การเดินทางในวันนี้ค่อนข้างที่จะเร่งรัดพอสมควร สำหรับคนที่ไม่ได้แพลนว่าจะขับรถเที่ยวเองเมื่อไปถึงจุดหมายแล้ว Aso Valley Course เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดูจะลงตัวที่สุด เพราะสถานี JR จะมีจุดขายตั๋วสำหรับรอบทัวร์ที่จะพาเราไปเที่ยวกันทั่วทั้งบริเวณภูเขาไฟอะโซะ แต่เนื่องจากมีจำกัดวันละ 2 เที่ยว และ จำกัดที่นั่ง ดังนั้นเราจะไม่สามารถไปช้ากว่า เวลาที่กำหนดไว้ และ ต้องรีบพุ่งตัวออกไปจับจองที่นั่งให้เร็วที่สุด ดังนั้นเช้าวันนี้เราจึงรีบแพ้คกระเป๋าและขึ้นรถไฟเที่ยวเช้าสุด เพื่อสามารถจัดโปรแกรมเที่ยวทั้งหมดให้ลงตัวภายในหนึ่งวัน
การเดินทางเริ่มต้นขึ้นที่สถานี Kumamoto ฝั่งสถานีเก่า นั่ง LTD EXP Kyushu Odan ขบวนสีแดง มุ่งหน้าไปยังสถานี Aso Station ใช้เวลาโดยประมาณ 70 นาที อยากให้เลือกนั่งฝั่งขวาเพราะจะได้เห็นวิวภูเขาสวยตลอดทาง แต่ถ้าใครจะหลับเก็บแรงไว้เที่ยวภูเขาของจริงๆ ก็เลือกนั่งกันตามสะดวกได้เลยครับ
หลังจากที่เดินทางถึงสถานี Aso แล้วจะต้องนั่งรถบัสต่ออีก 40 นาทีไปยังสถานี Asosan Nishi เพื่อที่จะขึ้น Ropeway ขึ้นไปเที่ยวชมปล่องภูเขาไฟ Aso กัน แต่อย่าลืมครับว่า ก่อนที่จะนั่งรถบัสต่อนั้น เราจะต้องรีบออกไปซื้อตั๋ว Aso Valley Course พร้อมกับ ตั๋ว Ropeway และ ฝากสัมภาระให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทาง ยังพอมีเวลาประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะขึ้น รถบัสต่อครับ ให้รีบทำที่สุด ทั้งจุดขึ้นรถบัส จุดขายตั๋วและจุดรับฝากของอยู่ด้านนอก สถานีไม่ได้ใหญ่มาก หาไม่ยากครับ
เส้นทางของ Aso Valley course นั้นใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รอบเช้าจะออกเดินทางเวลา 9.30 เหมาะสำหรับใครที่มาพักค้างคืนก่อนหน้าแล้ว ส่วนถ้าใครต้องเดิน ทางจากต่างเมืองในช่วงเช้า ตารางเวลาช่วงบ่ายจะเริ่มตั้งแต่ 13.00 จะเหมาะที่สุด ดังนั้นถ้าเราเดินทางมาถึงในช่วงก่อนเที่ยงให้ขึ้นไปเที่ยวชมปล่องภูเขาไฟอะโซะให้ทันก่อนรอบรถบ่ายโมงจะออกนะครับ ถ้าทำตามวิธีนี้และรักษาเวลาได้ ก็จะไม่ตกรถและเที่ยวได้คุ้มค่าสุดๆ
ตั๋วคอมโบประเภทนี้ตกอยู่ที่ 2500 เยน โดยจะรวม ค่ารถบัสไปกลับ Aso Nishi ราคาปกติ 1,080 เยน และ ค่า Valley Course อีก 2,000 เยน ซึ่งคุ้มค่ามาก ถ้าใครได้ตั๋วมาแล้ว อย่าลืมขอตารางเวลารถบัสขากลับเพื่อจะได้กลับ มาเที่ยวต่อกันทันนะครับ
มุ่งหน้าตรงไปที่สถานีปลายทาง Mt.Aso 阿蘇山 ภูเขาไฟที่ยังคงปะทุอยู่และใหญ่ที่สุดในญี่ปุน มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,592 เมตร การที่จะขึ้นไปสุดยอดของภูเขาได้ จะต้องขึ้น Asosan Ropeway ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1958 ต่อไปยังจุดชมปล่องภูเขาไฟ Nakadake Craker ค่าขึ้น Ropeway แบบไปกลับ ตกคนละ 1,000 เยน
