จังหวัดโคจิ มีอาณาบริเวณเกือบครึ่งท่อนล่างของเกาะชิโกกุ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และมีประวัติศาสตร์อันเข้มข้น ที่เป็นต้นกำเนิดของบุคคลสำคัญในอดีตจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมและสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบัน มีคุณค่าในฐานะมรดกทางประวัติศาสตร์ สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ทั่วทั้งจังหวัด
เข้าสู่เว็บไซต์ภาษาไทยได้ที่นี่ >> VISIT KOCHI JAPAN
ในตอนที่แล้วได้พาทำความรู้จักสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในตัวเมืองโคจิกันไปแล้ว สำหรับรีวิวตอนนี้จะพาเดินทางออกไปเที่ยวนอกตัวเมืองกันบ้าง ซึ่งแนะนำว่า ควรเช่ารถขับจะสะดวกที่สุด และไม่ต้องกลัวว่าจะหลง เนื่องจากเส้นทางเดินรถไม่ซับซ้อน และเข้าถึงสถานที่เที่ยวต่างๆได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับผู้ที่เดินทางด้วยรถไฟ ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะภายในจังหวัดโคจิเอง มีรถไฟของ JR จอดตามสถานีหลักที่อยู่ในเส้นทางท่องเที่ยวด้วยเหมือนกัน มีเพียงบางแห่งที่ถ้าอยากเข้าสัมผัสวิถีชีวิตของชาวโคจิอย่างลึกซึ้งก็ต้องพึ่งรถบัสหรือรถแท๊กซี่บ้างครับ
อ่านรีวิวตอนแรกที่นี่ >> Shikoku: สัมผัสเสน่ห์ญี่ปุ่นท้องถิ่น ที่จังหวัดโคจิ ตอน 1 : ตัวเมืองโคจิ
โคจิเป็นศูนย์การผลิตของผลไม้ตระกูลส้ม โดยเฉพาะส้มยูซุ ที่มีผลผลิตปริมาณมากที่สุด เป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังมีมะนาวบุชชุกังที่นิยมใช้ในปรุงอาหารอีกด้วย ด้วยสภาพอากาศของจังหวัดโคจิที่มีความแตกต่างกันสูง มีทั้งร้อนและหนาว ทำให้ผลไม้ที่ปลูกมีคุณภาพและรสชาติดี จึงเป็นแหล่งปลูก กระจายไปขายทั่วญี่ปุ่น และยังมีการส่งออกส้มยูซุไปยังตลาดต่างประเทศอีกด้วย
ถ้าได้เดินทางมายังจังหวัดโคจิ จะสามารถเดินทางไปยังสวนผลไม้ต่างๆเพื่อสนุกกับการเก็บผลไม้ได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะส้มยูซุ ที่จะเก็บเกี่ยวได้ปีละครั้ง ช่วงปลายเดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายนเท่านั้น และในครั้งนี้เราได้เดินทางมาตรงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวพอดี จึงได้เดินทางไปยังหมู่บ้านคิตะกะวะ (Kitagawa-mura) เพื่อชมสวนแหล่งแหล่งผลิตส้มยูซุที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดครับ
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Nahari โดยสารรถบัสท้องถิ่นหรือรถแท๊กซี่
อาหารขึ้นชื่อของจังหวัดโคจิ นอกจากปลาคัตสึโอะแล้ว ยังมีผักภูเขาที่มีรสสัมผัสกรุบกรอบและหนึบหนับ ไม่ว่าจะเป็น หน่อไม้ชิโฮจิคุ หรือผักอิตะโดริ และอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าเป็นวัตุดิบที่ใช้ปรุงอาหารจานหลักของชาวเมืองโคจิกันเลย ทั้งนำไปต้ม หรือนำไปทอดเป็นเทมปุระ และที่แปลกสุดๆก็คือนำมาทำเป็นหน้าวางบนซูชิแทนปลา เรียกว่า อินะกะซูชิ (Inaka Sushi) หรือแปลตรงตัวว่า ซูชิบ้านนอก
โดยจะใช้น้ำส้มสายชูที่หมักจากส้มยูซุ มาผสมลงในข้าวซูชิ จนออกรสชาติเปรี้ยวและหอมกลิ่นส้มยูซุ นำมาปั้นเป็นก้อนและโปะหน้าด้วยผักภูเขาต่างๆ อาทิ หน่อไม้ หัวมัน เห็ดหอม ขิงญี่ปุ่น มีสีสันสวยงาม หน้าตาน่ารับประทาน
