Tohoku: ตะลุยหิมะขาวส่งท้ายฤดูหนาวที่โทโฮคุ 5 วัน 4 คืน

การเดินทางในครั้งนี้เป็นการขับรถท่องเที่ยวไปในแถบจังหวัดนีงาตะและโทโฮคุตอนใต้ เราใช้เวลา 5 วัน 4 คืน ไปทั้งหมด 4 จังหวัด คือ นีงาตะ (Niigata) ฟุกุชิมะ (Fukushima) มิยางิ (Miyagi) และ ยามากาตะ (Yamagata) ทั้ง 4 จังหวัดนี้มีอาณาเขตเชื่อมต่อกันจึงทำให้ทริปนี้เดินทางสะดวกมากๆ แม้เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่รอยต่ออยู่ติดกันแต่มีความแตกต่างด้านวัฒนธรรมที่เห็นเด่นชัด โดยทริปนี้เราจะเน้นไปสัมผัสกิจกรรมฤดูหนาวในรูปแบบต่างๆ พร้อมกับชิมอาหารท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์หารับประทานได้เฉพาะที่ภูมิภาคนี้เท่านั้น 

รีวิวนี้จะเรียงลำดับตามสถานที่ที่เพื่อนๆ สามารถเที่ยวตามรอยกันได้เลย โดยนั่งรถไฟชินคันเซ็นมาลงที่สถานี Echigo Yuzawa เช่ารถแล้วก็เริ่มลุยตามแผนการเดินทางในแต่ละวัน

วันที่ 1 : [นีงาตะ] ร้านมูรังก็อตโซ่ / สกีรีสอร์ทอิชิอุจิ มารุยามะ / ร้านซูชิเบงเก ปิอะ บันได
วันที่ 2 : [นีงาตะ] โรงกลั่นสาเกอิมะโยสึคาสะ / [ฟุกุชิมะ] หมู่บ้านโบราณโออุจิจูคุ / ทะเลสาบอินาวะชิโระ
วันที่ 3 : [ฟุกุชิมะ] สโนว์ชูที่บึงโกะชิคินุมะ / [ยามากาตะ] ร้านเนื้อโยเนะซาวะ คงโกคะคุ / สโนว์พารค์ดนเด็นไดระ
วันที่ 4 : [ยามากาตะ] ปีศาจหิมะแห่งเขาซาโอะ/ [มิยางิ] ร้านลิ้นวัวย่างดาเตะโนะกิวตันฮอนโปะ / เก็บสตรอว์เบอร์รี่ที่เจอาร์ ฟรุ๊ตพาร์ค เซนได อาราฮามะ
วันที่ 5 : [มิยางิ] แหล่งคอมมูนิตี้มิยางิมัตสึชิมะริคคิว / ร้านมัตสึชิมะ คามาโบโกะ ฮอนโป / โรงน้ำชาคันรันเท


วันที่ 1

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หลังจากที่เดินทางมาถึงสถานี Echigo Yuzawa เพื่อนๆ สามารถเดินมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารที่อยู่หน้าสถานีได้เลย

ร้านมูรังก็อตโซ่ (Murangozzo)

คอนเซ็ปต์ของร้านคือ เชฟจะแนะนำวัตถุดิบในท้องถิ่นของเมืองอุโอนูมะ รวมไปถึงข้าวสายพันธุ์โคชิฮิคาริ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น ผ่านทางเมนูของอาหารในร้าน ซึ่งคนท้องถิ่นก็คุ้นเคยกับวัตถุดิบเหล่านี้แต่ให้รสชาติที่แตกต่างจากเมนูอาหารในชีวิตประจำวัน และอยากให้ลูกค้าต่างถิ่นสัมผัสถึงคุณภาพของวัตถุดิบที่ทำให้รู้สึกเลยว่าเรามาถึงเมืองอุโอนูมะแล้ว

