Shikoku: สัมผัสเสน่ห์ญี่ปุ่นท้องถิ่น ที่จังหวัดโคจิ ตอน 1 : ตัวเมืองโคจิ

เกาะชิโกกุ (Shikoku) ภูมิภาคที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยเมื่อเทียบกับโซนอื่น เป็นเพราะความเข้าใจแบบเดิมที่ว่าเกาะนี้เข้าถึงยาก ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ในปัจจุบันเราสามารถตั้งต้นได้จากเมืองหลัก อย่างโตเกียว หรือ โอซาก้า และเดินทางมาได้สะดวกทั้งรถไฟและเครื่องบิน ประกอบกับความเข้าใจแบบผิดๆว่า เกาะนี้ไม่มีอะไรน่าเที่ยว ซึ่งต้องขอบอกตรงนี้เลยว่า สำหรับใครที่ชื่นชอบธรรมชาติและวัฒนธรรมแบบดิบๆ ที่ยังไม่ถูกปรุงแต่งมาก หากได้มีโอกาสมาถึงที่เกาะชิโกกุแห่งนี้ รับรองจะต้องประทับใจอย่างแน่นอน

เกาะชิโกกุ เป็นหนึ่งในสี่เกาะสำคัญของญี่ปุ่น ร่วมกับเกาะฮอกไกโด เกาะฮอนชู เกาะคิวชู และถือเป็นเกาะที่เล็กที่สุดในบรรดาเกาะเหล่านี้ เกาะชิโกกุเชื่อมต่อกับเกาะฮอนชูด้วยสะพาน 3 แห่ง ง่ายต่อการเข้าถึงจากภูมิภาคคันไซ และภูมิภาคจูโกคุ ส่วนจังหวัดโคจิ จะมีอาณาบริเวณเกือบครึ่งท่อนล่างของเกาะชิโกกุ หากเดินทางด้วยเครื่องบิน จะใช้เวลาประมาณ 80 นาทีจากโตเกียว และประมาณ 45 นาทีจากโอซาก้า

และการเดินทางในครั้งนี้เป็นการเยือน จังหวัดโคจิ (Kochi) เป็นครั้งแรกของทีมงานเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม โดยได้รับเชิญจากทางจังหวัดโคจิ ให้ลองมาสัมผัสเสน่ห์ของจังหวัดเล็กๆแห่งนี้ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จังหวัดโคจิรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ และมีประวัติศาสตร์อันเข้มข้น ที่เป็นต้นกำเนิดของบุคคลสำคัญในอดีตจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมและสิ่งปลูกสร้างที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงยุคปัจจุบัน มีคุณค่าในฐานะมรดกทางประวัติศาสตร์ และยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่ผู้คนจำนวนมากคุ้นเคยกันดีในฐานะภูมิทัศน์ที่เป็นตัวแทนของบ้านเกิด

บรรยากาศแบบเป็นกันเอง และมีอิสระเต็มเปี่ยมของจังหวัดโคจิ ได้หล่อหลอมลักษณะนิสัยของชาวเมืองให้เป็นคนที่สบายๆ ไม่ยุ่งยากแต่กระนั้นก็มีความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ภูมิปัญญาและพลังของชาวเมือง มีส่วนพัฒนาวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ ดังจะเห็นได้จาก “เทศกาลโยสะโคอิ” ที่เข้มแข็งและมีชีวิตชีวา เสมือนเป็นตัวแทนของภูมิภาคนี้ให้เฟื่องฟูมาจนถึงปัจจุบัน

เข้าสู่เว็บไซต์ภาษาไทยได้ที่นี่ >> VISIT KOCHI JAPAN

การเดินทางมาจังหวัดโคจิ สามารถทำได้ง่ายด้วยเที่ยวบินภายในประเทศ มีหลายสายการบินให้เลือกใช้บริการไม่ว่าจะเป็น ANA, JAL หรือ FDA (เฉพาะจากนาโงยะเท่านั้น) โดยเลือกตั้งต้นที่โตเกียว (สนามบินฮาเนดะ) ใช้เวลา 90 นาที / โอซาก้า (สนามบินอิตามิ) ใช้เวลา 50 นาที / ฟุกุโอกะ (สนามบินฟุกุโอกะ) ใช้เวลา 75 นาที / นาโงยะ (สนามบินเซ็นแทร์) ใช้เวลา 50 นาที

การเดินทางเข้าสู่ตัวเมือง จากสนามบิน Kochi Ryoma ขึ้นรถ Airport Limousine Bus มาลงที่สถานี JR Kochi ใช้เวลา 33 นาที เข้าสู่เว็บไซต์สนามบิน เพื่อดูตารางเวลารถบัสได้ >> ที่นี่

