นั่งรถไฟ JR เที่ยว วะคะยะมะ-มิเอะ ได้ในพาสเดียว ตอน 4: อิเซะ-โทบะ (Ise-Toba)

ทริปนี้จะเป็นการใช้ Ise-Kumano Area Tourist Pass เป็นพาสพิเศษจาก JR ที่สามารถใช้เดินทางเที่ยวจากสนามบินคันไซ ไปยัง Wakayama และ Kumano รวมถึง Ise และ Nagoya ไปสิ้นสุดที่สนามบินเซ็นแทร์ได้ ถือว่าเป็นอีกพาสที่น่าสนใจ สำหรับคนที่ต้องการเที่ยวในเส้นทางนี้ เนื่องจากก่อนหน้านี้ยังไม่มีพาสใดที่ครอบคลุมโซนนี้โดยเฉพาะ

เส้นทางการเดินทางที่ครอบคลุมโดยพาสนี้ ดูรายละเอียดพาสที่นี่ >> Ise-Kumano Area Tourist Pass

ราคา ผู้ใหญ่ 11,000 เยน / เด็ก 5,500 เยน

วันสุดท้ายเราตั้งต้นกันที่ สถานี Iseshi การเดินทางภายในตัวเมืองอิเสะ สามารถใช้บริการ CAN Bus ที่จะวิ่งตามสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังต่างๆ ตั๋ววันราคา 1,000 เยน หรือ เดินทางรอบเมืองด้วยบัตรรถบัส Michikuchi Ticket แบบ 1 วัน ราคา 1,000 เยนเช่นกัน

อิเสะ (Ise) ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ (Mie) มีชื่อเรียกเดิมว่า อุจิยะมะดะ (Ujiyamada) เป็นเมืองเล็กที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น และเป็นเมืองหลักในการเดินทางมาแสวงบุญของผู้เลื่อมใสในศาสนามาช้านาน และเดิมศาลเจ้าหลักทั้งสอง มีชื่อเรียกดังนี้ ศาลเจ้า คือ Uji ศาลเจ้านอก คือ Yamada จึงเป็นที่มาของชื่อเรียเมืองนี้ในอดีตนั่นเอง

เป้าหมายแรกของเราในวันนี้คือ ศาลเจ้าส่วนใน หรือ  ไนคุ (Naiku) ใช้บริการรถ CANBUS ไปได้เลย

ก่อนที่เข้าไปยังบริเวณทางเข้าศาลเจ้าส่วนใน จะพบกับย่าน โอฮะไรมะชิ (Oharaimachi) เป็นย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า เอโดะน้อย (Little Edo) บรรยากาศของอาคารบ้านเรือนสมัยก่อนถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ กลายเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและ ร้านอาหารประจำเมืองมากมาย  แนะนำให้ลองชิม อิเสะอุด้ง (Ise Udon) อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้

ไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกครั้งต้องพก Pocket WiFi ญี่ปุ่น 4G จาก TRIPIZEE ไปด้วยเสมอ เพราะไม่เคยมีปัญหาเรื่องสัญญาณเลย ไม่ว่าจะไปเมืองไหนก็ตาม รับรองงานนี้แอดมินใช้เองและการันตีว่าดีจริง!!

ตอนนี้มีโปรโมชั่นเพียงแค่ 150 บาทต่อวันเท่านั้น แถมช่วงนี้มีส่วนลดพิเศษ 100 บาท/การจอง เมื่อจองตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป เพียงใส่ Promo Code “TYPMAR18” ถึง 31 มี.ค. 2018 เท่านั้น จองได้เลย >> TRIPIZEE

เดินเข้ามาด้านในจะพบกับตรอก โอคะเกะโยโคะโจ (Okage-yokocho) มีการแสดงพื้นเมืองให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และที่นี่เองที่เราจะมาลองชิม อิเสะอุด้ง แบบต้นตำรับกัน ที่ร้าน Fukusuke

เส้นอุด้งของที่นี่จะมีเนื้อที่นิ่มกว่า เส้นอุด้งทั่วไป และนำซุปที่มาด้วยจะมีรสชาตเข้มข้น

ชมการแสดงตีกลองอันทรงพลัง

เมืองอิเสะ มีศาลเจ้าชินโตอยู่แห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อด้านของความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อว่า ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine) ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดเรียกด้วยคำว่า จิงงู (Jingu) ที่มีความหมายตรงตัวว่า ศาลเจ้า ใช้แทนชื่อเรียกศาลเจ้าอิเสะได้เลย ทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลมากถึง 7 ล้านคน