สำหรับชื่อร้าน มูรังก็อตโซ่ เป็นคำพ้องเสียงในภาษาญี่ปุ่นกับคำว่า มูระโนะโกะจิโซ (Mura no Goshisou) มุระ (Mura) แปลว่า หมู่บ้าน โนะ (no) แปลว่า ของ ส่วน โกะจิโซ (Goshisou) แปลว่า อาหารชั้นเลิศ 

ครั้งนี้เราเลือกคอร์สอาหารเป็น Resort course ราคา 2,750 เยน ที่มีไฮไลท์อยู่ที่ปลาบุริ ที่ขึ้นชื่อว่ามีรสชาติที่เอร็ดอร่อยมากในช่วงฤดูหนาว แหล่งที่จับคือบริเวณเกาะซาโดะในทะเลญี่ปุ่น หมูซึมาริพันธุ์ท้องถิ่นหมักในมิโซะเชื้อราโคจิที่อุณหภูมิต่ำ เมนูนาเมะชิผักที่ผัดกับมิโซะ ข้าวสวยร้อนๆพันธุ์โคชิฮิคาริ มินามิอุโอนูมะพร้อมกับซุปมิโซะธรรมชาติ โมโรมิใส่เห็ดนาเมโกะ หากใครไม่อยากทานมื้อหนักบริเวณชั้น 1 ของร้าน ก็มีบริการแบบคาเฟ่ และมีมุมขายของฝากด้วย

เวลาทำการ:  11.00 น. – 19.30 น. (เม.ย. – กลางธ.ค.) / 11.00 น. – 20.00 น.  (กลางธ.ค. – มี.ค.)
การเดินทาง: ตั้งอยู่ในสถานี JR Echigo-Yuzawa โซน CoCoLo Yuzawa
เว็บไซต์ | พิกัด


สกีรีสอร์ทอิชิอุจิมารุยามะ (Ishiuchi Maruyama Ski Resort) 

เมื่อพูดถึงสกีรีสอร์ทที่น่าสนใจระดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น คงไม่พ้นสกีรีสอร์ทอิชิอุจิ มารุยามะ ตั้งอยู่ที่เมืองมินามิอุโอนูมะ จังหวัดนีงาตะ จุดเด่นของลานสกีแห่งนี้คือเดินทางสะดวกเพราะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวมากนัก เพื่อนๆ สามารถเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นเพียง 80 นาที มีรถรับส่งจากสถานี Echigo Yuzawa ที่ใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น 

สกีรีสอร์ทแห่งนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1494 เป็นที่ชื่นชอบของนักสกี นักสโนว์บอร์ด ทั้งมือใหม่และมืออาชีพระดับฝึกซ้อมเพื่อแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว สำหรับใครที่ไม่ถนัดเล่นสกี แต่อยากดื่มด่ำบรรยากาศสกีรีสอร์ท ที่นี่เพิ่งเปิดบริการโซนใหม่ที่มีชื่อว่า Snow Garden ไฮไลท์คือ สโนว์โดมใส และเทอร์เรซสำหรับชมวิว 

ตัวโดมมี 2 ขนาด ขนาดเล็กนั่งได้ 4 คน ส่วนขนาดใหญ่นั่งได้ประมาณ 8 คน หลังจากลงกอนโดล่าแล้ว แนะนำให้ซื้อเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวจากคาเฟ่เพื่อมานั่งรับประทานระหว่างที่นั่งเล่นในโดม ภายในโดมนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น โต๊ะเก้าอี้ พรม ผ้าคลุมเข่า ชั้นวางของ ตะเกียง ฮีทเตอร์ และมี Wifi ไว้ให้บริการด้วย สิ่งที่น่าประทับใจ คือตะกร้าหวายใส่ของที่ซื้อมาจากในคาเฟ่ทำให้เราหิ้วสะดวกสบาย นำมาเป็นพร็อพถ่ายรูปได้อีกด้วย 

