Story & Photo by Adisak
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกสู่ประเทศญี่ปุ่น จากการเป็นผู้โชคดีในกิจกรรม #เที่ยวโตเกียวไลท์ซีซั่นครั้งที่ 3 จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ ต้องขอบคุณเว็บไชต์ เที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม และ สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่เปิดโอกาสให้ได้สัมผัสการท่องเที่ยวในช่วงที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นช่วงหนึ่ง
การเดินทางครั้งนี้ ผมได้เดินทางกับสายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์ ที่อำนวยความสะดวกตลอดการบินจากสนามดอนเมืองสู่สนามบินนาริตะ การเดินทางใช้เวลา 6 ชั่วโมง 30 นาที ด้วยเที่ยวบินบิน XJ600 เป็นเครื่องบิน Airbus A330 ขนาดใหญ่ พร้อมบริการระดับมาตรฐาน ที่มีทั้งชั้นประหยัดจนถึงชั้นธุรกิจครับ
เปิดหน้าต่าง ขึ้นมา เป็นเวลา 10:10 นาที โดยอีกประมาณ 30 นาที เครื่องบินจะลงจอดที่สนามบินนาริตะ พนักงานต้อนรับจะนำใบตรวจคนเข้าเมืองและให้กรอกข้อมูล สำหรับคนที่เพิ่งเคยมาครั้งแรกอย่างผม แนะนำให้กรอกข้อมูลส่วนตัวและที่พักให้ครบถ้วนและชัดเจน
ภาพแรกจากสนามบินนาริตะ อากาศกำลังเย็นและมีฝนตกเล็กน้อยครับ จากนั้นก็ไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองของทางประเทศญี่ปุ่น ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ผ่านจะด่านตรวจคนเข้าเมือง
ผมเลือกใช้บริการของรถไฟ Skyliner โดยเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสุดจากสนามบินนาริตะ สู่สถานี Ueno โดยใช้เวลาประมาณ 40 นาที ครับ ซื้อพร้อมกับตั๋ว Tokyo Subway Ticket ก็จะยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก
เมื่อถึงสถานี Ueno ผมได้ไปที่พักเพื่อฝากกระเป๋าเดินทางก่อน ซึ่งที่พักผมเลือกพักแบบ Hostel ครับ จากสถานี Ueno ไปสถานี Asakusabashi การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินครั้งแรกในญี่ปุ่น วิธีการนั่งรถไฟใต้ดินของญึ่ปุ่นคือใช้ แอ็ปพลิเคชั่น Hyperdia เลือกสถานที่ที่จะไป ระบบจะคำนวณเส้นทางและระยะเวลารถไฟให้เราครับ ค่อนข้างสะดวกสำหรับมือใหม่หัดเที่ยวในโตเกียวและเมืองอื่นๆ
ที่พักคืนแรกที่ “Little Japan” ออกแนวสไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย ภายในที่พักมีห้องนั่งเล่นน่ารักๆ จากสถานี Asakusabashi เดินทางประมาณ 15 นาทีก็ถึงที่พัก หลังจากที่เช็คอินและฝากกระเป๋าแล้ว เราจะเดินทางไปที่ ห้าแยก Shibuya
มื้อแรกคือ “ขนมปลาไทยากิ” ข้างในเป็นไส้มันบด รสชาติออกหวานๆอร่อยดีครับ พิกัดร้านเดินออกจากสถานีใต้ดิน Asakusabashi เดินมาด้านซ้ายมือ ร้านจะอยู่ตรงหัวมุมของตึก ฝั่งตรงข้าม
จุดแรกที่ผมจะไปคือ ห้าแยกชิบุย่า ช่วงที่ผมไปตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี โดยอากาศวันนี้ค่อนข้างหนาว