รูปปั้นเหล่าวีรบุรุษด้านหน้าสถานี Kochi

ตัวเมืองโคจิ มีโรงแรมให้บริการติดสถานี

Bus Terminal สำหรับ Airport Limousine Bus ก็จะต้องมาขึ้นลงที่นี่

 

รถรางเมืองโคจิ เป็นรถรางที่ชาวโคจิภาคภูมิใจ มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นอันดับหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น เปิดทำการครั้งแรกในปีค.ศ. 1904 ทางเดินรถตัดกันเป็นกากบาทในแนวทิศตะวันออกไปตะวันตก และแนวทิศใต้ไปเหนือแม้ภายในประเทศก็หาดูได้ยาก มีระยะการเดินรถ 25.3 กิโลเมตรซึ่งเป็นระยะทางที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น นอกจากนี้ ก็ยังมีสถิติระยะช่วงการจอดรถระหว่างสถานีที่สั้นที่สุดในญี่ปุ่น คือระยะ 63 เมตร

ชาวเมืองโคจิยังคงใช้รถรางสัญจรไปมาในชีวิตประจำวัน

ค่าโดยสาร ผู้ใหญ่ 200 เยน เด็ก 100 เยน ต่อครั้ง

ป้ายสถานี Kochieki-mae สถานีตั้งต้น

จังหวัดโคจิถูกเรียกว่า “โทะสะ” มาแต่ดั้งเดิม จุดเริ่มต้นสืบเนื่องมาจากตำนานเทพเจ้าที่สร้างประเทศญี่ปุ่น ได้เรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “โทะสะโนะคุนิทะเกะโยริวะเกะ” ว่ากันว่าตำนานย้อนกลับไปจนถึงสถานที่เคยเป็นประเทศของผู้ชายที่มีความเป็นชายชาตรี หลังจากที่โจโสะคาเบะได้รวบรวมดินแดนโทะสะให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ในปีค.ศ. 1601 ยามาอุจิ คาสึโทโยะได้เข้ามาในดินแดนนี้เพื่อมาเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นโทะสะนิจูยงมังโกคุ แทนทีโจโสะคาเบะที่เสียชีวิตในสงครามเซกิกะฮาระ

ในช่วงปลายยุคศักดินา มีนักรบผู้รักชาติจำนวนมากได้ออกมามีบทบาทในระดับประเทศ เช่น ซากาโมโตะ เรียวมะ ที่มีผู้คนชื่นชอบเป็นจำนวนมากในประเทศญี่ปุ่น และตั้งแต่สมัยช่วงปี 1860 เป็นต้นมาก็มีทั้งนักคิด นักธุรกิจ นักวิชาการ และวีรบุรุษจำนวนมากมายออกมามีบทบาทในสังคม

จุดหมายแรกของการเดินทางในวันนี้คือ ปราสาทโคจิ

ปราสาทโคจิ สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1611 โดยยามาอุจิ คาสึโทโยะ แต่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปีค.ศ. 1727 และตัวปราสาทในปัจจุบันได้รับการบูรณะสร้างใหม่ขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1749 เดิมมีจำนวนอาคารทั้งหมด 15 หลัง แต่ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบันเป็นป้อมปราการชั้นในเพียงแห่งเดียวในประเทศญี่ปุ่น และตั้งแต่ตัวปราสาท ไล่ตั้งแต่ประตูโอเทะลงมาได้รับการกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ตัวปราสาทยังเป็นหนึ่งในปราสาท 12 แห่งที่ยังคงสภาพเดิมไว้ดั่งในอดีต

เวลาทำการ: 9.00 – 17.00 น. (เข้าปราสาทได้ถึงเวลา 16.30 น.)
วันหยุด: 26 ธ.ค. – 1ม.ค.
การเดินทาง: จากสถานีโคจิ ขึ้นรถรางลงที่ป้าย Kochijo-mae และเดินต่อ 5 นาที
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ : 420 เยน อายุไม่ถึง 18 ปีเข้าฟรี

จุดถ่ายรูปยอดนิยม คือ มุมด้านหน้าทางเข้าที่สามารถถ่ายรูปให้เห็นทั้งตัวปราสาทและประตูโอเทะได้ในครั้งเดียว ซึ่งเป็นปราสาทเพียงแห่งเดียวที่สามารถทำได้

ช่วงที่เดินทางไป มีการลดธงครึ่งเสาเพื่อไว้อาลัยเนื่องจาก “เจ้าชายมิกะสะ” โอรสองค์สุดท้ายในจักรพรรดิไทโช สิ้นพระชนม์ในวัย 100 พรรษา

มีการนำประวัติศาสตร์ของปราสาทโคจิไปถ่ายทำเป็นละครทางช่อง NHK

วิวเมืองโคจิบนยอดปราสาท

ติดตั้งอุปกรณ์ไว้ป้องกันข้าศึกรุกราน


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปราสาทโคจิ (Kochi Castle Museum of History) ที่มีกำหนดการเปิดให้เข้าชมในเดือนมีนาคม 2017