ในส่วนของเทอร์เรซด้านนอกโดมจะมีโต๊ะและเก้าอี้ให้เรานั่งชมทัศนียภาพของที่ราบอุโอนูมะและภูเขาเอจิโกะที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวบริสุทธิ์ ทะเลหมอก ภาพสีแดงเข้มของภูเขาเอจิโกะยามพระอาทิตย์ตกดิน อีกทั้งได้เห็นคนที่มาเล่นสโนว์บอร์ดอย่างใกล้ชิด สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่แนะนำให้จองก่อนล่วงหน้า

เวลาทำการ: โซน Snow Garden 10.00 น. – 16.00น.  (ปลายธ.ค. ปลายมี.ค.)
ค่าบริการ: ค่าเข้าบริเวณ Snow Garden (60 นาที) ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็ก 1,000 เยน
หากซื้อเป็นแพ็คเกจกอนโดล่า+Snow Garden  ผู้ใหญ่ 3,000 เยน, เด็ก 2,000 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Echigo-Yuzawa ขึ้นรถชัทเทิลบัสของสกีรีสอร์ต ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด


ร้านซูชิเบงเกปิอะบันได (Sushi Benkei Pier Bandai)

ร้านซูชิที่ดังที่สุดในจังหวัดนีงาตะ เพราะวัตถุดิบส่งตรงมาจากเกาะซาโดะ (Sado Island) ทุกเช้า ส่วนข้าวซูชิของร้านนี้ก็ใช้ข้าวสายพันธุ์โคชิฮิคาริที่มีความหอมหวาน ส่งผลให้วัตถุดิบที่นำมาปั้นคู่กันนั้นอร่อยมากยิ่งขึ้น 

เรามาที่สาขา Pier Bandai บริเวณนี้แบ่งเป็นโซนต่างๆ ทั้งโซนร้านอาหาร โซนตลาดที่จำหน่ายปลา อาหารทะเล ทั้งแบบสด และแปรรูป อีกทั้งโซนผัก ผลไม้ ร้านส่วนใหญ่จะปิดทำการในเวลา 18.00 น. ยกเว้นร้านอาหาร

ภายในร้านซูชิมีที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ สามารถออเดอร์เชฟโดยตรงหรือหยิบจากสายพานได้ นอกจากนี้มีโต๊ะนั่งทั่วไป สามารถออเดอร์เป็นคอร์สโดยมีเมนูให้เลือกหลากหลาย เราออเดอร์ซูชิ 12 คำมาในราคา 2,400 เยน โดยเมนูแนะนำห้ามพลาด คือ ปลาโนโดะกุโระ หรือที่รู้จักว่าปลากะพงสีชมพู เป็นปลาเนื้อขาวที่อุดมไปด้วยไขมันชั้นดี จะพบได้เฉพาะในทะเลญี่ปุ่นเท่านั้น

เวลาทำการ: 10.30 น. – 21.30 น. (L.O 21:00) ปิดทำการวันพุธ
การเดินทาง: จากสถานี JR Niigata ทางออก Bandai เดินประมาณ 15 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

ค่ำคืนแรกเราเข้าพักที่โรงแรม Yumotoya Onsen Ryokan Niigata เป็นเรียวกังที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880  ออนเซ็นที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องการรักษาโรคต่างๆ ได้ แถมยังเดินทางสะดวกเพราะห่างจากตัวเมืองนีงาตะเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น สำหรับคืนนี้ขอตัวไปพักผ่อน ก่อนจะไปลุยเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้กันนะคะ

การเดินทาง: จากสถานี JR Niigata ขึ้นรถไฟสาย JR Echigo ลงสถานี Iwamuro จากนั้นขึ้นรถชัทเทิลบัสของโรงแรม ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด


วันที่ 2

โรงกลั่นสาเกอิมะโยสึคาสะ (Imayotsukasa Sake Brewery)

