Okayama เป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับจากโอซาก้าได้ โดยนั่ง Shinkansen สาย Sanyo ใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น จากสถานี Shin-Osaka ถ้ามี JR West Pass ประเภท Kansai Wide ก็สามารถขึ้นได้เลยทุกขบวน (รวมทั้งขบวนด่วนสุดอย่าง Nozomi) โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติม
ถือว่าคุ้มมากๆเพราะว่านั่งเที่ยวเดียว ก็ราคา 5,860 เยนแล้ว (แต่ถ้านั่งรถไฟธรรมดา ราคาจะถูกกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว) อ่านรายละเอียด JR West Pass ได้ >>> ที่นี่
โฉมหน้าของเจ้าตุ่นปากเป็ดที่วิ่งฉลุยพามาถึงสถานี Okayama เป็นที่เรียบร้อย
สถานี Okayama ไม่มีคำว่า Shin นำหน้า นะครับ เป็นสถานีหลัก รถไฟวิ่งผ่านทุกสาย รวมทั้ง Shinkansen ด้วย
สถานี Okayama 岡山駅 เป็นสถานีจุดเชื่อมต่อระหว่างเกาะฮอนชูกับเกาะชิโกกุ และ เป็นจุดกึ่งกลางระหว่าง ภูมิภาคคันไซ กับ ภูมิภาคจูโกขุ อีกด้วย ซึ่งหมายความว่า การเดินทางไปยัง ฮิโรชิมา และ ฟุกุโอกะ จะต้องวิ่งผ่านสถานีนี้
Okayama 岡山 เป็นจุดศูนย์กลางทางตะวันตกของญี่ปุ่น มีชื่อเสียงสุดๆก็คงเป็นสวน Korakuen ที่ติดอันดับ 1 ใน 3 สวนสวยที่สุดในญี่ปุ่น แต่ที่โด่งดังไม่แพ้กัน น่าจะเป็นเรื่องราวของโมโมทาโร่ เด็กชายลูกท้อ ที่มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้นี่เอง ปัจจุบันเมือง Okayama เป็นหัวเมืองที่มีความทันสมัย มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 7 แสนคน และมีนักท่องเที่ยวเดินทางมามากขึ้นทุกปี
การเดินทางภายในตัวเมือง สามารถเดินทางได้ด้วยรถรางโบราณ Okaden 岡電 ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี ปัจจุบันได้รับปรับปรุงใหม่อยู่ในสภาพที่ดีและใช้การได้ด้วยระบบที่ทันสมัย มีให้บริการด้วยกัน 2 สาย คือ สาย Higashiyama Line และสาย Sekibashi แต่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งปราสาทโอกายาม่า สวนโคระคุเอน และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ สามารถเดินเที่ยวได้แบบสบายๆ
ถนนสายหลัก มีชื่อว่า Momotarō-Odōri 桃太郎大通り
ตลอดทางจะพบกับรูปปั้นของสัตว์ต่างๆที่เป็นสหายของโมโมทาโร่ ร่วมผจญภัยไปปราบยักษ์
ให้เดินมาเรื่อยๆจนสุดถนน ประมาณ 20 นาที จะเจอกับทางลอดใต้ดิน เพื่อเดินต่อไปยัง ปราสาท Okayama หรือ สวน Korakuen
ชาวเมืองคงรักโมโมทาโร่เอามากๆเลยนะครับเนี่ย 🙂
หลังจากเดินผ่านซุ้มกำแพงเข้ามา จะเจอกับแม่น้ำ Takahashi ที่เป็นแม่น้ำสายหลักขนาดใหญ่ของเกาะญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก
มีสะพานข้ามไปพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองโอะคะยะมะ
บรรยากาศดีๆแบบนี้ เช่าเรือถีบชิลล์ๆกันมั้ย~
มาถึงละครับ เป้าหมายของเรา ปราสาทโอะคะยะมะ
ด้านหน้าทางเข้า
มีแผนที่เมืองฉบับย่อ จะเห็นได้ว่าแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เป็นพิพิธภัณฑ์ ถ้าใครชื่นชอบประวัติศาสตร์ งานศิลป์ วัฒนธรรม มาที่นี่ต้องไม่ผิดหวัง ทุกแห่งสามารถเดินเท้าไปได้ ในระยะทางไม่ถึง 1 ก.ม. สำหรับเป้าหมายหลักๆของเราในวันนี้คือ ปราสาทโอะคะยะมะ และ สวนโคระคุเอ็น เพราะต้องรีบเก็บให้ครบในช่วงเช้า เพื่อที่ช่วงบ่ายจะได้เอาเวลาไปเที่ยวอีกเมืองที่อยู่ใกล้ๆกันได้