ตลาดวันอาทิตย์เมืองโคจิ เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Nichiyo-ichiba เป็นตลาดบนถนนที่มีประวัติศาสตร์นับตั้งแต่สมัยเอโดะ ยาวนานกว่า 300 ปี เปิดทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงพลบค่ำโดยใช้ช่องจราจรฝั่งหนึ่งของถนนสายหลักที่ทอดยาวมาจากประตูโอเทะของปราสาทโคจิ มีร้านค้าประมาณ 500 ร้านเรียงราย สามารถซื้อสินค้าการเกษตรจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ ต้นไม้ และของใช้จิปาถะประจำวัน

เวลาทำการ :วันอาทิตย์ 5.00 – 18.00 น. (เดือนต.ค. – มี.ค. เปิด 5.30 – 17.00 น.)
การเดินทาง: จากปราสาทโคจิ เดิน 3 นาที

ขนมสอดไส้ถั่วแดงบด และ ส้มยูซุบด

Ginger Ale แบบเข้มข้น ได้รสชาติของขิงแบบเต็มๆ


จุดหมายต่อไป จะเดินทางไปยัง สวนโกไดซัง (Godaisan Park) แวะพักที่คาเฟ่เล็กๆ ก่อนเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน

ชิมซอฟครีมรสโฮจิฉะ ราคา 300 เยน

ชมวิวเมือง สูดอากาศบริสุทธิ์ ในวันฟ้าสวย

และกิจกรรมที่มีชื่อเสียงมากของภูมิภาคชิโกกุคือ “เส้นทางจาริกแสวงบุญ” การเดินทางไปสักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (ฟุดะโฉะ – วัดที่รับฝากป้ายชื่อ) 88 แห่งตามรอยที่นักบวชในศาสนาพุทธ โคโบไดชิ (คูไค) ได้เดินบุกเบิกทางไว้เมื่อกว่า 1,200 ปีก่อน ว่ากันว่า ถ้าหากเดินทางไปสักการะได้ครบทั้งหมดนั้น กิเลสทางโลกจะหายไป และจะบรรลุเป้าหมายที่ได้อธิษฐานไว้ ในจังหวัดโคจิมีฟุดะโฉะ 16 แห่งตั้งแต่หมายเลข 24 ถึงหมายเลข 39 และในปีค.ศ. 2015 กรมวัฒนธรรมได้รับรองให้เป็นมรดกชุดแรกของประเทศญี่ปุ่น

วัดจิคุริน (Chikurin Temple) เป็นวัดลำดับที่ 31 ในเส้นทางจาริกแสวงบุญที่ชิโกกุ  สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 724 ตามคำสั่งของจักรพรรดิโชมุและทำพิธีเปิดโดยหลวงพ่อเกียวคิ  ท่านโคโบะ ไดชิ (คุไค) ได้เรียนรู้และฝึกปฏิบัติที่นี่ และวัดแห่งนี้รุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคเอโดะ ภายใต้การปกครองของแคว้นโทสะ

วัดจิคุรินได้รับยกย่องให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ  วิหารหลักที่สร้างโดยผู้ปกครองในสมัยคริสตศตวรรษที่ 17 เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพเจ้ามอนจู โบซัตสึและผู้รับใช้ซึ่งเชื่อกันว่าท่านเกียวคิเป็นผู้สร้าง ในวิหารไดชิโด ท่านโคโบะ ไดชิได้รับการเคารพสักการะเยี่ยงเทพเจ้า

และที่วัดแห่งนี้มีเจดีย์อันงดงาม แต่เดิมได้สร้างขึ้นเพียง 3 ชั้นแต่ถูกทำลายในคริสตศตวรรษที่ 19  และได้สร้างขึ้นมาใหม่เป็นเจดีย์ 5 ชั้นซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน


หลังจากเดินทางกันมาทั้งวันแล้ว แวะฝากท้อง ทานของว่างกันที่ ตลาดฮิโรเมะ (Hirome ichiba) แหล่งรวมร้านค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกว่า 60 ร้าน รวมทั้งร้านกินดื่มที่ให้ท่านได้ลิ้มรสชาติของเมืองโทะสะ ร้านขายปลาสด ร้านขายของชำที่มีความไม่เหมือนใคร มีบรรยากาศที่เรียกได้ว่าเป็น “หมู่บ้านร้านริมทาง” ที่มีผู้คนท้องถิ่นมาเยี่ยมเยียนอย่างคึกคักตลอดเวลา