บรรยากาศตอนกลางคืนในย่านชินจูกุ
เดินทางต่อมาที่สถานี Harajuku เพื่อมาหาร้านอาหารทาน เราเลือกทานที่ร้าน Jonetsu Horumon ซึ่งร้านนี้ขึ้นชื่อเมนูเนื้อวากิวเอห้า เป็นเกรดพรีเมียม รสชาติของวากิวนุ่มและมีกลิ่นของเนื้อติดปาก ทานควบคู่พร้อมกับเบียร์สดยี่ห้อ Asahi
ช่วงเช้าของวันที่ 2 เราเดินทางไปที่สถานีรถบัสชินจุกุ (Busta Shinjuku) เพื่อขึ้นรถบัสไปทะเลสาบ Kawaguchiko
จากที่พัก Asakusabashi ลงที่สถานี Kuramea นั่งเส้น Oedo Line เพื่อลงที่ สถานีรถไฟใต้ดินของชิจุกุ หมายเลข E01 ให้สังเกตป้าย “ Odakyu Ace South Area” เดินตามป้ายนี้เราจะมาโผล่ที่ทางออกฝั่งใต้ของสถานี โดยตรงข้ามจะเป็นสถานีรถบัสชินจุกุ
เมื่อถึงสถานีรถบัสให้เราเดินขึ้นไปที่ชั้น 4 ของตึกเพื่อทำการซื้อตั๋วรถบัส ราคาตั๋วโดยสารอยู่ที่ 1,750 เยนต่อเที่ยว การเดินทางโดยรถบัสเพื่อไปทะเลสาบ Kawaguchiko ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที
ถึงสถานี Kawaguchiko เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยผมเลือกเข้าที่พักเพื่อฝากกระเป๋าเดินทางก่อนเลย อุณหภูมิที่นี่อยู่ที่ ประมาณ 8 องศา แต่น่าเสียดายที่วันนี้มีฝนตกตลอดทั้งวัน
ที่พักผมเลือกเป็น K’s House Mt.Fuji ซึ่งคนไทยนิยมมาพักเพราะราคาที่ถูก และมีบริการเช่าจักรยานจากที่พัก เพื่อปั่นชมวิวรอบๆทะเลสาบ
หลังจากฝากกระเป๋าและเช่าจักรยานมาแล้ว เรามาเติมพลังก่อนปั่นชมเมืองและทะเลสาบ ที่ร้านราเมงเป็นร้านเล็กๆแต่ความอร่อยที่ไม่เล็กเลย ที่ร้านมีเมนูราเมง มิโซะราเมง ของทอด และสาเกทั้งแบบร้อนแบบเย็น ให้เลือกสั่งครับ มิโซะราเมงที่นี่เด็ดมากครับ
การปั่นจักรยานมาที่เจดีย์แดง Chureito Pagoda เป็นเส้นทางภายในเมืองผ่านจุดที่เป็นธรรมชาติ การปั่นมีทั้งขึ้นละลงเขา โดยจักรยานที่เช่ามามีเกียร์สปีดให้ปรับถึง 5 ระดับทำให้การปั่นสบายขึ้น ระยะจากที่พักไปเจดีย์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถปั่นมาถึงแล้ว
เจดีย์แดง Chureito Pagoda สวยสง่างามเด่น ตัดกับสีของต้นไม้รอบๆ ด้านล่างก่อนถึงเจดีย์จะมีศาลเจ้าเล็กๆให้ทำบุญละซื้อเครื่องรางของฝาก
มุมมหาชนที่ใครๆไปต่างต้องถ่ายในมุมนี้ ซึ่งอากาศในวันนี้มีฝนตกตลอดทั้งวันเป็นผลทำให้ไม่เห็นฟูจิซังในวันนี้..
หลังจากชมความสวยงามของเจดีย์แดงกันแล้ว ผมได้ปั่นกลับมาที่ทะเลสาบอีกครั้ง ทะเลสาบ Kawaguchiko เป็นทะเลสาบ 1 ใน 5 ทะเลสาบขนาดใหญ่ ที่อยู่รอบภูเขาไฟฟูจิ การปั่นจักรยานให้ครบรอบทะเลสาบนั้นใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนพร่ำตลอดเวลา จะมองเห็นหมอกสลับกับวิวภูเขาที่สวยงาม รอบๆทะเลสาบเราจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน ที่ใช้วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย..