มาต้นเดือนธันวาก็ถอดใจเรื่องที่จะได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีไปแล้ว แต่นี่ที่อยู่ตรงหน้ามันคือ ต้นที่ยังหลงเหลืออยู่ ถึงบริเวณรอบๆต้นอื่นๆจะร่วงไปมากกว่า 70% แล้ว แต่ก็ถือว่าโชคยังเข้าข้าง มีโอกาสได้มาเห็นใบไม้แดงกับเค้าอีกครั้ง
ถึงจะร่วงลงพื้น ก็ยังงามจับใจ
ปราสาทโอะคะยะมะ 岡山城 มีฉายาว่า ปราสาทอีกา เพราะตัวอาคารปราสาทนั้นเป็นสีดำ เรียกว่า U-jo 烏城 คล้ายกับปราสาทมัทซึโมะโตะ ที่มีอาคารเป็นสีดำ จึงเรียกว่าเป็นปราสาทอีกาเช่นกัน ภาษาญี่ปุ่นเขียนด้วยคันจิเหมือนกัน แต่อ่านว่า Karasu-jo 烏城
ที่ด้านข้างปราสาท มีซุ้มบริการให้ข้อมูลท่องเที่ยวภายในเมืองโอะคะยะมะด้วย ใครสนใจก็เข้าไปสอบถามได้
รอบๆปราสาท เป็นจุดที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีได้ ยังมีเหลือให้ชมกันอยู่หลายต้นเลยละครับ
หลังจากชื่นชมความงามของใบไม้เปลี่ยนสีกันเต็มอิ่มแล้ว เดินเข้าไปด้านในปราสาทกันเลยครับ เคาเตอร์ขายตั๋วอยู่ข้างในนี้
ค่าเข้าปราสาทอย่างเดียวราคา 300 เยน แต่ถ้าจะชมสวนโคระคุเอนด้วย ซื้อตั๋วคู่ไปเลย ลดราคาเหลือ 560 เยน
Shachi 鯱 มีหัวเป็นเสือรูปร่างเป็นปลา มักจะเห็นถูกประดับตามหลังคาปราสาท เป็นเครื่องรางตกแต่งที่นิยมใช้กันในสมัยเอะโดะ มีความเชื่อว่า Shachi เป็นผู้พิทักษ์แห่งน้ำ จะป้องกันการเกิดอัคคีภัยได้ โดย Shachi ตัวผู้จะถูกวางไว้ด้านซ้าย และ ตัวเมียจะถูกวางไว้ด้านขวา
วิธีการชม คือขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนสุดและค่อยๆเดินลงมาทีละชั้นก็ได้ โดยชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิวบนยอดปราสาท
และนี่คือ Sachi ตัวจริง (หลังจากสร้างใหม่ถูกฉาบเป็นสีทอง) ตั้งอยู่บนยอดปราสาท
ปราสาทโอะคะยะมะ ถูกสร้างขึ้นในปี 1597 ในยุค Azuchi – Momoyama ปราสาทเดิมถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในปี 1966 อาคารหลักของปราสาทโอะกะยะมะมีทั้งหมด 6 ชั้นภายในเป็นที่เก็บสมบัติอันเก่าแก่และจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาและการพัฒนาของปราสาท ภายในอาณาบริเวณของปราสาท มีเพียงหนึ่งจุดเท่านั้น ที่เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคดั้งเดิมนั่นก็คือ ป้อมปืน Tsukimi Yagura ที่อยู่มาตั้งแต่ปี 1620 นอกจากนี้ยังมีฐานรากของอาคารที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงขอบเขตและความซับซ้อนเดิมของปราสาทในอดีตได้เป็นอย่างดี
การจัดแสดงนิทรรศการส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น มีเพียงบางหัวข้อเท่านั้นที่แปลเป็นภาษาอังกฤษให้
ซาก Sachi ของเดิม
มุมต่างๆภายในแต่ละชั้นของปราสาท มีโซนที่สามารถให้เข้าไปถ่ายรูปได้ด้วย
ลองเข้าไปนั่งด้านในเกี้ยวได้นะครับ
มี โมโมทาโร่ ยืนต้อนรับอยู่
มีร้านขายของที่ระลึก อยู่ชั้นล่างของปราสาท
ใครเป็นแฟนคลับบารุโตะบ้าง~
ปราสาทจำลอง อันละ 500 เยน
ออกมาด้านนอก มีป้ายบอกให้เดินไปสวนโคระคุเอ็น จุดหมายต่อไปของเรา
ติดตามอ่านตอนต่อไปได้เลยครับ