อาหารเครื่องเคียงอื่นๆ ล้วนทำมาจากผักภูเขา รสชาติหวานอร่อย แถมมีคุณประโยชน์สูง
เยลลี่ส้มยูซุที่ใส่ในผลเลย ทั้งหอมและสดอร่อยมาก
ถ่ายกับคุณป้าที่น่ารักทั้งสามที่เข้าครัวทำอาหารพื้นบ้านแสนอร่อยให้พวกเราทาน
พร้อมเดินทางต่อไปจุดหมายต่อไป
แวะชมวิวระหว่างทางขากลับ ตลอดเส้นทางขับรถจะเป็นถนนตัดเรียบชายฝั่ง ก็จะทำให้ได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ตลอดระยะทาง
ระหว่างทาง แวะพักที่ร้านคาเฟ่น่ารักๆริมทะเลที่ร้าน คาเซะโคโบ (Kazekobo) ร้านนี้จะเน้นไปที่ขนมเค้กต่างๆ ที่ใช้ผลไม้ตามฤดูกาล และมีเมนูประจำของทางร้านที่มาแล้วต้องลองก็คือ เค้กสตรอเบอร์รี่ และ ซอฟท์ครีมสตรอเบอร์รี่ เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> KAZEKOBO (ภาษาญี่ปุ่น)
บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นเป็นกันเอง มีกระจกบานใหญ่ ไว้สำหรับนั่งชมวิวด้านนอกได้อย่างเต็มอิ่ม
และแล้วก็ได้ลองเมนูชื่อดังทั้งสอง และสั่งเพิ่มช้อตเค้กหน้าผลไม้ด้วย
สำหรับใครที่ชอบแช่ออนเซ็น ที่เมืองนี้มีให้บริการบ่อน้ำพุร้อนเช่นกัน
เมืองต่อไปที่เราแวะมาเที่ยวกันคือ เมืองคุเระ (Kure) มีสถานีรถไฟหลักประจำเมืองชื่อว่า สถานีโทสะคุเระ (Tosakure)
สถานีเล็กๆน่ารัก สามารถใช้บริการแท๊กซี่ให้ขับพาเที่ยวรอบๆได้
เมืองคุเระ (Kure) เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการตกปลาคัตสึโอะ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของกระแสน้ำอุ่นคุโรชิโอะไหลผ่าน มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี และยังคงกลิ่นอายในวันวาน ให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสกัน
สถานที่ที่ถ้ามาที่เมืองนี้แล้ว ไม่แวะมาไม่ได้ นั่นก็คือ ตลาดเมืองคุเระไทโช (Kure Taishomachi Ichiba) เป็นย่านการค้าเก่าแก่ และเป็นห้องครัวประจำเมือง อยู่คู่กับชาวเมืองมานานนับร้อยปี โดยในตรอกเล็กๆที่เรียงรายด้วยร้านค้าและแผงลอย ชาวบ้านจะนำอาหารทะเลสดๆมาให้เลือกซื้อกันแต่เช้า จะเลือกทานอาหารทะเลสดแบบทั้งตัว ไปปรุงเองที่บ้าน หรือเลือกซื้อแบบแบ่งขาย และทานเป็นซาชิมิสดๆในตลาดก็ได้เช่นกัน
เวลาทำการ :ไม่มีวันหยุดนอกเหนือจากช่วงหยุดขึ้นปีใหม่ (1-3 ม.ค.)
การเดินทาง: จากสถานี Tosakure เดินประมาณ 7 นาที
เมื่อเลือกปลาที่ต้องการได้แล้ว สามารถแจ้งพ่อค้าแม่ค้าว่าเราจะนั่งทานที่ร้าน ซึ่งจะมีมุมสำหรับให้นั่งทานได้อย่างสะดวกสบาย พร้อมทั้งบริการข้าวสวยและซุปมิโสะร้อนๆให้อีกด้วย และเมนูยอดนิยมคือ ข้าวหน้ารวมมิตรทะเล (คุเระด้ง) ที่อัดแน่นไปด้วยความสดใหม่ของอาหารทะเลที่มีให้เลือกได้ตามความชอบ หรือถ้าใครไม่ชอบทานปลาดิบจะให้ทางร้านย่างให้สุกก็ได้เช่นกัน
ในตัวเมืองเป็นที่ตั้งของ ศาลเจ้าคุเระฮาจิมังกู (Kure Hachimangu) ที่ชาวบ้านนับถือ
แผนที่เดินเที่ยว และเส้นทางเดินรถ ในตัวเมืองคุเระแบบง่ายๆ
นอกจากนี้ โคจิ ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของเหล้าสาเกท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีรสชาติกลมกล่อมและไม่หวาน เมื่อกลืนลงคอแล้วไม่มีรสติดค้าง ภายในจังหวัดมีโรงบ่มสาเกอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีวิธีการผลิตเหล้าสาเกที่คงลักษณะ กรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ และความพิถีพิถันในการคัดสรรน้ำจากพื้นที่ต่างๆ ข้าวโคจิ ยีสต์ ข้าวสาร ไปจนถึงการบรรจุขวด