ปั่นมาสักพักก็มาลองไอศกรีมมันม่วงถือเป็นไฮไลท์ของฤดูกาลนี้ครับ รสชาติออกกลิ่นมันม่วงหอมและหวาน
ปิดท้ายวันด้วยเมนูพิเศษพื้นเมืองที่มีชื่อว่า “Hou-Tou” เป็นเมนูที่คล้ายอูด้งแต่จะมีเส้นที่หนากว่า ส่วนประกอบหลักจะเป็นผัก ซึ่งในเมนูเราสามารถเลือกทานพร้อมเนื้อสัตว์ได้ รสชาติโดยรวมอร่อยดี ใครที่ชอบทานผักไม่ควรพลาดกับเมนูพื้นบ้านนี้เลยครับ..
เปิดโลกใหม่ๆกับการตื่นเช้า ท่ามกลางสภาพอากาศ ณ ตอนนี้ 5 องศา หนาวกว่าหลายๆวันที่ผ่านมา เช้านี้ผมต้องดื่มกาแฟร้อนๆสักแก้ว เพื่อคลายความหนาว ก่อนออกเดินทางพร้อมจักรยานคู่ใจ..
ภาพประทับใจแรก ครั้งแรกที่ตื่นเต้นมากๆกับการเผชิญหน้าฟูจิซังเป็นครั้งแรก ผมได้พบกับฟูจิซัง แบบสวมหมวกหิมะ ที่ทุกคนต่างเฝ้าชมความสวยงาม ผมจึงไม่พลาดเลยที่จะไปเก็บภาพความประทับแบบใกล้ๆในครั้งนี้
การปั่นจักรยานมาจุดที่สูงๆบนสะพานของทะเลสาบ Kawaguchiko คงเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมทำได้ไวกว่าจุดไหนๆ บอกได้เลยว่า ฟูจิซังนั้นสวยงามและอลังการมาก บวกกับสภาพอากาศที่เป็นใจ ทำให้ผมได้เห็นฟูจิซัง ได้เต็มลูกครับ
เพื่อนๆก็สามารถมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ได้ไม่ยาก โดยเช็ควันเวลาที่เดินทาง พร้อมเช็คสภาพอากาศ ในวันที่เราจะเดินทางมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ครับ การปั่นจักรยานชมความสวยงามรอบๆทะเลสาบ ถือเป็นกิจกรรมยอดฮิตของนักท่องเที่ยว หรือการล่องเรือเพื่อชมทัศนียภาพรอบๆทะเลสาบ ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เราสามารถสัมผัสธรรมชาติของทะเลสาบ Kawaguchiko กับภูเขาไฟฟูจิได้อย่างลงตัว..
จากจุดชมวิวบนสะพาน ปั่นมาทางจุดชมวิวมุมสูงชื่อ “คาจิคาจิ” ขึ้นกระเช้า Mt.Fuji Panoramic Ropeway ซึ่งกระเช้าจะออกทุกๆ 10 นาที เราสามารถฝากจักรยานไว้ด้านข้างและเดินขึ้นไปซื้อตั๋วกับตู้อัตโนมัติได้ ซึ่งมีเมนูภาษาไทยด้วยนะ สะดวกมากครับ
ค่าบริการ ไป-กลับ ราคา 720 เยน เที่ยวเดียว 410 เยน โดยจะเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมทุกวัน
(มีนาคม-พฤศจิกายน ช่วงเวลา 09:00-16:40 และเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ช่วงเวลา 09:30-16:40)
สัญญลักษณ์ของที่จุดชมวิวนี้จะเป็นรูปปั้นกระต่ายกับตัวทานูกิ ตั้งอยู่หลายหลากท่าทาง หน้าลานจะมีระฆังรูปหัวใจให้สั่นและขอพรอธิฐานเรื่องความรัก.. จุดชมวิวด้านบนสุดเราสามารถมองเห็นวิวทั้งหมดของทะเลสาบ Kawaguchiko และอีกด้านก็สามารถมองเห็นสวนสนุก Fuji Q Hiland ได้เช่นกันครับ.. อากาศหนาวๆสั่งขนมดังโงะร้อนทาน พร้อมกับมองวิวเพลินๆก่อนลงจากจุดชมวิว นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยหนาตามากนัก ทำให้จุดวิวนี้มีความเงียบสงบ