แหล่งผลิตสาเกขนาดใหญ่แห่งแรกของญี่ปุ่น ก่อตั้งเมื่อปีค.ศ. 1767 โดยมีโรงกลั่นสาเกมากถึง 88 แห่งด้วยกัน ซึ่งที่นี่มีปัจจัยสำคัญในการผลิตสาเก ได้แก่ ข้าวพันธุ์ดี น้ำที่บริสุทธิ์ ผู้ผลิตที่มีความรู้ความชำนาญระดับปรมาจารย์ และสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้สาเกของจังหวัดนีงาตะมีเอกลักษณ์เฉพาะ 

บริเวณด้านหน้าโรงกลั่นจะเห็นลูกบอลไม้สนซีดาร์ (Sugidama) ห้อยลงมาจากกันสาด เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสาเกใหม่มีอายุเท่าไหร่แล้ว การผลิตสาเก ของที่นี่บางส่วนยังคงใช้ถังที่ทำจากไม้ซีดาร์ญี่ปุ่น นับเป็นที่เดียวในเมืองนี้ที่มีการหมักสาเกแบบวิธีดั้งเดิมด้วย  นอกจากสาเกแล้วที่โรงกลั่นแห่งนี้ยังผลิตอามาซาเกะ มีรสหวานแต่ไม่มีแอลกอฮอล์ ผลิตจากข้าวหมักที่เรียกว่าโคจิ

โรงกลั่นสาเกนี้เข้าเยี่ยมชมได้ฟรีแต่ต้องทำการนัดล่วงหน้า จะมีเจ้าหน้าที่อธิบายประวัติพร้อมขั้นตอนการผลิตสาเก ทั้งนี้หากต้องการคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษมีเฉพาะวันธรรมดาเวลา 14.00 น. หลังเยี่ยมชมโรงสาเกเสร็จแล้ว จะมีอามาซาเกะ 3 ชนิด ให้ลองชิมเปรียบเทียบความแตกต่างโดยไม่มีค่าใช้จ่าย 

ส่วนใครที่อยากชิมสาเกพรีเมียมทั้งหมด 17 ประเภท จะมีค่าใช้จ่ายในราคา 1,000 เยน ซึ่งทั้งหมดถูกกลั่นด้วยสาเกข้าวบริสุทธิ์ ทั้งนี้สาเกจุนไม กินโจ อิมะโยสึคาสะ ได้รับรางวัลเหรียญทองประเภท Gohyakumangoku ในปี ค.ศ. 2021 ในคุระมาสเตอร์ด้วย นอกจากนี้ยังมีพุดดิ้งและซอฟท์ครีมที่ทำจากกากสาเกจำหน่ายในบริเวณร้านขายของฝากไว้ให้ลิ้มลองด้วย

เวลาทำการ: 13.00 น. – 17.00 น. (วันธรรมดา) / 9.00 น. – 17.00 น. (วันเสาร์ – วันอาทิตย์)
การเดินทาง: จากสถานี JR Niigata ทางออก Bandai เดินประมาณ 15 นาที หรือ ขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 12 ลงที่ป้าย Nuttarihakusan ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ | สำรองทัวร์ | พิกัด


หมู่บ้านโบราณโออุจิจูคุ (Ouchijuku)

หมู่บ้านแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในยุคเอโดะเมื่อปี ค.ศ.1640 เป็นจุดแวะพักกลางทางของเหล่าขุนนางและซามูไร ที่เดินเท้าระหว่างเอโดะกับอาณาจักรไอสึ จังหวัดฟุกุชิมะ และเมืองข้างเคียงอิไมจิ จังหวัดโทจิงิ 

ถนนที่ตัดผ่านหมู่บ้านนี้เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางชิโมสึเคะไคโด จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่ยุคเมจิ มีการเปิดเส้นทางใหม่ๆ ที่สะดวกขึ้น จึงทำให้ความนิยมของหมู่บ้านแห่งนี้ลดลงไป ต่อมาปี ค.ศ.1981 หมู่บ้านแห่งนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเขตอนุรักษ์สิ่งปลูกสร้างอันทรงคุณค่าของชาติ 

