โตเกียวยังมีจุดหมายที่น่าค้นหาอยู่อีกมากมาย นอกเหนือจากย่านยอดฮิตที่หลายคนไปกันมาจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ถ้าลองขึ้นรถไฟออกมาไม่กี่สถานี ก็จะได้เจอกับย่านชุมชน ที่ยังคงร่องรอยวัฒนธรรมอันเก่าแก่ให้ได้ค้นหา แต่ก็ไม่น่าเบื่อเกินไป แถมยังมีที่ให้ ช้อป ชม ชิม กันได้เหมือนเคย ด้วยตั๋วการเดินทางสุดคุ้มอย่าง Tokyo Subway Ticket ที่จะพาไปตะลอนได้ทั่วโตเกียว
สำหรับบัตรโดยสารรถไฟใต้ดิน Tokyo Subway Ticket จะมีให้เลือกทั้งสามแบบ 24, 48, 72 ชั่วโมง ที่นอกจากความสะดวกสบาย ครอบคลุมแทบจะทุกพื้นที่ในโตเกียวแถมยังช่วยเซฟเงินในกระเป๋าสุดๆ ดังนั้นสำหรับทริปนี้เราขอแนะนำสถานที่เที่ยวในโตเกียวที่ไปได้ด้วย Tokyo Subway Ticket กันครับ
1. ย่านเอบิสุ (Ebisu)
อีกหนึ่งย่านน่ารักในโตเกียว ที่คนญี่ปุ่นมักจะพาครอบครัวมาพักผ่อนหย่อนใจในช่วงกลางวัน พอตกดึกจะเป็นช่วงเวลาของหนุ่มสาวออกมานั่งดื่มตามบาร์และภัตตาคาร ท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก ยิ่งถ้าใครชอบดื่มเบียร์จะต้องชอบเป็นพิเศษ อีกทั้งย่านนี้ยังมีชื่อเสียงในช่วงปลายปีที่จะมีจัดงานประดับไฟ illumination อย่างสวยงามอีกด้วย
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Hibiya (สายสีเทา) มาลงที่สถานี Ebisu (H02) จากนั้นเดินไปทางซ้ายมือของสถานี JR เดินไปเรื่อยๆ ตามทางประมาน 5-7 นาที จะพบกับ Ebisu Garden Place ลักษณะเป็นตึกที่ก่อด้วยอิฐสีแดงสไตล์ตะวันตก ด้านในของตึกจะเป็นร้านอาหาร สวนสาธารณะ เบียร์การ์เด้นส์ พิพิธภัณฑ์เบียร์ Yebisu ห้าง Mitsukoshi และสถานที่สำหรับให้เด็กๆและครอบครัวมาพักผ่อนทำกิจกรรมร่วมกัน
2. ย่านไดคังยะมะ (Daikanyama)
สำหรับวันพักผ่อนที่แสนจะชิลล์มากๆ ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งย่านยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะวัยรุ่น ที่มักจะมาเดินเล่น ช้อปปิ้ง นั่งดื่มกาแฟ อีกทั้งที่ย่านนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านขายอุปกรณ์มือถือ และร้านขายงานแนวสร้างสรรค์มากมาย
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ตรอก LOG ROAD DAIKANYAMA ตกแต่งในสไตล์แบบโมเดิร์นโดยใช้ไม้ทั้งหมด ด้านในจะแบ่งเป็นโซนร้านอาหาร ร้านขายเสี้อผ้า บาร์โอเพ่นแอร์ที่สามารถมานั่งพักผ่อนได้ และคาเฟ่น่ารักๆอย่างร้านมิสเตอร์เฟรนด์ลี่ (MR.Friendly Cafe) ที่เชื่อว่าสาวๆจะต้องรักอย่างแน่นอน
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Hibiya (สายสีเทา) มาลงที่สถานี Naka-Meguro (H01) จากนั้นนั่งรถไฟสาย Tokyu Toyoko ไปลงที่สถานี Daikanyama (ในส่วนนี้ ต้องจ่ายเพิ่ม 130 เยน เนื่องจากไม่รวมอยู่ใน Tokyo Subway Ticket) ก็จะมาถึงย่าน Daikanyama เมื่อมาถึงเดินออกทางด้านทิศเหนือ สามารถเดินเล่นไปได้เรื่อยๆจะพบกับร้านรวงต่างๆมากมาย
3. ย่านนิปโปริ (Nippori)
ย่านเก่าแก่บนถนนสาย Nippori Chuo Dori โดยร้านค้าในย่านนี้เกือบทั้งหมดจะเน้นไปที่อุปกรณ์ตัดเย็บ ผ้าเมตร ผ้ายีนส์ รวมถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูป หรือจะเป็นงานฝีมือต่างๆ สำหรับผู้ที่ชอบงานเย็บปักถักร้อย งาน DIY ไม่ควรพลาดที่นี่อย่างยิ่ง
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ย่านการค้าชื่อดัง Yanaka Ginza ที่นี่เต็มไปด้วยอาหารอร่อยๆ รวมถึงของฝากแฮนด์เมดมากมาย ปัจจุบันย่านนี้ก็ยังคงเป็นที่อยู่อาศัยของชาวญี่ปุ่นที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม
วิธีการเดินทาง จากสนามบินนาริตะ นั่งรถไฟ Keisei Skyliner สามารถลงที่สถานี Nippori ได้เลย (จอดก่อนสถานี Keisei-Ueno) หรือในกรณีตั้งต้นที่สถานี Ueno ขึ้นรถไฟ JR Yamanote มาได้เช่นกัน เพียง 1 สถานี ค่าโดยสาร 140 เยน (ราคาเดียวกับขึ้นรถไฟ Keisei) จากนั้นเดินออกทางประตูด้านทิศเหนือ แล้วเดินเลี้ยวขวาข้ามถนนไปประมาณ 200 เมตรจะเจอกับย่าน Nippori Textile Town
4. ย่านคะงุระซะกะ (Kagurazaka)
ย่านบันเทิงที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยเอโดะ เป็นย่านที่ในอดีตจะได้พบกับเกอิชา ได้ที่นี่ แม้ในปัจจุบันเราจะได้เห็นบ้านเรือนหลังเก่าที่เคยใช้เป็นที่อยู่อาศัยของสาวงามเหล่านี้ด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ศาลเจ้าอะคะกิ (Akagi Shrine) ที่เป็นสาขาของศาลเจ้าอะคะกิในจังหวัดกุมมะ ตัวอาคารศาลเจ้าเพิ่งได้รับการบูรณะใหม่เมื่อไม่นานมานี้ แต่ความจริงแล้วมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
ด้านข้างของตัวศาลเจ้า จะมีคาเฟ่เล็กๆที่ชื่อว่า Akagi Cafe ให้บริการของหวานและเครื่องดื่มตามฤดูกาล ถ้ามาในหน้าร้อนก็จะได้ลิ้มลองขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่น อย่าง อันมิทสุ (Anmitsu) ถ้วยนี้ หลังจากนั่งพักให้หายเหนื่อยกันสักครู่ เราก็ออกมาเดินเล่นดูร้านค้าริมทาง และได้พบว่ามีคาเฟ่น่ารักๆซ่อนตัวอยู่อีกมากมาย ที่นี่จึงเป็นแหล่งที่เหมาะมากสำหรับคนรักคาเฟ่
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Tozai (สายสีน้ำเงิน) มาลงที่สถานี Kagurazaka (T05)
5. ย่านเซตะกะยะ (Setagaya)
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือวัดแมวกวักนำโชคที่ชื่อว่า วัดโกโตคุจิ (Gotokuji) ตั้งอยู่ใน เขตเซตะกะยะ (Setagaya) โดยตำนานของแมวกวักนำโชคของญี่ปุ่น หรือ Maneki-neko นั้นมีต้นกำเนิดมาจากที่วัดแห่งนี้นั่นเอง
ว่ากันว่าในอดีต ย้อนไปในสมัยเอโดะ ผู้ปกครองแคว้นฮิโคเนะ (ปัจจุบันเป็นเมืองหนึ่งในจังหวัดชิงะ) ขณะเดินผ่านวัดที่เก่าและทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ได้เห็นแมวตัวหนึ่งกวักมือเรียกท่าน ท่านจึงเดินตามเข้าไปในวัด และทันใดนั้นก็เกิดพายุฝนโหมกระหน่ำ ท่านจึงรู้สึกซาบซึ้งในโชคชะตาบนความบังเอิญ ที่ทำให้ท่านได้มาพบกับแมวตัวนี้ที่เรียกให้ท่านเข้ามาพักหลบฝนอยู่ในวัดแห่งนี้ หลังจากนั้นท่านจึงได้รวบรวมเงินและทำการบูรณะวัดแห่งนี้ขึ้นมาใหม่ ยกย่องให้เป็นวัดประจำตระกูล กลายเป็นวัดโกโตคุจิ ในปัจจุบัน
วิธีการเดินทาง จากสถานี Shinjuku นั่งรถไฟสาย Odakyu Odawara Line มาลงที่สถานี Gotokuji โดยสายนี้จะไม่รวมในบัตร Tokyo Subway Ticket ต้องซื้อตั๋วเพิ่มราคา 190 เยน แล้วเดินไปประมาณ 8-10 นาที
6. ย่านเนซุ (Nezu)
ย่านที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานจะเห็นได้จากวัดและศาลเจ้าเก่าแก่มากมาย
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ศาลเจ้าเนซุ (Nezu jinja) เป็นศาลเจ้าชินโตขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1705 ตัวศาลเจ้าถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้สูงและภูเขาเป็นฉากด้านหลัง ด้านบนเขาจะมีเสาโทริอิสีแดงตั้งเรียงรายกันเป็นแนวยาว ในช่วงกลางเดือนเมษายน-ต้นเดือนพฤษภาคม ศาลเจ้าแห่งนี้จะมีการจัดงาน Nezu Shrine Azelea Festival เนื่องจากดอกอาซาเลียจะพร้อมใจกันบานในช่วงนั้น จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมความงามกันอย่างมากมาย
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Chiyoda (สายสีเขียว) มาลงที่สถานี Nezu (C14) ทางออกที่ 1 แล้วเดินไปประมาณ 8-10 นาที
7. ย่านคิจิโจจิ (Kichijoji)
