ช่วงนี้ที่เมืองไทยคงจะก้าวเข้าสู่ฤดูฝนกันอย่างชุ่มฉ่ำ ส่วนที่ญี่ปุ่นเอง ช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ชาวญี่ปุ่นต่างออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านกันมากมาย
กิจกรรมยอดฮิตในช่วงนี้คงจะเป็นการออกไปชมดอกไม้สวยๆ ที่พร้อมใจกันเบ่งบานอวดสีสันสวยงามกันอย่างเต็มที่
รอบนี้เราตั้งใจมาท่องเที่ยวกันในภูมิภาคคันไซ เริ่มต้นจากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินคันไซ แล้วเดินทางต่อไปเที่ยวที่เมืองหลวงเก่าอย่างเกียวโต อีกเมืองที่เราตกหลุมรัก มากี่ครั้งก็ยังคิดถึงสถานที่คุ้นเคย หากิจกรรมเบาๆสไตล์เรา เดินเล่นย่านเมืองเก่า แล้วหาคาเฟ่นั่งชิลล์ ตกเย็นไปทอดอารมณ์พักสมองที่ริมแม่น้ำคาโมะ แค่ได้นั่งดูคนเดินผ่านไปมาก็มีความสุขแล้ว
โดยรอบนี้เราจะอยู่ที่เกียวโตกันแบบยาวๆ 3 วันเต็ม
เลือกเข้าพักที่โรงแรม The Royal Park Hotel Kyoto – Shijo (<< คลิกเพื่ออ่านรีวิว)
ส่วนเราเดินทางไปไหนบ้าง เลือกอ่านของแต่ละวันได้ที่แถบด้านล่างเลยครับ
วันแรกที่เกียวโต เราจะใช้ชีวิตแบบสบายๆชิลล์ๆ กันอยู่ในตัวเมือง โดยจะเริ่มต้นเดินเล่นตั้งแต่ย่านถนนคนเดินที่เป็นเส้นช้อปปิ้งกลางใจเมืองเกียวโต ย่านถนนชิโจ (Shijo Dori) ซึ่งเป็นถนนเส้นหลักใจกลางเมืองเกียวโต
ถนนคนเดินชินเคียวโกกุ (Shinkyogoku) และถนนเทระมะจิ (Teramachi) มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร โดยจะมีตรอกเล็กๆเชื่อมต่อระหว่างถนนทั้ง 2 อยู่ตลอดทาง ทั้งสองย่านจะมีร้านค้ามากมายแทบจะทุกประเภท ไล่เรียงไปตั้งแต่ของที่ระลึก เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ขนม ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านหนังสือ และยังมีศาลเจ้าและวัด ทำให้บริเวณนี้เป็นหนึ่งในแหล่งช้อปปิ้งหลักของเมืองเกียวโต และบริเวณใกล้ๆกันยังเป็นที่ตั้งของตลาด Nishiki ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตลาดท้องถิ่นชื่อดังของเมืองเกียวโตอีกด้วย
ศาลเจ้าเล็กๆภายในย่านเทระมะจิ
แวะทานร้านโซบะชื่อดัง Ukiya ตั้งอยู่ภายในย่านเทระมะจิ ความพิเศษของเส้นโซบะร้านนี้คือเชฟหลักของร้านนี้เป็นคนทำเส้นสดด้วยตัวเอง
เซทข้าวหน้าไก่กับไข่ โอยะโกะด้ง ทานคู่กับโซบะร้อน
เซทข้าวหน้าสุกี้เนื้อทานคู่กับโซบะและเครื่องเคียง
Ichiran Ramen ชื่อดังก็มีสาขาในย่านนี้ด้วย
ทานของคาวเรียบร้อยแล้วเราแวะไปทานของหวานกันที่ร้าน Koe Donut
มีโดนัทให้เลือกหลากหลายหน้า
บรรยากาศภายในร้านตกแต่งได้สวยงามมาก