จุดเด่นของหมู่บ้านนี้อยู่ที่การมุงหลังคาด้วยหญ้าซูซูกิ หากมาเยือนในฤดูหนาวเราอาจจะเห็นมัดหญ้าซูซิกิห้อยเรียงบริเวณหน้าบ้าน เมื่อจบฤดูหนาวแล้วจะมีการนำหญ้าเหล่านั้นมาซ่อมแซมหลังคาบางส่วนที่ชำรุดเสียหาย

ในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านโบราณประมาณ 40 – 50 หลัง ที่อนุรักษ์ไว้ โดยปัจจุบันบางบ้านเปลี่ยนมาเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร รวมถึงที่พักอาศัย สำหรับของที่ระลึกห้ามพลาด เช่น สาเก เครื่องปั้นดินเผา และผ้าฝ้าย ส่วนเมนูอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้คือโซบะทำมือ เสิร์ฟมาพร้อมต้นหอมญี่ปุ่นที่ถูกนำมาใช้แทนตะเกียบ 

อีกจุดที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ คือจุดชมวิวที่อยู่ท้ายถนน เราสามารถมองลงมาเห็นหลังคาหญ้าซูซูกิของหมู่บ้านเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม โดยความงามจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละฤดู แต่สำหรับฤดูหนาวนี้เราจะได้เห็นวิวหิมะสีขาวโพลน ที่สำคัญปีนี้หิมะตกค่อนข้างหนักทำให้จุดชมวิว สูงขึ้นจากปกติอีก 1 เมตร จึงทำให้เราเห็นวิวของหมู่บ้านสวยงามแปลกตากว่าช่วงฤดูกาลอื่นๆ

เวลาทำการ: เปิดให้บริการตลอดปี
การเดินทาง: จากสถานี Yunokamionsen ขึ้นรถแท็กซี่ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

ทะเลสาบอินาวะชิโระ (Lake Inawashiro)

ทะเลสาบนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของจังหวัดฟุกุชิมะ เกิดจากการระเบิดของภูเขาอุระบันไดและภูเขาเนโกมะ ทะเลสาบแห่งนี้ติด 1 ใน 4 ของทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีอีกชื่อเรียกว่า “ทะเลสาบกระจกแห่งสวรรค์” เพราะพื้นน้ำที่ใสสะท้อนเงาของภูเขาอุระบันไดและท้องฟ้า ทะเลสาบนี้มีกิจกรรมให้ทำทุกฤดูกาล เช่น ว่ายน้ำ ตกปลา ตั้งแคมป์ วินด์เซิร์ฟ ปั่นเรือหงส์ เรือเต่า และสกีน้ำ

ตั้งแต่ฤดูหนาวจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิจะมีฝูงหงส์อพยพมาจากไซบีเรีย นักท่องเที่ยวสามารถชมอย่างใกล้ชิดได้ โดยซื้อขนมปังมาเลี้ยง ถุงเล็ก 100 เยน ถุงใหญ่ 200 เยน นอกจากนี้ยังมีนกเป็ดน้ำให้เห็นด้วย  หากใครอยากค้างแรมดื่มด่ำบรรยากาศให้จุใจ สามารถสำรองที่พักบริเวณใกล้ๆ รวมทั้งซึมซับกับวิวอันสวยงามที่คาเฟ่ในบริเวณรอบๆ ทะเลสาบได้อีกด้วย 

เวลาทำการ: หากมาเยือนในฤดูหนาวแนะนำว่าไม่ควรมาถึงหลังเวลา 16.30 น.
การเดินทาง: จากสถานี Koriyama ขึ้นรถไฟ JR สาย Ban-Etsusai ลงสถานี Inawashiro ใช้เวลา 35 นาที จากนั้นขึ้นรถบัสมาลงที่ป้าย Nagahama ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

จบทริปวันที่สองแล้ว คืนนี้เราเข้าพักที่ Urabandai Lake Resort ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ Bandai – Asahi ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Hibara และทะเลสาบ Goshikinuma มื้อค่ำเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติ และที่นี่ยังมีร้านขายของที่ระลึกที่ดูทันสมัยน่าช้อปปิ้งมากๆ เลยค่ะ