ได้เวลาเดินทางกลับ จากสถานี Kawaguchiko ซื้อตั๋วรถบัสเดินทางกลับโตเกียว 1 เที่ยว ราคา 1,800 เยน โดยใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงครับ
มาถึงแล้ว ผมมีแผนที่จะแลกตั๋วเดินทาง All 4 Day Nikko Pass สำหรับเดินทางต่อไปที่เมืองนิคโก้ในตอนเช้าของพรุ่งนี้กันครับ
เมื่อถึงสถานีโตเกียว เดินออกมาทางด้านขวาฝั่งตะวันออก เดินข้ามถนนมาจะเห็นทางลงของสถานีใต้ดิน ผมเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินขึ้นจากสถานี Nihombashi ไปยังสถานี Asakusa พอถึงสถานีให้ใช้ทางออก A4-A5 ทางไปวัดอาซากุสะ (Sensoji Temple)
เมื่อถึงถนนให้เดินทางไปที่สถานีรถไฟ Tobu – Asakusa (จุดสังเกตของสถานีคือป้ายไฟเขียนว่า “EKIMISE” หรือ ถ้าคุณมองเห็น “Tokyo Sky Tree” ก็แปลว่าคุณได้มาถูกทางแล้วครับ โดยจุดแลกจะอยู่ชั้นแรกสังเกตป้ายสีน้ำเงิน “Tobu Tourist Information Center Tobu – Asakusa” เราสามารถซื้อตั๋วและแลกตั๋วได้จากจุดนี้ครับ
ผมได้แลกตั๋วแบบ All 4 Day Nikko Pass สามารถนั่งรถบัสเที่ยวได้ทั้งโซนมรดกโลกและโซนธรรมชาติถึง 4 วัน ผมได้เลือกซื้อตั๋วแบบรถไฟ Limited Express Revaty ซึ่งเป็นรถไฟความไวสูงและถึงเมืองนิคโก้ เร็วกว่ารถไฟรอบปกติ 1 ชั่วโมง โดยถ้าเรามี พาสนี้จะได้รับส่วนลด จากราคาเต็ม 1,440 เยน เหลือแค่ 1,160 เยน เท่านั้น
จากแลกตั๋วเดินทางเสร็จผมได้เข้าที่พัก Hotel 3000 Asakusa honten ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานี Tobu – Asakusa มากนัก ซึ่งที่พักผมใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งซื้อของฝาก
จากสถานีใต้ดิน Asakusa ผมได้เดินทางมาที่ Akihabara ซึ่งที่นี้เป็นแหล่งรวมเครื่องไฟฟ้า เกมส์ ของสะสม ขนาดใหญ่ของโตเกียว จุดที่น่าสนใจจะเป็นของสะสมที่หาซื้อยาก และคาเฟ่อะนิเมะที่ทำให้คุณหลงใหลไปกับสิ่งนี้
มื้อค่ำเบาๆ ขนมไส้ครีมด้านบนเป็นเกร็ดน้ำตาล กับชาเขียวมัทฉะแท้ๆจากร้าน “Brioche Doree”
กลับมาที่สถานี Asakusa เพื่อมาเดินเก็บบรรยากาศของวัด Sensoji หรือวัด Asakusa ครับ สำหรับคนที่หลบนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเช้า เวลาในช่วงเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการถ่ายรูปในบริเวณวัด
เดินถัดมาเรื่อยๆจะมีร้านฝากของอย่าง ดองกี้ ซึ่งสามารถเลือกช้อปปิ้งกันได้ตลอด 24 ชั่วโมงเลย..