นอกจากโดนัทแบบธรรมดา ที่นี่ยังมีโดนัทแบบทำสดๆ ที่พนักงานจะมาทำต่อหน้าเราเลย
จากนั้นเราเดินไปเที่ยวกันต่อที่ตลาดนิชิกิ (Nishiki)
ตลาดนิชิกิ (Nishiki) เป็นตลาดที่เก่าแก่ของเกียวโต มีอายุหลายร้อยปี เริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ในช่วงแรกที่นี่เคยใช้เป็นตลาดขายส่งปลา ต่อมาจึงมีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาจำหน่ายแบบปลีก ทำให้มีสินค้าหลากหลายชนิดมากขึ้น โดยร้านค้าภายในตลาด มีจำนวนมากกว่า 100 ร้าน ด้วยความที่มีสินค้าครบครัน ตลาดแห่งนี้จึงได้รับสมญานามว่าเป็นครัวของเกียวโต เพราะมีอาหารสด อาหารทะเล ผลไม้ และ สินค้าอื่นๆ มาวางขายเป็นจำนวนมาก
ของฝากที่ระลึกต่างๆก็มีให้เลือกซื้อ
ร้านขนมโบราณ
เทมปุระเสียบไม้น่าทานมากๆ
ซาลาเปาทอดเป็นรูปตัวเม่น น่ารักมากๆ
ร้าน Snoppy Chaya
ขายสินค้ามากมายลิขสิทธิ์ของสนูปปี้
ชิมซอฟท์เสริฟชาเขียว
มาถึงเมืองเกียวโตแล้วจะพลาดร้านชาเขียวมัทฉะได้อย่างไร
ร้าน Sawawa มีผลิตภัณฑ์จากชาเขียวมัทฉะมากมายหลายชนิดให้เลือกซื้อเป็นของฝากที่ระลึก
ขึ้นมาด้านบนจะเป็นที่ตั้งของคาเฟ่
เราลองสั่งพาร์เฟต์ชาเขียวพร้อมโรลเค้ก
ยังไม่หมดอีกอย่างที่ต้องลองคือ มัทฉะทีรามิสุ
ปิดท้ายด้วยชา Hojicha
การเดินทาง: รถไฟสาย Karasuma ไปลงที่สถานี Shijo จากนั้นออกจากสถานี Shijo เดินไปตามถนนชิโจ (Shijo Avenue) ทางทิศตะวันออก ทางซ้ายมือจะมีซอยเล็กๆ สามารถเดินตัดไปตลาด Nishiki ได้ แนะนำให้มองหาซอยข้างห้าง Daimaru
หลังจากออกมาจากตลาดนิชิกิ เราโดยสารรถไฟไปลงที่สถานี Kawaramachi ที่นี่เป็นอีกหนึ่งย่านการค้าที่มีชื่อเสียงของเมืองเกียวโต จะสังเกตเห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินช้อปปิ้งกันอย่างสนุกสนาน ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เราจะมาทุกครั้งหากได้มีโอกาสมาเยือนเมืองเกียวโต โดยเฉพาะการได้เดินเล่นริมแม่น้ำคาโมะ นั่งพักขาชมวิวสวยๆของโค้งน้ำ เห็นผู้คนเดินผ่านไปมาก็มีความสุขแล้ว
จากริมแม่น้ำคาโมะ เราเดินมาเรื่อยๆ เพื่อที่จะหาคาเฟ่นั่งพักจิบกาแฟกันซักหน่อย หลังจากเสริชข้อมูลดู ก็พบว่ามีคาเฟ่น่ารักสีชมพูสดใส เราจึงไม่รอช้ารีบเดินไปที่ร้าน CafeTel
ร้าน CafeTel เป็นคาเฟ่สีชมพูสดใสน่ารัก ด้านบนของคาเฟ่คือโฮสเทลชื่อเดียวกันสีชมพูสดใส แต่ว่าที่นี่รับผู้เข้าพักเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น เราไม่รอช้าเดินเข้าไปสั่งเครื่องดื่ม นั่งพักทำงานกันสักครู่
ข้อมูลเพิ่มเติม ร้านคาเฟ่เทล (Cafetel)
- เวลา : 08.00 – 22.00 น.
