ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นนั้น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนไปจนถึงต้นเดือนธันวาคม ก่อนที่ความหนาวจะคืบคลานเข้ามา ช่วงที่พีคที่สุดจะกระจายออกไป ตามแต่ละจุด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ตั้งว่าตรงไหนจะเปลี่ยนสีก่อนหลัง และถ้าพูดถึงจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เข้าถึงง่ายที่สุด ก็ต้องยกให้ คันโต และ คันไซ ที่จะพีคสุดๆในช่วงต้น-กลางเดือนพฤศจิกายน
แต่ในครั้งนี้จะมาแนะนำจุดชมส่งท้ายฤดูใบไม้เปลี่ยนสีใน ภูมิภาคคันโต เดินทางช่วง ปลายเดือนพฤศจิกายน ทั้ง 3 เมือง โดยจะแบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ตอนคือ คะมะคุระ (Kamakura), ภูเขาทะคะโอะ (Mount Takao) และ โยโกฮะมะ (Yokohama) ที่สามารถตั้งต้นเดินทางจากโตเกียวมาได้ง่ายๆ
เดินทางตามหาใบไม้เปลี่ยนสี จากโตเกียว ตอน 2: ภูเขาทะคะโอะ
เดินทางตามหาใบไม้เปลี่ยนสี จากโตเกียว ตอน 3: โยโกฮะมะ
ซึ่งถ้าหากเดินทางไปโตเกียวในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จะสังเกตุเห็นได้ว่าใบไม้แดงเริ่มร่วงและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแล้ว ส่วนต้นแปะก๊วยกำลังเข้าสู่ช่วงพีคเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองทั้งเมือง แต่ถ้าอยากจะชมใบไม้แดง ก็ยังไม่หมดหวังซะทีเดียว เพราะที่เมืองใกล้ๆ อย่าง “คะมะคุระ” กำลังเปลี่ยนสีกันอย่างสวยงามเลย
เราสามารถเดินทางไปชมใบไม้แดง เที่ยวอดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ท่ามกลางวัดศาลเจ้าและบรรยากาศเมืองโบราณกันได้ ภายใน 1 วัน มาวันธรรมดาคนไม่เยอะ ไม่ต้องแย่งกันหามุมถ่ายรูป โดยวัดที่แนะนำ คือ Tsurugaoka Hachimangu, Hasedera และ Engakuji รับรองว่าจะได้เต็มอิ่มกับใบไม้แดงแน่นอน
การเดินทางจากโตเกียว ขึ้นรถไฟจากสถานี Shinjuku ลงที่สถานี Kamakura มาได้ทั้งรถไฟ JR และ Odakyu ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
สำหรับคนที่มี JR TOKYO Wide Pass สามารถใช้ขึ้นรถไฟ JR ได้ (แต่ไม่รวมสาย Enoden ที่วิ่งในคะมะคุระ) หรือถ้าใครไม่มีพาสจะซื้อ Enoshima-Kamakura Pass ของ Odakyu ก็ได้เช่นกัน (รวมการเดินทางไป-กลับจากชินจูกุ และรถไฟ Enoden)
เริ่มต้นจากสถานี Kamakura เดินออกมาด้านนอก เข้าสู่ถนนคนเดินที่มีเสาโทริอิแดง เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงว่า เส้นทางนี้กำลังมุ่งหน้าไปสู่ศาลเจ้าที่เป็นจุดหมายแรกของเราในวันนี้ นั่นก็คือ ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู (Tsurugaoka Hachimangu)
ไม่เสียค่าเข้าชม / เปิดเวลา 6.00-21.00 น. (เข้าได้ก่อนประตูปิด 30 นาที)
ศาลเจ้าทสุรุกะโอกะ ฮะจิมังงู เป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความสำคัญมากที่สุดของคะมะคุระ อดีตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น สร้างขึ้นโดยท่าน Minamoto Yoriyoshi เมื่อปีค.ศ. 1063 ต่อมาได้สร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น และย้ายมายังสถานที่ปัจจุบัน โดยท่านโชกุนคนแรกของรัฐบาลคะมะคุระ Minamoto Yoritomo เมื่อปีค.ศ. 1180 เพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าประจำตระกูลมินะโมะโตะ มีชื่อเรียกว่า ฮะจิมัง (Hajiman)
ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีกำลังดี มีทั้งสีเขียว เหลือง แสด แดง ไล่เฉดกันอย่างงดงาม
วิหารหลักของศาลเจ้าตั้งอยู่ด้านบน ซึ่งจะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อไปสักการะ
และเมื่อมองลงมาจะพบกับต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่ อายุเก่าแก่ กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอร่าม โดดเด่นอยู่เบื้องล่าง
ไปญี่ปุ่นทุกครั้ง แน่นอนว่าต้องพก TRIPIZEE Pocket WiFi ไปด้วยตลอด เพราะติดใจกับการใช้งาน เครื่องมีขนาดกะทัดรัดพกพาง่าย เชื่อมต่อได้หลายคน สะดวกสบายมาก สัญญาณ 4G เร็ว แรง ทุกพื้นที่ไม่มีสะดุด แถมราคาก็ประหยัดสุดๆ ใครสนใจ เข้าไปจองได้ที่นี่เลย รับรองไม่ผิดหวัง >> TRIPIZEE Pocket WiFi
สอบถามข้อมูลทาง Facebook: Tripizee / Line: @TripizeeTH
ระหว่างทางขากลับ แวะชิมซอฟครีม ชื่อว่า Ajisai ที่ใช้รสมัทฉะและมันม่วง ผสมกัน ที่ร้าน Imoyoshi
มาต่อกันที่จุดหมายลำดับที่สอง ขึ้นรถไฟมาลงที่สถานี Kita-Kamakura โดยสถานีนี้ มีวัดและศาลเจ้าสวยๆอยู่มากมายหลายแห่ง หลายคนมักจะนั่งรถไฟเลยผ่านสถานีนี้ไป แต่ขอบอกว่าช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่สถานีนี้ถือว่าเป้นไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดอย่างเด็ดขาดครับ
การเดินทาง: จากสถานี Kamakura โดยสารรถไฟ JR สาย Yokosuka มาลงที่สถานี Kita-Kamakura ใช้เวลา 3 นาที
ป้ายบอกที่ตั้งของวัดและศาลเจ้าในบริเวณรอบๆสถานี Kita-Kamakura
จุดชมใบไม้เปลี่ยนสีรอบๆสถานี
และจุดหมายของเราก็คือ วัดเอ็นคะคุจิ (Enkakuji) แห่งนี้
ค่าเข้าชม 300 เยน / เวลาทำการ 8.30-16.00 น.
วัดเอ็นคะคุจิ เป็นวัดนิกายเซ็นที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่สอง ในบรรดาวัดนิกายเซ็นที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 5 แห่งของคะมะคุระ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1282 โดย Hojo Tokimune ตั้งอยู่บนเนินเขา โดยจะมี ประตูซันมง (Sanmon) ตั้งอยู่บริเวณทางเข้า ที่สร้างขึ้นในภายหลังเมื่อปีค.ศ.1783
เมื่อมองย้อนกลับลงไป เป็นภาพที่งดงาม จนแทบไม่อยากละสายตาเลยจริงๆ
เมื่อเดินผ่านประตูซันมง จะพบกับวิหารหลัก บุทสึเด็น (Butsuden) เป็นที่ประดิษฐานของ Shaka Buddha พระพุทธรูปโปราณที่แกะสลักจากไม้
ภายในมีอาณาเขตกว้างขวาง มีจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีกระจายตัวอยู่ ตามวิหารต่างๆของวัด มีบรรยากาศที่เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน
หลังจากนั้นเดินข้ามมาอีกด้านของสถานี ไปยัง วัดโทเคจิ (Tokeiji) มีแมวเหมียวมานั่งต้อนรับอยู่บริเวณทางเข้า
ค่าเข้าชม 200 เยน / เวลาทำการ 8.30-16.00 น.