ศาลเจ้าอิเสะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ศาลเจ้าใน เรียกว่า ไนคุ (Naiku) และศาลเจ้านอก เรียกว่า เกะคุ (Geku) มีประวัติอันยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น

ศาลเจ้าใน (Naiku) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า คะไทจิงงุ (Katai Jingu) สร้างขึ้นเมื่อราว 4 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นที่สถิตของเทพสูงสุดของญี่ปุ่นคือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ นามว่า อะมะเทระสุโอมิคะมิ (Amaterasu Omikami) เทพเจ้าที่คอยปกปักษ์คุ้มครองชาวญี่ปุ่นให้แคล้วคลาดปลอดภัยและร่มเย็น นับตั้งแต่อดีตกาล จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือ สะพานไม้อุจิบะชิ (Uji-bashi) ข้ามแม่น้ำอิซุซู (Isuzu River) มีความยาว 100 เมตร  เป็นสะพานที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์

การเดินทาง จากสถานี Iseshi หรือ ศาลเจ้านอก นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Ise Jingu (Naiku) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที

อ่านรีวิวพาเที่ยวอิเสะกันแบบเต็มๆได้ >> ที่นี่


ต่อจากนั้นเราเดินทางด้วยรถไฟ JR มาที่สถานี Toba เพียง 15 นาทีเท่านั้น มีศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยวในสถานี

จากสถานีเราสามารถเดินมายังพิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะได้เลย

พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) มีจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ไข่มุก ที่อธิบายและสาธิตวิธีการเลี้ยงหอยมุก ที่ถูกคิดค้นและทำให้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โดย Kokichi Mikimoto ในปีค.ศ. 1893

นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว ยังสามารถชมการจับหอยออยสเตอร์โดย อามะซัง หรือสาวนักดำน้ำ ที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าอามะซังมีอายุตั้งแต่ สาวรุ่น 20 กว่า จนไปถึงรุ่นอาม่าอายุ 80 เลยทีเดียว

พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Museum) จัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์จาก ไข่มุกชั้นเลิศที่ถูกคัดเลือกอย่างปราณีต นำมาใช้ประดับเป็นผลงานอันทรงคุณค่า ที่ประเมินราคาไม่ได้ เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> MIKIMOTO 

มีผลิตภัณฑ์ความงามจากไข่มุกมิกิโมโตะจำหน่ายด้วย


และเดินต่อมาอีกไม่ไกล จะพบกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์ที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำไว้มากที่สุดในญี่ปุ่น กว่า 1,000 ชนิด และเป็นเพียงแห่งเดียวที่อนุรักษ์พะยูนเอาไว้

มีป้ายต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย

ภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็นโซนให้เดินเที่ยวทั้งหมด 12 โซน เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> TOBA AQUARIUM


ต่อจากนั้นไปทานอาหารกันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ที่ชื่อว่า Hachiman Kamado ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Osatsu ห่างจากสถานี Toba ประมาณครึ่งชั่วโมง มีบริการรถชัทเทิลรับส่งฟรีจากสถานี Toba เรียกว่า Ama Bus (ขาไป 11.30, 13.00, 14.30 / ขากลับ 12.10, 13.40, 15.10, 16.40) จองล่วงหน้า พร้อมกับตอนจองเวลาที่จะไปกระท่อมอามะซัง

เมื่อเดินทางมาถึงเหล่าอามะซังจะออกมายืนต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมถือธงชาติไทยต้อนรับคณะของเราอีกด้วย

โดยอามะซังตัวจริง จะนำอาหารทะเลสดๆ ไม่ว่าจะเป็น หอยอาซาริ หรือ กุ้งลอบสเตอร์ มาย่างให้เราทานกันแบบสดๆ แถมมีชุดอามะซังให้แต่งคอสเพลย์ และร่วมเต้นรำด้วยกันอีกด้วย สนนราคาต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,780 เยน ดูรายละเอียดที่นี่ >> AMAYOKA (มีล่ามแปลภาษาอังกฤษ และมีโบรชัวร์ภาษาไทยด้วย)

ปิดท้ายทริปด้วยคลิปบรรยากาศภายในกระท่อมอามะซังครับ

https://www.facebook.com/tiewyeepoon/videos/1877321589007482/

อ่านรีวิวเที่ยวโทบะแบบเต็มๆได้ >> ที่นี่

 

AmasanaquariumChubuIseKintetsuKintetsu Rail PassMieMikimotoOharaimachiTobaคินเท็ตซึจังหวัดมิเอะจูบุมิกิโมโตะมิเอะอิเสะเที่ยวญี่ปุ่นโทบะ