การเดินทาง: จากสถานี Inawashiro ขึ้นรถประจำทาง Bandai Toto Bus สาย Urabandai Kogen Eki ลงที่ป้าย Urabandai Kogen Hotel ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด


วันที่ 3

สโนว์ชูที่บึงโกะชิคินุมะ (Goshikinuma Ponds)

บึงโกะชิคินุมะ เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟบันไดในปี ค.ศ.1888 ทำให้เกิดที่ราบสูง และบึงน้ำขนาดเล็กใหญ่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากน้ำในบ่อมีส่วนผสมของน้ำพุร้อน จึงทำให้น้ำไม่แข็งตัวเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาว และมีสีสันสวยงามหลายเฉดสี เช่น สีเขียวมรกต สีฟ้าโคบอลต์ สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ สีน้ำเงินมรกต และสีฟ้าพาสเทล ซึ่งสีสันที่เกิดขึ้นเหล่านี้ล้วนสืบเนื่องจากแร่ธาตุของดินตอนภูเขาไฟระเบิด 

ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีทั้งหมด 30 บ่อ แต่ใช่ว่าจะไปเยือนได้ทั้งหมด เพราะบางบ่อไม่มีเส้นทางที่จะเดินไปได้ เว้นแต่ช่วงที่หิมะทับถมเท่านั้น ทำให้ช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุม จึงมีกิจกรรมที่น่าสนใจนั่นก็คือการเดินเทรคกิ้งด้วยสโนว์ชู เราจึงซื้อคอร์สของ Mokumoku Nature School เพื่อเดินชมธรรมชาติด้วยรองเท้าที่เรียกว่า “สโนว์ชู” กันด้วยค่ะ

สโนว์ชูจะช่วยให้เราเดินบนหิมะได้โดยที่ไม่จมลงไป ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์ได้ง่ายๆ ไม่ต้องการทักษะมากนัก ใครที่เล่นสกี สโนว์บอร์ดไม่เป็นก็สนุกได้ 

เราเดินผ่านบึง Yanagi-numa, Ao-numa และไปสิ้นสุดที่ Ruri-numa เดินทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่ง ระหว่างทางไกด์จะคอยอธิบายสิ่งที่น่าสนใจ เช่น ดอกไฮเดรนเยียสายพันธุ์เถาวัลย์ที่พบเจอได้ยาก นำไปทำเป็นดอกไม้ตากแห้งจะสวยมากๆ แต่ไกด์บอกว่าถ้าเผลอไปเด็ดเราจะต้องเสียค่าปรับถึง 500,000 เยน เลยนะคะ

เวลาทำการ: 9.00 – 11.45 น. (กลางม.ค. – ต้นเม.ย.)
ค่าบริการ:  4,900 เยน (รวมค่าเช่ารองเท้า สนับแข้ง ไม้ค้ำ และไกด์ท้องถิ่น กรณีเช่าชุดและกางเกงมีค่าเช่าเพิ่ม) ติดต่อจองผ่านโรงแรม Urabandai Lake Resort ได้
การเดินทาง: จากสถานี Inawashiro ขึ้นรถประจำทาง Bandai Toto Bus สาย Urabandai Kogen Eki ลงที่ป้าย Urabandai Kogen Hotel ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

ร้านเนื้อโยเนะซาวะคงโกคะคุ (Yonezawa Beef Kongokaku)

เมื่อมาเยือนจังหวัดยามากาตะ สิ่งหนึ่งที่ผู้ชื่นชอบรับประทานเนื้อวัวห้ามพลาดคือ เนื้อวัวโยเนะซาวะ เป็นวัววากิวพันธุ์ขนดำที่ถูกเลี้ยงดูเป็นระยะเวลา 32 เดือน อย่างพิถีพิถันด้วยