หลังจากพาไปเที่ยวปราสาทคุมะโมะโตะในตอนที่แล้ว เรามาเที่ยวตัวเมืองกันต่อเลยครับ
อ่านตอนที่แล้วได้ที่นี่ >>> ชมความยิ่งใหญ่ของปราสาทคุมะโมะโตะกับซากุระ
อีกที่ที่ไม่ควรพลาดคือ Hosogawa Gyobutei เป็นอดีตที่พำนักของตระกูล Hosogawa ที่ดำรงตำแหน่งฐานะไดเมียวปกครองเมือง คุมะโมะโตะในสมัยเอะโดะ นั่นเอง
บรรยากาศบ้านไม้ ที่วกวนไปด้วยห้องเล็กห้องน้อย มีความซับซ้อนในแบบที่เดินวนกันจนหลง
การตกแต่งดูเหมือนตั้งใจไว้ในสภาพเดิม ไม่ได้มีการปรุงแต่งเพิ่มเกินงาม ยังคงความรู้สึก บ้านแบบโบราณ ให้อารมณ์เข้าถึงที่พำนักของท่านเจ้าเมืองในอดีตได้อย่างสมจริงที่สุด จนบางครั้งเดินไปพลางก็เผลอนึกไปว่า ถ้าเราได้มีโอกาสอยู่ในบ้านแบบนี้จริง ในสมัยนั้น เราจะต้องมีความสุขแค่ไหน (ในยามสงบนะครับ ยามสงครามไม่ไหวจริงๆ)
ค่าเข้าชมแบบรวมส่วนของปราสาทและที่พำนัก ราคา 640 เยน สามารถเลือก ซื้อแบบรวมหรือแบบแยกได้ตามสะดวก
ที่ทางออกอีกฝั่งจากทางที่เราลงรถบัส สามารถขึ้นต่อไปยังจุดหมายต่อไปได้ ถ้าใครจะกลับไปตั้งต้นที่ด้านหน้าสถานีคุมะโมะโตะ ก็สามารถนั่ง Loop Bus คันเดิม กลับไปได้เช่นกัน ปราสาทคุมะโมะโตะ ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ทำให้เราสามารถเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบได้อย่างสวยงามระหว่างทางขาลง ผ่านสถานที่สำคัญต่างๆมากมาย ถ้าใครไม่ได้อยากจะไปที่ไหนเป็นพิเศษ ลองเที่ยวในบริเวณแค่นี้ ก็สามารถซื้อตั๋วเฉพาะ Kumamoto Castle Loop Bus แบบ 1 วัน ในราคา 300 เยน เที่ยวได้ทั่วแล้วครับ
ส่วนตัวผมอยากจะนั่งรถรางออกไปชมนอกเมืองดูบรรยากาศมากกว่าว่าเมืองนี้จะเป็นยังไง นั่งรถรางชมเมืองเพลินจนมาลงที่ป้าย Dobutsuen-mae ไม่รู้คิดอะไรถึง อยากลองลงมาเดินเที่ยวสวนสัตว์ของที่นี่ สถานีนี้ค่อนข้างห่างตัวเมืองออกมาพอสมควร ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองคุมะโมะโตะจริงๆ เห็นเด็กๆเล่นกันที่ สนามเด็กเล่น เห็นแม่บ้านจับกลุ่มคุยกันสนุกสนานในสวนสาธารณะ ราวกับหลุดเข้ามาในหนังสือการ์ตูนสมัยก่อน ถึงแม้เดินไปจะไม่เห็นวี่แววของสวนสัตว์สักที และสุดท้ายก็มารู้ว่าวันนั้นดันปิดทำการ แต่ก็ไม่รู้สึกเสียเที่ยว เพราะการมาเห็นอีกมุมหนึ่งของเมืองนี้ ทำให้รู้สึกว่าคุมะโมะโตะช่างเป็นเมืองที่สงบสุขดีจัง
เส้นทางของรถราง Kumamoto Streetcar ตั๋ววัน Waku Waku 1 Day Pass ราคา 500 เยน
วันเงียบๆ วันเหงาๆ พอออกจากใจกลางเมือง รถรางคนโล่งมาก
นั่งรถรางย้อนกลับไปทางเดิม แวะลงที่ป้าย Suizenji-mae เพื่อไปชมสวนญี่ปุ่นที่เค้าว่ากันว่างดงามติดระดับประเทศ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของวันนี้ เมื่อลงจากรถจะมีป้ายบอกทางให้เดินตรงขึ้นไป
เลยเวลาอาหารเที่ยงมาสักพัก ถึงแม้วันนี้อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย ไม่หนาวจัด แต่ก็อยากทานอะไรร้อนๆสักหน่อย เหลือบมองไปเห็นป้ายเขียนว่าอุด้งปุ้บ ไม่รอช้ารีบเปิดประตูเข้าไปนั่งในร้าน แต่ก็ตะโกนถามคุณลุงเจ้าของร้านที่นั่งดูฟุตบอลอย่างเมามันส์อยู่ว่า เวลานี้สามารถทานได้ รึเปล่า คุณลุงก็รีบลุกขึ้นมาเตรียมอุปกรณ์แล้วถามว่าพวกเราอยากจะทานอะไรทันที ‘เทมปุระอุด้ง’ ตอบแบบไม่ได้มองเมนู คุณลุงก็เปิดเตาร้อน เอากุ้งชุบแป้ง ก่อนเอาลงไปทอดสดๆในกระทะให้เราได้เห็นกัน ระหว่างรอสุกคุณลุงก็ลวกเส้นอุด้งไว้รอแล้ว
มื้อนี้เป็นมื้อที่เรียบง่าย นั่งกินในร้านแบบ local อย่างนี้ แต่ให้ความรู้สึกดีแบบพิเศษ คุณลุงชวนคุยตลอด เรื่องฟุตบอลคุยกะคุณลุงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่พอพูดถึง ว่ามาจากไทยเเลนด์ปุ้บ คุณลุงตาลุกเป็นประกายขึ้นมาทันที คุณลุงบอกว่าอยากไปเที่ยวมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆแล้ว ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป คิดว่าจะต้องไปสักครั้งนึงก่อนที่จะแก่ไปกว่านี้ ผมเลยพูดกลับไปว่า ขอเอาใจช่วยนะครับ อยากให้คุณลุงได้ไปเที่ยวเมืองไทย ได้ทำตามความฝันของตัวเอง เอาฝีมือทำอุด้งอร่อยๆของคุณลุงไปให้คนไทยได้ชิมกันถึงที่เลย
ที่ถนนทางเดินด้านหน้า สามารถซื้อขนมของฝากได้ มีขนมชื่อดังประจำเมืองอย่าง Ikinari Dango เป็นขนมดังโกะแป้งเหนียวนุ่มสอดไส้มันเผาและถั่วแดงหวานอร่อย อบร้อนๆขายอยู่ชิ้นละ 100 เยน ลองซื้อชิมกันได้ครับ หวานชื่นใจ
มองเห็นใครยืนอยู่ไกลๆมั้ยๆ ^^
ถ้าใครอยากพบกับ Kumamon หมีมาสคอตชื่อดังประจำเมืองที่ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็จะเจอกับเจ้าหมีตัวดำแก้มแดงหน้าตาน่ารักตัวนี้ เจ้าหมีมายืนเท่พร้อมต้อนรับให้ทุกคน มาถ่ายรูปกันอยู่ที่นี่นะครับ
Suizenji Jojuen 水前寺成趣園 เป็นสวนที่สร้างขึ้นโดยตระกูล Hosokawa ราว 400 ปีมาแล้ว
โดยภายในบริเวณสวนจะออกแบบโดยจำลองเส้นทาง Tokaido ที่มีความสำคัญมากของญี่ปุ่นในอดีตโดยมีจุดหมายเชื่อมระหว่างเมืองเกียวโตและเมืองเอะดะหรือเมืองโตเกียวในปัจจุบัน
และถ้าสังเกตุจะเห็นเนินคล้ายๆรูปทรง ของภูเขาไฟ นั่นคือ ภูเขาไฟฟูจิไซส์มินิครับ
สาเหตุที่เลือกพื้นที่นี้ในการสร้างสวนญี่ปุ่นขึ้นมาเนื่องจากน้ำที่อยู่ในบริเวณนี้มีความบริสุทธิ์และเหมาะกับการชงชาทีสุด
นอกจากนั้นใกล้ๆกันจะมีศาลเจ้า Izumi เป็นที่สำหรับสักการะบุคคลในตระกูล Hosokawa นั่นเอง
ที่ด้านหลังของสวนยังมีต้นซากุระที่บานเต็มต้นแล้วให้ชมอีกด้วย ถ้าใครชอบบรรยากาศสงบๆและร่มรื่นย์ต้องไม่พลาดมาที่นี่
หรือใครอยานั่งพักผ่อนและจิบชา ตามรอยท่าน Hosokawa ก็มี Tea House ให้บริการด้านในเช่นเดียวกัน
แวะซื้อของฝาก ‘หมีมึนเมา’ กันก่อนกลับ
เดินเสร็จก็หิวอีกละ หน้าปากซอยทางเข้ามีร้านโอโคโนมิยากิเล็กอยู่ตรงหัวมุม ราคาอันละ 300 เยน ทำให้ทานกันสดๆร้อนๆเลย
นั่งรถรางย้อนกลับมาที่ป้าย Torichosuji เพื่อลงไปเดินเล่นย่านแสงสีที่คึกคักที่สุดของเมืองนั่นก็คือ Shimotori Arcade ที่รวมร้านค้าร้านอาหารมากมายให้เลือกสรร
บาร์หมีดำ Kuma Bar เปิดให้บริการตั้งแต่ 5 โมงเย็น – ตี 4 ใครอยากลอง Kuma Shochu สูตรพิเศษ มาลองดื่มกันได้ที่นี่
ระหว่างเห็น Haagen Dazs สัญชาติยุ่นเลยของลองชิมสักหน่อย ไอศครีมชาเชียวใส่โมจิและถั่วแดง ต้องที่นี่ทีเดียวเท่านั้น หน้าตาดีแถมรสชาติเยี่ยมอีกด้วย
มองไปทางไหนก็เห็นแต่พระเอกในวันนี้ของเรา 🙂
ขากลับแวะเข้าโรงแรมไปเก็บของ ผ่านด้านหน้าสถานี Kumamoto ฝั่งอาคารดั้งเดิม
เป็นสถานีตำรวจที่น่ารักที่สุดในโลกแล้วล่ะ ^^
ใครมองเห็น Toyoko-Inn บ้าง ตึกด้านหลังคือที่พักของเราในคืนนี้ครับ ใกล้กับสถานี ใกล้กับตัวเมือง เดินทางสะดวก ราคาไม่แพง หลังจากเดินสำรวจครบรอบบริเวณ ผมติดใจ Izakaya อยู่ร้านหนึ่งที่ตกแต่งได้น่ารักมาก ใครที่ชอบแนวสไตล์เรโทรโบราณย้อนยุค เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปสำรวจร้านนี้กันนะครับ