใจกลางเมืองเซ็นได มีแนวต้นเซลโคว่า (Zelkova) ทอดยาวตลอดทางที่รถแล่นผ่าน เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากๆ
ตรงบริเวณจุดกึ่งกลางของถนนแต่ละฝั่ง จะเป็นที่ตั้งของภาพประติมากรรมของ Emilio Greco ศิลปินชื่อดังระดับโลกขาวอิตาลี โดยผลงานนี้มีชื่อว่า “ความทรงจำในฤดูร้อน”
เดินมาเรื่อยๆจะเป็นที่ตั้งของ Sendai Mediatheque เป็นอาคารอเนกประสงค์ที่ประกอบด้วยห้องสมุดและสถานที่จัดแสดงงานศิลปะ เป็นงานออกแบบของ Toyo Ito ซึ่งเป็นอาคารไร้เสาที่ได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย (ด้านในไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ)
อีกจุดหนึ่งของเมืองเซ็นไดที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ น่าจะเป็นย่านช้อปปิ้งชื่อดัง นั่นก็คือ ย่านช้อปปิ้งอิจิบังโจ (Ichibancho Shopping Arcade) เป็นแหล่งช้อปปิ้งในใจกลางเมืองเซนได ที่ประกอบด้วยถนนช้อปปิ้งหลายสาย จึงได้ชื่อว่าเป็นถนนช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคโทโฮคุ โดยเราเริ่มต้นที่ ถนนช้อปปิ้งคลิสโร้ด (Clis Road)
สำหรับคืนแรกแนะนำว่าต้องหาร้านลอง กิวตัง (Gyutan) ลิ้นวัวชื่อดังของเมืองเซนไดให้ได้ ครั้งนี้เราเลือกมาลองกันที่ร้าน Masatora เป็นร้านยะกินิขุ สไตล์อิซะกะยะ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี Sendai สำหรับใครที่ไม่ทานเนื้อวัว ที่ร้านนี้ก็มีทั้งเนื้อไก่,เป็ด,หมู,ซีฟู้ด ให้บริการครับ สนนราคาคนละประมาณ 4,000 เยน สำหรับมื้อดินเนอร์
- เวลาทำการ: มื้อค่ำ 18.00 – 24.00 หยุดทุกวันจันทร์
- การเดินทาง: จากสถานี Sendai ทางออก 3 เดินประมาณ 6 นาที
- เว็บไซต์
เช้าวันต่อมาเดินทางมายัง เกาะมัตสึชิมะ (Matsushima) เป็นเมืองท่องเที่ยวริมอ่าวมัตสึชิมะ มีเกาะน้อยใหญ่มากมาย (ด้วยเกาะน้อยใหญ่พวกนี้ช่วยลดแรงกระแทกของคลื่นยักษ์ ทำให้มัตสึชิมะได้รับผลกระทบจากเหตุการ์ณสึนามิเมื่อปีค.ศ. 2011 ไม่มากเท่ากับเมืองริมทะเลอื่นๆในแถบนี้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งเลี้ยงหอยนางรมด้วย
- การเดินทาง: จากสถานี Sendai นั่งรถไฟสาย Senseki ลงที่สถานี Matsushima Kaigan ใช้เวลา 35 นาที
วัดโกไดโด (Godaido) อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองมัตสึชิมะ ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.807 และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยท่านดาเตะมะซะมุเนะ ในปีค.ศ.1604 โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป 5 องค์
ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆเชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานไม้สีแดงมีช่องระหว่างทางเดินทำให้สามารถมองเห็นน้ำทะลด้านล่าง โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการสร้างสมาธิในใจ ก่อนจะเดินไปถึงตัววิหารของวัด
สะพานแดงความยาว 252 เมตร ข้ามไปเกาะฟุคุอุระ (Fukuurajima)
รั้วริมทาง ก็ยังทำเป็นลายโกไดโด
ลายป้ายห้องน้ำทำออกมาอย่างน่ารัก
ขึ้นชื่อว่าถ้ามาเกาะมัตสึชิมะแล้ว ต้องจัดหอยนางรมที่สายหอยต้องฟินกันถ้วนหน้า เพราะที่นี่เราสามารถเลือกร้านที่ทานได้ไม่อั้น ในราคาสุดคุ้ม โดยเราจะได้ทานหอยนางรมย่าง รสสัมผัสนุ่มนวล ไม่คาว เพราะว่าสดมากจริงๆ โดยวันนี้เราเลือกร้านที่ชื่อ Matsu かき小屋まつ
มีคอร์สกินได้ไม่อั้น 40 นาที แค่ 2,000 เยน
นอกจากหอยนางรมสดที่เสิร์ฟตลอดแบบไม่ยั้งแล้ว ยังมีเซ็ทอาหารที่มีทั้งข้าวนึ่งหอยนางรม และหอยนางรมทอด มาให้ได้ลิ้มรสกันด้วย
น้องพนง.ในร้านบอก ผมย่างวันๆนึง 400 กว่าโลเลยนะครับพี่ ของดีขออวดๆ
- เปิดทำการทุกวัน ไม่มีวันหยุด
- ขายตั้งแต่ 10.00-15.00 น.
- เว็บไซต์
ใกล้ๆกันเป็นตลาดปลามัตสึชิมะ (Matsushima sakana ichiba) สามารถเดินมาได้
หมู่บ้านอะคิอุ โคเงอิโนะ ซะโตะ (Akiu Traditional Craft Village) ที่หมู่บ้านแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีของช่างงานฝีมือพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็น ลูกข่างไม้ ตุ้กตาโคเคชิ จานชามไม้ ที่สามารถทดลองทำด้วยตัวเองได้ด้วย เข้าสู่เว็บไซต์ >> ที่นี่
ครั้งก่อนที่เราเคยมาได้ลองทำลูกข่างกันไปแล้ว ครั้งนี้จะลองทำตุ๊กตาโคเคชิกันบ้าง
ขั้นตอนการทำตุ๊กตาโคเคชิก็ง่ายมากๆ เพราะทางร้านจะขึ้นตัวโครงไว้ให้อยู่แล้ว เรามีหน้าที่วาดหน้า ผม และ ตัว ในสไตล์ของเรา ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง เราก็จะได้ตุ๊กตาโคเคชิ หนึ่งเดียวในโลก กลับบ้านแล้ว
จากนั้นเราเดินทางไปสักการะเทวรูปองค์เจ้าแม่กวนอิมที่ วัดไดคันมิตสุจิ (Daikanmitsuji) ตั้งอยู่ในเขตอิซุมิ (Izumi) มีความสูงราว 100 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1991 เพื่อเป็นการระลึกถึงการพัฒนาของเมือง ถือเป็นรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่มีความสูงที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ที่สูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก
สามารถเข้าไปเยี่ยมชมภายในได้ โดยแบ่งออกเป็น 13 ชั้น ด้านในมีลิฟท์ช่วยอำนวยความสะดวก ภายในมีรูปหล่อพระโพธิสัตว์ 108 องค์ประดิษฐานอยู่
- เวลาทำการ : 10.00-16.00 น. (ช่วงเดือน ต.ค.-มี.ค. ปิดเวลา 15.30 น.)
- ค่าเข้าชม : 500 เยน
- การเดินทาง : จากจุดจอดรถบัส สถานี Sendai ประตูฝั่ง west exit ขึ้นรถประจำทางหมายเลข 910, 815 หรือ 825 ที่ชานชาลาหมายเลข 14 จากนั้นลงที่ป้ายจุดจอด SEndai Daikannon ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
- เว็บไซต์
ช่วงเย็นเราย้อนกลับมาที่ย่านอิจิบังโจ เดินเล่น ช็อปปิ้ง กันสักหน่อย
มาเจอร้านโทโทโระ น่ารักมากๆ
ส่วนมื้อเย็นก็ฝากท้องไว้ที่ร้านชาบูชื่อว่า Onyasai Shubu Shabu 温野菜しゃぶしゃぶ หัวละ 2,780 เยนเท่านั้น มีเมนูให้เลือกกว่า 60 อย่าง และที่สำคัญอร่อยมากๆ ไม่ผิดหวังครับ ดูรายละเอียดได้ >> ที่นี่
สำหรับที่พักในครั้งนี้ เราเข้าพักที่โรงแรม Daiwa Roynet Hotel Sendai ตั้งอยู่ติดกับสถานี Sendai เดินมาได้เพียง 2 นาที สะดวกสบายมากๆ ราคาเริ่มต้นคืนละประมาณ 2,800 บาท สามารถเช็คราคาและทำการจองได้ >> ที่นี่
ปลายปีนี้ การบินไทย เปิดบินตรงไป เซนได (Sendai) จะทำให้การเที่ยวเซนได เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก ไม่ต้องไปตั้งต้นที่โตเกียวอีกต่อไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> ที่นี่