ตอนเช้าช่วงเวลาตี 5 ครึ่ง ออกเดินทางจากที่พักเดินไปที่สถานีTobu – Asakusa เพื่อขึ้นรถไฟด่วนพิเศษ Revalty ซึ่งจะนำเราไปสู่เมืองนิคโก้ โดยผมเลือกเป็นเที่ยวแรก ออกเวลา 6:30 น.และจะถึงสถานี Tobu – Nikko ในเวลา 8.22 น.
ภายในห้องโดยสารรถไฟระบุที่นั่ง ให้เรานั่งตามเลขที่นั่งที่ระบุบนตั๋วเดินทาง โดยเหนือที่นั่งของเราจะมีที่ให้เก็บกระเป๋าและสัมภาระ ในขบวนรถไฟจะมีบริการอาหารและเครื่องดื่มจำหน่าย พอออกจากเมืองโตเกียวได้ไม่นานเราก็จะได้เห็นบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่น แบบเรียบง่าย ทุ่งนาสีเขียวชุ่ม นั่งชมวิวเพลินๆได้สักพักหนึ่งก็ถึงสถานี Tobu – Nikko ตามเวลาของตั๋วเดินทาง..
เมืองนิกโก้ (Nikko) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดโทจิงิ (Tochigi) มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สมบูรณ์และเป็นเมืองมรดกโลกทำให้ไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวต่างพากันมาสัมผัส เมื่อผมเดินออกจากสถานี Tobu – Nikko ด้านหน้าของสถานีจะมีป้ายบอกเส้นทางของรถบัสและแผนที่ของเมือง
บรรยากาศของเมืองมีอากาศที่หนาวกำลังดี รอบๆเมืองโอบล้อมด้วยภูเขา จากนั้นผมได้นำกระเป๋าเดินทางไปฝากที่พัก The Nikko Park Lodge Tobu station ซึ่งที่พักที่ผมเลือก อยู่ตรงข้ามสถานี Tobu Nikko ประมาณ 300 เมตร เท่านั้น ทำให้การเดินทางไปต่อสายรถบัสสะดวกและเร็วขึ้น
จุดแรกที่ผมจะไปคือ ป้ายที่ 45 Kohammae โดยนั่งรสบัสสาย A2 (Nikko – Yumoto Onsen) การขึ้นลงรถบัสให้เรายื่นตั๋วโดยสารโชว์กับพนักงานขับรถ โดยตั๋วโดยสารที่ใช้เป็นแบบ All 4 Day Nikko Pass สามารถนั่งรถได้ทั้งโซนมรดกโลกและโซนธรรมชาติ
ป้ายที่ 45 Kohammae ลงเดินมาเราจะเห็นทุ่งดอกหญ้าสีทองตัดทะเลสาบ Yunoko โดยวิวทิวทัศน์รอบๆจะเป็นภูเขาที่ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนสีไปบ้างแล้วเป็นบางส่วน
ต้นเมเปิลโดยรอบๆจุดนี้จะเปลี่ยนใบสีแดงสวยอย่างเห็นได้ชัดเจน ดูดึงดูสายตานักท่องเที่ยวให้ต้องลงมาถ่ายรูป จุดนี้เดินไม่ไกลจากยูโมโตะสปาครับ
ป้ายที่ 37 Ryuzu no taki สำหรับป้ายนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ครับ น้ำตก Ryuzu ตั้งอยู่บนแม่น้ำยูคาวะ (Yukawa River) เป็นน้ำตกที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากๆ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาเก็บความสวยงามของสายน้ำตกที่ทอดยาว โดยบริเวณรอบๆทางเดินขึ้นน้ำตก จะมีจุดให้ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เริ่มแดงสะพรั่ง
ป้ายที่ 28 Funenoeki Chuzenji โดยป้ายนี้เราจะเดินขึ้นไปบนสะพานเพื่อชมทะเลสาบ Chuzenji และภูเขารอบๆ ช่วงเย็นนักท่องเที่ยวจะน้อยมาก สภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้ผมได้สัมผัสถึงความสงบที่โอบล้อมด้วยภูเขา ประสานกับกลุ่มเมฆหมอก ประมาณ 5 โมงเย็นของที่นี่ก็ค่ำแล้ว
เช้าของการเดินทางวันที่ 5 ผมเดินทางมาที่โซนมรดกโลก ในวันนี้จะมีกิจกรรมงานประจำปีของเมืองนิกโก้ โดยจัดขึ้นที่ศาลเจ้าโทโชกุ ทุกวันที่ 17 เดือนพฤษภาคม และ วันที่ 17 เดือนตุลาคม ของทุกปี
กิจกรรมเราสามารถเข้าร่วมได้ตลอดทั้งเวลา ช่วง 10 โมงเช้าจะมีการเดินแห่ ขนวบซามูไร จำนวน 1000 คน ที่ผสมผสานกับวัฒนธรรมร่วมสมัยทำให้การโชว์ครั้งนี้ดูตื่นตาตื่นใจกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ด้วยความสง่างามของขนวบม้าซามูไร ทำให้กิจกรรมนี้เป็นไฮไลท์ของวันนี้..