ย่านการค้าที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ทั้งอาหารการกินแบบร้านต้นตำรับดั้งเดิมที่มักจะเห็นคนต่อคิวรอกันยาวเหยียด ร้านขายของจิปาถะในแบบเฉพาะตัว ที่จะหาได้จากที่นี่เท่านั้นเหมาะสำหรับใครที่รักการช้อปปิ้งเป็นชีวิตจิตใจ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ย่านการค้าชื่อดัง Sun Road ย่านการค้ามีหลังคาคลุม ไม่ต้องกลัวฝนหรือแดดจะร้อน ด้านในเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารอัดแน่นตลอดสองข้างทางที่นี่คือสวรรค์สำหรับนักช้อปอีกแห่งเลยก็ว่าได้ มาที่เดียว รับรองว่าได้ของกลับไปครบแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นร้านขายยาและเครื่องสำอางค์ Matsu-Kiyo ร้ายขายของมือสอง Mode Off ที่เห็นสภาพและราคาแล้วแทบอยากจะเหมาให้หมด ห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้า Yodobashi Camera และร้านที่คุ้นเคยกันดีอย่าง Loft และ Muji หรือจะเป็น ตรอกฮาโมนิก้า (Hamonica Yokocho) ที่รวบรวมร้านค้าสไตล์เรโทร ตั้งอยู่บริเวณด้านทางออกทิศเหนือของสถานี แนะนำว่าร้านของกินอร่อยๆอยู่ในตรอกนี้เพียบ สำหรับร้านเจ้าดังต้องอดใจต่อคิวกันซักนิด ช่วงเย็นจะคึกคักมาก
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Ginza (สายสีเหลือง) สาย Hanzomon (สายสีม่วง) หรือสาย Fukutoshin (สายสีน้ำตาล) ไปลงที่สถานี Shibuya (G01/Z01/F16) จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟ Keio สาย Inokashira จะสะดวกที่สุด ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง เพราะนั่งไปจนสุดสายลงที่สถานีปลายทาง Kichijoji ใช้เวลาประมาณ 17 นาที โดยสายนี้จะไม่รวมในบัตร Tokyo Subway Ticket ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม ราคา 200 เยน
8. ย่านชิโมะคิตะซะวะ (Shimo-Kitazawa)
อีกหนึ่งย่านฮิปสเตอร์ของบรรดาเด็กแนว เราจะเห็นถึงสไตล์ความวินเทจเฉพาะตัว เต็มไปด้วยร้านรวงมีสไตล์ ร้านค้ามือสอง คาเฟ่ ซาลอน และกำแพงกราฟฟิตี้ ย่านนี้เต็มไปด้วยวัยรุ่นที่มักจะมาเดินเล่น นั่งสังสรรค์กันที่คาเฟ่ในช่วงวันหยุด โดยร้านค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าวินเทจ ดังนั้นร้านขายสินค้ามือสองในย่านนี้จะเยอะมากๆ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในย่านนี้ คือ ย่านการค้าบนถนน Shimokitazawa Ichibangai
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Ginza (สายสีเหลือง) สาย Hanzomon (สายสีม่วง) หรือสาย Fukutoshin (สายสีน้ำตาล) ไปลงที่สถานี Shibuya (G01/Z01/F16) จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟ Keio สาย Inokashira ลงที่สถานี Shimokitazawa โดยสายนี้จะไม่รวมในบัตร Tokyo Subway Ticket ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม ราคา 130 เยน
9. ย่านมินาโตะ (Minato)
สวนสวยสไตล์ญี่ปุ่นตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว เป็นอีกหนึ่งสวนที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความสวยงามทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็มีความสวยไปทุกมุมมอง โดยชื่อของสวน Happoen Garden มีความหมายว่า ความสวยงามทั้ง 8 ทิศ โดยประวัติของสวนแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นโดยโชกุนท่านหนึ่งของญี่ปุ่น มีอายุกว่า 400 ปี อีกทั้งยังคงความเป็นสวนที่สวยงามมาจนถึงปัจจุบัน
สวนแห่งนี้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมสวนได้ฟรี นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินชม สวนต้นบอนไซที่มีอายุหลายร้อยปี ภายในสวนยังมีบริการคาเฟ่ ร้านน้ำชา อีกทั้งยังให้บริการเกี่ยวกับอาคารห้องจัดเลี้ยง รองรับสำหรับการประชุมใหญ่ ได้ถึง 3,000 ที่นั่ง
วิธีการเดินทาง นั่งรถไฟสาย Namboku (สายสีเขียวอ่อน) ไปลงที่สถานี Shirokanedai (N02) จากนั้นเดินข้ามถนนไปประมาณ 3 นาทีก็จะถึงสวน Happo-en