นอกจากนี้ ยังสามารถไปทัศนศึกษาอาคารที่มีความน่าสนใจทางประวัติศาสตร์อย่างเช่น โรงบ่มสาเกกำแพงขาว และอื่นๆ ที่ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน และยังสามารถชิมสาเกได้อีกด้วย ดูรายชื่อโรงกลั่นเหล้าทั้งหมด >> ที่นี่
(ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์การท่องเที่ยวโคจิ)
โรงกลั่นเหล้านิชิโอะกะ (Nishioka Sake Brewing) เป็นโรงกลั่นเหล้าเก่าแก่ของจังหวัด มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 230 ปี ตั้งแต่รุ่นแรก ทสึทสึยะ นิสุเกะก่อตั้งในปีแรกของปีเท็นเม (ปีค.ศ. 1781) ในสมัยเอโดะ จนถึงรุ่นที่ 10 ในปัจจุบัน
หาเลือกซื้อสาเก เหล้าบ๊วย คุณภาพดี ได้ในราคาไม่แพง
หลังจากนั้นเราเดินทางด้วยรถไฟต่อไปที่สถานี Tosa-saga เพื่อไปยังหมู่บ้านประมง ที่เราจะพักในคืนนี้
บรรยากาศระหว่างทาง ช่างสงบเงียบ
สถานี Tosa-saga สถานีหลักของเมืองซากะ (Saga) เมืองแห่งปลาคัตสึโอะ
การเข้าพักในในบ้านพักคนญี่ปุ่นในต่างจังหวัด นอกจากจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้านแล้ว ยังประหยัดกว่าพักในโรงแรม ที่พักแบบโฮมเสตย์ จะเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000 เยน โดยราคานี้รวมอาหารเย็นและอาหารเช้า แบบเกินคุ้ม เรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างของประสบการณ์สุดพิเศษแบบนี้
คุณลุงคุณป้าเจ้าของบ้านจะให้เรียกพวกเค้าว่า โอก้าซัง (คุณแม่) หรือ โอโต้ซัง (คุณพ่อ) เพื่อความเป็นกันเองเสมือนคนในครอบครัว พวกเค้าจะต้อนรับเราอย่างดี เหมือนกับเราเป็นลูกเป็นหลานยังไงยังงั้นเลย จึงทำให้การเข้าพักในแต่ละคืน เหมือนกับได้กลับมาเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ที่ไม่ได้เจอกันนาน โอก้าซังบอกว่า ที่เค้าเปิดบ้านไม่ใช่เพราะว่าอยากได้เงิน แต่เป็นเพราะพวกเค้าแก่แล้ว อยู่กันสองคนสามีภรรยา การที่ได้พบปะผู้คน สร้างมิตรสัมพันธ์ใหม่ๆ ก็เป็นความสุขในช่วงบั้นปลายของเค้านั่นเอง
ถ้าบ้านไหนในหมู่บ้านมีธงปั
บรรยากาศภายในบ้าน เรียบง่าย อบอุ่น รู้สึกอิ่มใจ เหมือนได้กลับบ้านเกิดที่ต่างจังหวัดของตัวเอง
ประสบการ์ณสุดพิเศษสำหรับค่ำคืนนี้คือการย่างปลาคัทสึโอะ ซึ่งก่อนอื่น โอโต้ซังจะนำปลาคัทสึโอะตัวใหญ่ทั้งหนาทั้งแน่น ที่เลือกมาอย่างดี สำหรับการปรุงอาหารมื้อเย็นวันนี้ จัดการแล่ให้เราดู และให้เราได้ลองสัมผัสความรู้สึกตอนที่มีดคมๆ ผ่าเข้าไปในเนื้อแน่นๆของเจ้าปลาอีกด้วย
หลังจากแบ่งชิ้นเนื้ออกจากกระดูกเป็นชิ้นใหญ่ๆแล้ว ก็เข้าสุ่กระบวนการย่างที่ใช้ฟางเป็นเชื้อเพลิง
ผิวด้านนอกสุกพอประมาณ ก็ได้เวลาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ วางเรียงลงในจานแล้ว น่าอร่อยสุดๆ
พอกลับเข้ามาอาหารก็พร้อมทาน วางเตรียมไว้เต็มโต้ะแล้ว
อาหารฝีมือของโอก้าซังคนเดียว เต็มที่ทุกอย่าง ประทับใจมากๆ
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเข้านอน ขัดการปูเตียงฟูตองนอนไว้เรียบร้อย
ตื่นมาก็มีโอก้าซังทำอาหารเช้าแสนอร่อยให้ทาน ช่างอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านตัวเองจริงๆ