- วันหยุด : เปิดทุกวัน
- วิธีการเดินทาง : สถานีที่ใกล้ที่สุดคือ Sanjo Keihan
- เว็บไซต์ : https://cafetel.jp/en/
เลื่อนย้อนกลับขึ้นไปด้านบน เพื่อเลือกอ่านของวันที่ 2 และ 3
วันที่สองของการมาอยู่เกียวโต วันนี้เราอยากจะพาทุกคนไปหาที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ฉีกและแตกต่างๆไปจากทุกครั้ง โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์แบบนี้ เป็นช่วงที่ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ในญี่ปุ่นกำลังเบ่งดอกอวดโฉมความสวยงามกันมากมาย เราจึงตัดสินใจไปที่ สวนพฤกษศาสตร์ เกียวโต (Kyoto Botanical Garden)
มาถึงแล้วซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อน
ไฮไลท์ของที่นี่คือสวนสไตล์ยุโรป ซึ่งตกแต่งได้อย่างสวยงามมาก
สวนพฤกษศาสตร์เกียวโต หรืออีกชื่อเรียกหนึ่งคือสวนพฤกษศาสตร์เขตการปกครองเกียวโต ที่นี่เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ติดกับแม่น้ำคาโมะ ชมดอกไฮเดรนเยีย บานสะพรั่ง แบบไม่ต้องกลัวคนบัง ช่วงนี้นอกจากจะได้ชมดอกอะจิไซ หรือไฮเดรนเยีย หลากสีสันกว่า 20 ชนิด บานเต็มที่แล้ว ยังมีสวนดอกกุหลาบ และทุ่งดอกไอริส ที่บานสวยพร้อมกันอีกด้วย
จากนั้นเราเดินไปชมสวนดอกไฮเดรนเยียร์ ช่วงที่เรามาถึงดอกไฮเดรนเยียร์ที่นี่กำลังบานสะพรั่ง หลากหลายสายพันธุ์
ทริปคันไซครั้งนี้ ทีมงานเราใช้พ็อกเก็ตไวไฟของ Tripizee เช่นเคย อึดทนแรงตัวจริง ไม่ว่าจะไปไหน สัญญาณยังเต็มเปี่ยม เล่นได้ไม่มีสะดุด ใช้เองแล้วดีก็เลยเชียร์ แถมราคาไม่แพงด้วย จองเลย >> ที่นี่
บรรยากาศความร่มรื่นภายในสวน
เดินเข้ามาด้านในมีสวนดอกไอริส สวยงามมากๆ
ข้อมูลเพิ่มเติม สวนพฤกษศาสตร์เขตการปกครองเกียวโต (Kyoto Botanical Garden)
- เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อน 16.00 น.)
- วันหยุด : ปิด 28 ธันวาคมถึง 4 มกราคม
- ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 200 เยน, นักเรียนมัธยม 150 เยน, นักเรียนชั้นประถม 80 เยน
- การเดินทาง : จากสถานี Kyoto ขึ้นรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Kitayama ทางออก 3
- เว็บไซต์ : http://www.pref.kyoto.jp/plant/
จากนั้นไปชมงานศิลปะกลางแจ้งกันที่ Kyoto Garden of Fine Arts พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อสร้างโดยสถาปนิกชื่อดังของญี่ปุ่น คุณ Takao Ando โดยใช้คอนกรีตเป็นหลัก ภายในขุดลงไปชั้นใต้ดินลึกกว่า 3 ชั้น
ซื้อตั๋วเข้าชมกันก่อนครับ
เราสามารถเดินวนลงไปดูงานศิลปะกลางแจ้งมากมาย โดยผลงานอันเลื่องชื่อทั้งหมดถูกถ่ายทอดใหม่ลงบนแท่นคอนกรีต เพื่อความทนทาน ไม่ว่าจะเป็น
ภาพวาดแบบตะวันออกจากจีน
ภาพ “The Last Supper” โดย Leonardo da Vinci ศิลปินอันเลื่องชื่อ
ภาพวาดขนาดใหญ่ “The Last Judgement” โดย Michelangelo Buonarroti
ภาพวาด “On the Terrace” โดย Renoir
และ ภาพวาด “La Grande Jatte” โดย Seurat
ข้อมูลเพิ่มเติม พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง Kyoto Garden of Fine Arts
- เวลาทำการ : 09.00 – 17.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อน 16.00 น.)