เวลาทำการ:วันธรรมดา/วันเสาร์/วันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิด 8.00-23.00 น./ วันอาทิตย์ เปิด 7.00-23.00 น.
การเดินทาง: ขึ้นรถรางลงที่ป้าย Ohashidori และเดินประมาณ 3 นาที หรือเดินจากสถานี Kochi ประมาณ 20 นาที

แนะนำว่าให้ลองชิมเบียร์ยูซุ และ ชูไฮผสมน้ำส้มยูซุ อร่อยมากๆ

ปลาคัทสึโอะ เมนูดังของโคจิ ที่เรียกได้ว่า ถ้าไม่ทานถือว่ามาไม่ถึง

เทมปุระสาหร่าย

ถนนคนเดินในตัวเมือง มีร้านค้าให้เลือกซื้อสินค้า ที่เห็นเงียบๆแบบนี้เป็นเพราะว่าใกล้เวลาปิดแล้ว

ขนมของฝากจากโคจิ

ช่วงที่ไปใกล้กับเทศกาลฮัลโลวันพอดี ทางร้านมิสเตอร์โดนัท มีออกโดนัทสนูปปี้เเบบพิเศษออกมาด้วย


และสำหรับมื้อเย็นวันนี้ ได้มาลิ้มรสชุดอาหารไคเซกิในสไตล์โทสะ แบบดั้งเดิม ที่ร้านฮามะโจ (Hamacho) เป็นร้านที่ขึ้นชื่อในความพิถีพิถันในคัดเลือกวัตถุดิบตามฤดูกาล การปรุงแต่ง และกรรมวิธีที่ใช้ในการปรุง จนกระทั่งการนำเสนออาหาร และพิเศษคือจะมีการแสดงโชว์ และการละเล่นสไตล์ชาวโคจิให้ได้ชมด้วย เข้าสู่เว็บไซต์ >> HAMACHO

มีเขียนชื่อต้อนรับคณะของพวกเราด้วย (เขียนว่า Thai Blogger Tour)

ห้องที่จัดเตรียมไว้ เป็นห้องส่วนตัว หันหน้าเข้าเวทีโชว์ที่อยู่ตรงกลาง

อาหารเริ่มเสิร์ฟทีละอย่าง ใครที่ชอบอาหารทะเล ซูชิ ซาชิมิ รับรองมาที่เมืองนี้จะได้กินอย่างจุใจ

ปลาคัทสึโอะเป็นปลาย้ายถิ่นชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงค์เดียวกับปลาซาบะ ว่ากันว่าการมาของปลาคัทสึโอะเป็นการบ่งบอกให้รู้ว่าฤดูร้อนกำลังจะมาถึง เนื่องจากปลาคัทสึโอะจะย้ายถิ่นเข้ามาในน่านน้ำของญี่ปุ่นราวๆ เดือนพฤษภาคม

วิธีการรับประทานปลาคัทสึโอะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ คัทสึโอะทาทาคิ ซึ่งเป็นเมนูการปรุงที่นำปลาคัทสึโอะชั้นเลิศที่สดใหม่ไปย่างด้วยฟางให้ผิวด้านนอกหอมกลิ่นไหม้แต่เนื้อในชุ่มฉ่ำ จากนั้นเสิร์ฟพร้อมกับกระเทียมและต้นหอมซอยโรยให้พูน และน้ำจิ้มโชยุผสมน้ำส้มสายชูเพื่อดึงรสชาติ หรือจะรับประทานแบบเรียบง่ายด้วยเกลือก็ได้

จิบคู่กับเหล้ายูซุ ผลไม้ชื่อดังของโคจิ

อาหารสำรับอื่นๆก็อลังการไม่แพ้กัน

ชมการแสดงในแบบของโคจิ

มีการเชิญชวนให้แขกขึ้นไปเต้นรำบนเวทีด้วย และให้ใส่หน้ากากเป็นปลาคัทสึโอะ

ถ่ายคู่กับดาวเด่นของเราในวันนี้ 🙂


และที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ คือ Katsuo Guesthouse การเข้าพักในสไตล์แบบเป็นกันเองของชาวโคจิ ที่ให้ความรู้สึกเหมือนพักบ้านของตัวเอง ราคาสบายกระเป๋า ปลอดภัย และเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของการมาเยือนเมืองโคจิในครั้งนี้ สามารถอ่านรีวิวได้ ที่นี่ และเข้าสู่เว็บไซต์ >> KATUO-GH

อัตราค่าบริการ : หอพักรวม 2,800 เยน ต่อคน / ห้องเดียว・เช่าเหมา 3,800 เยน ต่อคน

ห้องพักตกแต่งอย่างเรียบง่าย และน่ารัก

มีเตียงฟูตองจัดเตรียมไว้ให้ปูนอนกันเองตามสะดวก

แล้วมาพักกับเรานะคะ / ครับ~

KochiShikokuUnseen Japanชิโกกุเที่ยวญี่ปุ่นโคจิ