พิธีการแห่ขบวนในช่วงแรกจะมาสิ้นสุดที่ศาลเจ้าโทโชกุ ซึ่งเต็มไปด้วยคนญี่ปุ่นท้องถิ่นจำนวนมากเข้าร่วมงาน โดยพิธีกรรมนี้เป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อรำลึกถึงโชกุนชื่อดังอย่าง “โชกุนโทกุงาวะ อิเอมิตสึ” ซึ่งเป็นโชกุนคนแรกในยุคเอโดะ
จากงานพิธีช่วงเช้าไปกันต่อที่โซนด้านในจะเป็นวิหารหลัก และวิหารรองของศาลเจ้าโทโชกุ มีค่าผ่านประตู คนละ 1,300 เยน ภายในจะมีเจดีย์สีแดงชั้น 5 ที่แกะสลักด้วย 12 นักษัตร
จุดต่อมาเป็นอาคารขนาดเล็กชั้นเดียว มีงานแกะสลักรูปลิง 3 ตัว โดยมีอิริยาบถ ปิดหู ปิดตา และปิดปาก โดยมีความหมายว่า การไม่ฟัง ไม่ดู และไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี
ภายในจะมีวิหารหลักและวิหารรอง เราสามารถเข้าชมได้โดยภายในวิหารรองจะมีเจ้าหน้าที่ แนะนำสถานที่และความเป็นมาของวิหาร โดยวิหารทั้งสองนั้นสร้างเพื่ออุทิศให้ดวงวิญญาณของโชกุนโทกุงาวะ ตัวอาคารที่มีการบูรณะทำให้คงสภาพของเดิม ผสมผสามกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยซึ่งสะท้อนให้เราเห็นถึงความรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีต
ป้ายที่ 24 Akechidaira Ropeway ป้ายนี้เราสามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมวิวจากมุมสูงได้ วิวด้านบนจะเห็นน้ำตก Kegon และทิวทัศนภูเขาที่อลังการของสถานที่แห่งนี้
กระเช้าลอยฟ้าเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น.