- วันหยุด : เปิดทุกวัน
- ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 100 เยน
- การเดินทาง : จากสถานี Kyoto ขึ้นรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Kitayama ออกมาแล้วเลี้ยวขวาจะเจอเลย
เลื่อนย้อนกลับขึ้นไปด้านบน เพื่อเลือกอ่านของวันที่ 3
วันสุดท้ายของการท่องเที่ยว วันนี้เราไม่ได้อยู่ในเกียวโต โดยเราจะเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมไปชมสวนดอกไฮเดรนเยียร์ขนาดใหญ่บนภูเขาที่ วัดยะตะเดระ (Yatadera) ในจังหวัดนาระ (Nara)
วัดยะตะเดระ เป็นอีกหนึ่งวัดที่ถูกขนานนามว่า “วัดแห่งอะจิไซ” เนื่องจากในช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม จะมีดอกอะจิไซสีสวยดอกใหญ่บานทั่วบริเวณกว่า 10,000 ต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม วัด Yatadera
- เวลาทำการ : 8.30 – 17.00 น. (เข้าชมรอบสุดท้ายก่อน 16.00 น.)
- วันหยุด : เปิดทุกวันช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม
- ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 500 เยน, เด็กชั้นประถม 250 เยน
- การเดินทาง : จากสถานี Kintetsu-Koriyama บนสาย Kintetsu-Koriyama โดยสารรถบัสประจำทาง Nara Kotsu Bus มุ่งหน้าไปยัง Yatadera ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ลงป้ายสุดท้าย จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 6-10 นาที (ในช่วงเทศกาลชมดอกอะจิไซ จะมีรถ Shuttle Bus รับส่งจากสถานี Horyuji บนสาย JR Yamato line ไปยังวัด Yatadera ใช้เวลาประมาณ 20 นาที)
- เว็บไซต์ : http://www.yatadera.or.jp/
เที่ยวมากันสามวันแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการเดินทางมายังญี่ปุ่นรอบนี้เลย ทริปนี้เราเดินทางมาลงสนามบินคันไซ โดยใช้บริการของสายการบินนกสกู๊ต บินตรงจากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินคันไซ (โอซาก้า) ครั้งนี้อยากลองนั่งที่นั่ง 2 แบบ จะได้รู้กันไปว่าดีต่างกันอย่างไร เลยเลือกขาไปจองที่นั่งแบบ ScootBiz และ ขากลับจองที่นั่งโซน ScootinSilence แถวแรกสุดถัดจากชั้นธุรกิจ
สำหรับประสบการณ์โดยรวมต้องบอกเลยว่า ดีเกินคาดครับ นั่งสบาย ทุกครั้งที่ทีมงานเราเดินทาง ไม่มีดีเลย์ และ ไม่เทผู้โดยสาร เดินทางถึงที่หมายปลอดภัยทั้งไปและกลับ ที่สำคัญคุณแอร์ดูแลดีมากๆ ตามมาดูรีวิวแบบละเอียดกันเลยครับ
รายละเอียดเที่ยวบิน
เที่ยวบินขาไป XW112 ดอนเมือง-คันไซ 23.40-07.10
เที่ยวบินขากลับ XW101 นาริตะ-ดอนเมือง 13.55-18.25
ทำการจองได้ที่เว็บไซต์ >> NokScoot
เมื่อเดินทางถึงท่าอากาศยานดอนเมืองแล้ว สำหรับใครที่จองชั้นโดยสารธุรกิจหรือ ScootBiz ให้เดินเข้ามาที่ช่องเช็คอินพิเศษได้เลย ไม่ต้องต่อคิวยาว โดยวันนี้ของเราไปเช็คอินที่เค้าท์เตอร์หมายเลข 6
หลังจากนั้นก็จะได้รับบอร์ดดิ้งพาส และกระเป๋าที่ติด Priority Tag ไว้เรียบร้อย พร้อมรอรับกระเป๋าก่อนใครเมื่อถึงปลายทาง
เครื่องบินของเราในวันนี้ทำการบินด้วยเครื่องบินรุ่น Boeing 777-200
มาพูดถึงความโดดเด่นของที่นั่งทั้ง 2 โซนนี้กันบ้างซึ่งต้องบอกว่าที่นั่งของนกสกู๊ตคือ เหยียดขาได้สบาย ไม่อึดอัด ลืมความคิดที่ว่านั่งเครื่องโลว์คอสต์แล้วต้องเบียดอัดกันเป็นปลากระป๋องไปได้เลย!