ถ้าวันไหนด้านบนมีควันแก๊สจากปล่องภูเขาไฟมากจนมอง ไม่เห็นแอ่งภูเขาไฟด้านล่าง หรือถ้าอยู่ในระดับ อันตราย ทางเจ้าหน้าที่จะแจ้งเราทราบก่อนว่าสามารถขึ้นไปชมได้หรือไม่ หรือจะเห็นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ไหนๆก็ขึ้นมาถึงบนนี้แล้วถึงจะโชคร้ายไปสักหน่อยที่วันนี้ ควันแก๊สปล่อย ออกมามากจนไม่สามารถเข้าไปจุดชมแอ่งภูเขาไฟได้ ก็ขอขึ้นไปชมบรรยากาศก็ยังดี
ใช้เวลาเพียง 4 นาที Ropeway ก็พาเรามาถึงสถานี Kako Nishi และเราสามารถเดินเที่ยวในบริเวณรอบๆได้อย่างอิสระ ด้านบนนี้สามารถขับรถขึ้นมาได้ด้วยเช่นกัน
ถ้ามองไปไกลๆจะเห็นเส้นแบ่งเขตให้เข้าไปชมปล่องภูเขาไฟได้ แต่อย่างที่บอกว่าวันนี้มีควันพิษปล่อยออกมามาก จึงไม่อนุญาตให้เข้าไปด้านในได้ น่าเสียดาย ควรใช้เวลาอยู่ด้านบนประมาณ 30-45 นาที อย่าลืมเช็ครอบเวลาขึ้น Ropeway ขากลับด้วย
นั่งกระเช้ากลับมาด้านล่างเพื่อรอรถบัสรอบถัดไปที่จะพากลับไปที่สถานี Aso ตอนเที่ยง
เมื่อลงมาถึงด้านล่าง มีเวลาอีกชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัด ที่บริเวณใกล้ๆสถานีจะมีป้ายบอกว่ามีร้านราเมง เลยเข้าไปจัดมื้อเที่ยงกันที่นี่เลย รสชาติพอใช้ได้ทีเดียว
หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปเก็บบรรยากาศรอบๆ จะสังเกตุเห็นได้ว่าสถาณี Aso นั้นอาคารเป็นสีดำทั้งหมด ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าโปร่ง เลยได้ภาพสวยๆมาฝากกัน
สักพักเราก็ มายืนรอขึ้นรถบัสที่ Sanko Bus Stop หรือจุดที่เราซื้อตั๋วนั่นเอง อย่ายืนอยู่เฉยๆนะครับ พยายามชะเง้อมองหารถบัสที่จอดอยู่ แล้วมีคนขึ้นไปนั่งเรื่อยๆ เราจะต้องเดิน เข้าไปถามคนขับรถว่าใช่รถคันนี้รึเปล่า ไม่อย่างนั้นขืนรออยู่เฉยๆอาจจะตกรถได้ ตามสไตล์คนญี่ปุ่นครับ ถึงเวลาบ่ายโมงตรงเป้ะ ปิดประตูออกสตาร์ทเดินทางปั้บ
เส้นทางการเดินรถนี้จะพาเราไปที่เขาฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะได้เห็นภาพความงดงามของภูเขาไฟ Aso กันแบบเต็มๆตา หลังจากที่เราเดินขึ้นไปเหยียบกันมาแล้วเมื่อเช้านี้
จุดแวะแรกที่จอดคือ Mt.Daikanbo 大観峰 โดยจะมีเวลาให้เรา 30 นาที ในการชมวิวเมือง Aso ทั้งเมืองรวมไปถึงวิวของภูเขาไฟ Asosan
ถ้ามองตามแผนที่จะเห็น ยอดเขาทั้ง 5 หรือ Aso Five-Peaks นั่นก็คือ Nekodake, Takadake, Nakadake, Eboshidake, และ Kishimadake
จุดแวะถัดมาคือ Teno no Meisui 手野の名水 ว่ากันว่าเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ไหลมาจากหุบเขาเป็นเวลานาน ชาวบ้านมักจะใช้น้ำจากแหล่งน้ำนี้ในชีวิตประจำวันในอดีต ถือว่าเป็นน้ำคุณภาพพิเศษบริสุทธิ์จากธรรมชาติ
โดยคุณลุงขับรถจะเอาขวดน้ำเปล่ามาให้เราลองชิมรสชาติของน้ำแสนเย็นชื่นใจ ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า จะมีกลิ่นหอม ของะรรมชาติเจือปน ทำให้น้ำมีรสชาติที่แปลกและสดชื่นกว่าน้ำทั่วไปจริงๆ ต้องลองไปชิมเองครับ
ทัวร์ของเรายังไม่จบแค่นี้ นี่เพิ่งผ่านมาแค่ครึ่งทาง เดี๋ยวมาต่อกันตอนหน้าจะพาไปเที่ยวศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของจังหวัดคะมะโมะโตะกันครับ 🙂