ค่าขึ้นกระเช้าแบบไป-กลับ ราคา 730 เยน ในแต่ละรอบจะมีเวลาให้เราได้ชมวิวประมาณ 20 – 30 นาที
เช้าวันสุดท้ายของการเดินทาง ท้องฟ้าในเมืองนิกโก้เปิด แดดออกตั้งแต่ก้าวเดินออกจากที่พัก วันนี้เปลี่ยนจากการนั่งรถประจำทางมาเดินเล่นชมเมือง ชมวิถีชีวิตของผู้คนภายในเมือง จากสถานีโทบุนิกโก้ เดินไปที่จุดชมวิว
ป้ายที่ 7 Shinkyo Bridge สะพานชินเคียว เป็น 1 ใน 3 สะพานที่ติดอันดับมีความสวยงามที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ผมเลือกซื้อตั๋วเข้าชมบนสะพาน ราคา 300 เยน
เปิดให้บริการช่วงเวลา 8:00 – 17:00 น. (เดือนเมษายน – กันยายน )
เวลา 8:00 – 16:00 น. (เดือนตุลาคม – กลางเดือนพฤศจิกายน)
เวลา 9:00 – 16:00 น. (เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม)
ภายในสุสานอิเอะมิสุ (Taiyuin) เราสามารถเข้าสักการะ โดยภายในของสุสานจะมีเครื่องประดับ วัตถุโบราณ เสื้อชุดเกราะโชกุนอายุร่วม 400 ปี ภายในจะไม่เน้นความหรูหรามาก ด้วยความแก่เก่าของสถานที่มีการบูรณะเรื่อยๆเพื่อคงสภาพของสุสานให้สวยงาม ผนังภายนอกของสุสานจะแกะสลักลวดลาย บงบอกถึงความเจริญรุ่งเรือง และให้เกียรติแก่ดวงวิญญาณของโชกุน
ช่วงเวลาใบไม้เปลี่ยนถือเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวได้ตื่นเต้นกับธรรมชาติของญี่ปุ่น ในเมืองนิกโก้ได้อย่างแท้จริง ผมเชื่อว่าในการเดินทางมาเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีนี้ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งทางของนักเดินทางที่ต้องการ เห็นความสมบูรณ์ของธรรมชาติ ความสงบ และดื่มด่ำกับอาหารญี่ปุ่นที่หลากหลาย
จากโซนวัดมรดกโลกเดินกลับมาตามทางไปสถานี Tobu-Nikko มีร้านคาเฟ่เล็กๆ ภายในร้านตกแต่งด้วยงานฝีมือพื้นบ้าน ถ้วยชาม เซรามิก ของฝากเก๋ๆ ผมนั่งที่ร้านและสั่งเมนูขนมหวาน เป็นซิกเนเจอร์ของทางร้าน ซึ่งทางร้านแนะนำบอกเป็นขนมเฮลตี้ เมนูนี้เป็นพุดดิ้ง มีถั่วแดง ไอศกรีม เสริฟพร้อมกับน้ำชาเขียวร้อน
จากมื้อนี้แล้วเราจะเดินทางกลับโตเกียวด้วยรถไฟความเร็วสูง ต่อรถไฟความเร็วสูง Skyliner สู่สนามบินนาริตะ และบินจากสนามบินนาริตะกลับกรุงเทพ-ดอนเมืองด้วย สายการบินไทยแอร์เอเชียเอ็กซ์
ความประทับใจจากการเดินทางในโตเกียว ทะเลสาบคาวากุจิโกะ และเมืองนิกโก้ ในช่วงต้นของใบไม้เปลียนสีครั้งนี้ ทำให้เราได้สัมผัสกับกิจกรรม วัฒนธรรมญี่ปุ่น การใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่น อาหารพื้นบ้านญี่ปุ่นที่มีให้เลือกทานที่หลากหลายมีรสชาติที่ถูกปากนักท่องเที่ยว และธรรมชาติที่สมบูรณ์สร้างความสวยงามมาให้นักท่องเที่ยวได้หลงรักในช่วงเวลาที่ดีช่วงนี้..
เสน่ห์อีกอย่างของการเดินทางประเทศญี่ปุ่นคนเดียว คือการได้วางแผนการเดินทาง ความสนุกของการเดินทางที่เราไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำเลยว่าวันนี้จะออกมาในรูปแบบไหน โดยการเลือกพักแบบ Hostel นอนรวมก็เหมือนกับการเปิดโลกกว้างได้อยู่กับคนแปลกหน้า ทั้งชายและหญิง ต่างภาษา ต่างวัย ต่างวัฒนธรรม แต่เราสามารถเรียนรู้การสื่อสารได้ด้วยบทสนทนาที่ดูเรียบง่า และเข้าใจกันได้ การพูดคุยทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางความคิด รสชาติของอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไป รสนิยม และการได้เพื่อนใหม่ในทุกๆค่ำคืน
การเดินทางคือการค้นหาตัวตนอีกด้านหนึ่งของเรา นี่แหละคือความสุขเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในทุกๆก้าวของการเดินทาง.. ณ ที่แห่งนี้ ประเทศญี่ปุ่น..แล้วพบกันใหม่นะ