สำหรับขาไป เราเลือกที่นั่ง ScootBiz เป็นที่นั่งชั้นธุรกิจ อาจจะไม่ใช่ที่นั่งที่ปรับนอนราบได้ แต่ด้วยพื้นที่ที่กว้างก็ทำให้พักผ่อนตลอดไฟลท์ได้อย่างสบาย ที่สำคัญราคาไม่แรงไป เพราะมีโปรดีๆออกมาให้สอยตลอด
เบาะหนังนั่งสบาย นอกจากนี้แล้วยังรวมสัมภาระโหลด 30 กก. สัมภาระถือขึ้นเครื่องได้ 2 ใบ ฟรีอาหารเครื่องดื่ม ได้เชคอินและขึ้นเครื่องก่อนใคร แถมยังมีปลั๊กเสียบชาร์จแบตใต้ที่นั่งด้วย
อาหารเช้าจะเสิร์ฟก่อนเวลาเครื่องลงราว 2 ชั่วโมง ได้ทานเมนูข้าวยำสไตล์เกาหลี
แนะนำว่าก่อนออกเดินทางอย่าลืมเลือกออปชั่นสุดคุ้มอย่าง FlyBagEat ที่รวมทั้งสัมภาระโหลดและอาหารอร่อยๆบนเครื่อง ครบกว่าประหยัดกว่า
ข้ามเวลามาถึงวันกลับกันแล้ว ซึ่งจะบินออกจากสนามบินนาริตะ ตรวจสอบเที่ยวบินและช่องเช็คอินเรียบร้อย
สำหรับผู้โดยสารชั้น ScootBiz ก็สามารถเข้าช่องเช็คอินพิเศษได้ทันที
ประตูทางออกค่อนข้างไกล เดินสุดอาคารเลย ใครจะช้อปปิ้งเผื่อเวลาเดินไว้สัก 20 นาทีนะครับ (*ประตูทางออกเปลี่ยนแปลงได้)
สำหรับขากลับเราเลือกที่นั่งแบบ SccotinSilence เป็นที่นั่งชั้นประหยัดโซนหน้า ต่อจากชั้นธุรกิจ ที่มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบ ที่นั่งก็จะมีความกว้างกว่าที่นั่งชั้นประหยัดในโซนหลัง
เลือกแถวหน้าสุดของโซนก็เหยียดขาสบายๆได้ไม่ต่างจากชั้นธุรกิจเลย
ถ้าใครหิวระหว่างไฟลท์ ก็มีเมนูจาก NokScoot Café ให้เลือกอิ่มอร่อยกับอาหารหลากหลายเมนู
สำหรับขากลับเป็นช่วงบ่ายก็เลยลองเมนูข้าวไก่เทอริยากิ
หรือถ้าใครสนใจอัพเกรดที่นั่งระหว่างไฟลท์ ก็สามารถจ่ายเงินบนเครื่องและย้ายที่นั่งได้เลยครับ ราคาดีงามมาก
#บินไกลสบายกว่าราคาคุ้ม