ถ่ายกับ โอโต้ซัง และ โอก้าซัง เจ้าของบ้าน Miyamaru
บ้านพักชาวประมงมิยามารุ (Miyamaru)
ทางโทรศัพท์ +81-880-43-4915 หรืออีเมลไปที่ >> mato@sunabi.com
แม่น้ำชิมันโตะ (Shimantogawa 四万十川) แม่น้ำที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่นด้วยระยะทาง 196 กิโลเมตร ได้รับการขนานนามว่าเป็น “แม่น้ำที่ใสบริสุทธิ์สายสุดท้ายของญี่ปุ่น” เนื่องจากจังหวัดนี้ไม่มีเขื่อน จึงเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่เชื่อมโยงกับชาวบ้านที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน
และการจะดื่มดำบรรยากาศได้ดีที่สุดก็คือ การนั่งเรือชมวิว Yagatabune 屋形船 คอร์สประมาณ 1 ชั่วโมง ราคาคนละ 2,000 เยน มีหลายเจ้าให้บริการ ส่วนเรือที่แอดมาขึ้นครั้งนี้เป็นของ Nattoku なっとく เข้าดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> NATTOKU
อยู่ไกลแค่ไหน สัญญาณไวไฟก็แรงดีไม่มีตก ไม่ต้องเป็นห่วงว่ามาต่างจังหวัดแล้วความเจริญจะเข้าไม่ถึง
ตลอดทางแม่น้ำสายนี้ จะมีสะพานที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ คือ สะพานจิงกะ (Chinkabashi 沈下橋) หรือสะพานจมน้ำ ที่ออกแบบให้ไม่มีราวกั้น เนื่องจากเวลาน้ำขึ้น จะขึ้นสูงกว่า 5-6 เมตรท่วมสะพานจนมิด การที่ไม่มีราวกั้นจะช่วยทำให้สะพานไม่พังเสียหายนั่นเอง และมีสะพานลักษณะนี้ จำนวนทั้งหมด 47 แห่งตลอดทาง ทางจังหวัดได้อนุรักษ์ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมประจำชาติ โดยสะพานจิงกะที่เมืองซาดะ มีความยาว 291.6 เมตร เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในบริเวณสุดปลายน้ำของแม่น้ำชิมันโตะ
แวะทานอาหารกลางวันที่ ร้าน Shaenjiri เป็นอาหารพื้นเมือง เน้นวัตถุดิบท้องถิ่น แบบตักกินเป็นบุฟเฟ่ต์
รถบัสนำเที่ยวบริเวณแม่น้ำชิมันโตะ
แวะพักระหว่างทางที่ Michi no eki – Shimanto Towa 道の駅四万十とおわ
ชิมซอฟท์ครีมรสคุริหรือเกาลัด รสชาติกลางๆ หวานน้อย หอมเกาลัด
ด้านหลังสามารถชมวิวได้แบบนี้ บรรยากาศดีสุดๆครับ
ด้นหลังเป็นที่ตั้งของคาเฟ่เล็กๆ Ocha Kuri Cafe แต่ได้ชมวิวสุดยิ่งใหญ่ของแม่น้ำชิมันโตะและขุนเขา
พิพิธภัณฑ์ของสะสมไคโยโด ชิมันโตะ (Kaiyodo Hobby Museum Shimanto) เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีไอเดียแหวกแนวที่ ตั้งอยู่ในเขตอุทสึอิงาวะ เมืองชิมันโตะ ที่นำโรงยิมของโรงเรียนประถมมาบูรณะใหม่ ให้กลายเป็นแหล่งรวมของสะสมและประวัติศาสตร์ของบริษัทไคโยโด ที่เป็นผู้ผลิตโมเดลรูปแบบต่างๆ เช่น หุ่นฟิเกอร์ หุ่นที่หล่อด้วยเรซิน เป็นต้น ที่รวบรวมและจัดแสดงโมเดลต้นแบบและของหายากไว้มากมาย เข้าสู่เว็บไซต์ >> HOBBYKAN
เวลาทำการ :10.00 – 18.00 น. (มี.ค. – ต.ค.) 10.00 – 17.00 น. (พ.ย. – ก.พ.)
ค่าเข้าชม: 800 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Utsuigawa โดยสารรถแท๊กซี่
และปิดท้ายวันด้วยการเดินเที่ยว เมืองซาคะวะ (Sakawa machi) เมืองโบราณที่คงสภาพตั้งแต่สมัยเอโดะไว้เป็นอย่างดี
ปิดท้ายทริปโคจิอันแสนประทับใจ ถ้าใครที่มองหาความสงบเงียบ และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเมือง แนะนำให้มาเที่ยวที่จังหวัดนี้กันนะครับ