วัดโทเคจิ เป็นวัดสาขาย่อยของวัดเอ็นคะคุจิที่ใช้เป็นโรงเรียนสอนพุทธศาสนาในอดีต สร้างขึ้นโดยภรรยาของท่าน โดย Hojo Tokimune ในปีค.ศ.1282 เช่นเดียวกัน ในอดีตวัดแห่งนี้ใช้เป็นที่พักพิงของสตรีที่ถูกทำร้ายโดยสามีของตน และว่ากันว่า หากสตรีคนใดต้องการหย่าขาดจากคู่ของตนเอง จะต้องมาพำนักที่วัดแห่งนี้เป็นเวลา 3 ปี
หลังจากนั้นเดินทางย้อนกลับไปสู่สถานี Kamakura เพื่อขึ้นรถราง Enoden มายังสถานี Hase
ด้านหน้าสถานีมีร้านขายขนมญี่ปุ่น Surugaya โดยมีเมนูเด่นคือ โดรายากิซอฟครีมพร้อมถั่วแดงถ้วยนี้
หลังจากนั้นให้เดินตามทางมาเรื่อยๆ เพื่อไปยังจุดหมายสุดท้ายของวันนี้ที่ วัดฮาเซะ (Hasedera)
ค่าเข้าชม 300 เยน / เวลาทำการ 8.00-17.00 น.
วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก ในเรื่องของ องค์เจ้าแม่กวนอิม 11 เศียร สูง 9.18 เมตร เป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดองค์หนึ่งของญี่ปุ่น มีตำนานเล่าขานกันว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว มีพระองค์หนึ่งนามว่า Tokudo Shonin ค้นพบต้นการบูน (Kusunoki 楠) ขนาดใหญ่ ในป่าแถวหมู่บ้านฮาเซะ เมืองนาระ ท่านคิดว่าด้วยขนาดของไม้ต้นนี้น่าจะสามารถแกะสลักเป็นองค์พระพุทธรูปได้ถึง 2 องค์ และพระพุทธรูปที่ท่านว่านั้นคือ องค์เจ้าแม่กวนอิม (เทพคันนง) 11 เศียร
โดยองค์หนึ่งประดิษฐานไว้ที่วัดฮาเซะ แห่งเมืองนาระ และ อีกองค์หนึ่งถูกลอยลงสู่ทะเล ด้วยคำภาวนาหวังว่า ท่านเทพคันนงจะคอยปกป้องรักษาชาวบ้านเมื่อท่านลอยไปถึงฝั่ง หลังจากนั้นอีก 15 ปีให้หลัง รูปแกะสลักได้ลอยไปถึงชายฝั่ง Nagai คาบสมุทร Miura อีกด้านหนึ่งของเมืองคะมะคุระ จึงได้อัญเชิญท่านมาที่เมืองนี้ และจึงสร้างวัดฮาเซะ แห่งเมืองคะมะคุระถวายแก่ท่าน วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 4 จากทั้งหมด 33 แห่งที่มีชื่อเรียกว่า Bandō Sanjūsankasho
ด้านล่างจะเป็นสวนญี่ปุ่นที่จัดไว้อย่างสวยงาม และจะต้องเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่วิหารหลักที่ตั้งอยู่ด้านบนเนินเขา
ระหว่างทางจะได้พบกับต้นเมเปิลที่เปลี่ยนสีกันอย่างสวยสดงดงาม
ตามพยากรณ์ใบไม้เปลี่ยนสีที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จะสวยที่สุดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ถึง ต้นเดือนธันวาคม
หอวิหารหลักที่เป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิม 11 เศียร
วิวยามเย็นมองจากด้านบนสวยงามเช่นกัน
ก่อนกลับแวะทานมื้อเย็นกันที่ร้าน Ishibashi ตั้งอยู่หัวมุมถนนที่เลี้ยวเข้าไปวัดฮาเซะ โดยเมนูที่ลองคือ Tamago-toji อุด้งร้อนๆเสิร์ฟพร้อมไข่ อากาศหนาวๆได้ทานอะไรร้อนๆแบบนี้ มันช่างอร่อยเหลือเกิน
จากสถานี Hase ขึ้นรถไฟ Enoden ย้อนกลับไปที่สถานี Kamakura เพื่อนั่งรถไฟ JR กลับเข้าสู่ชินจูกุ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า จะพาไปชมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ ภูเขาทะคะโอะ กันครับ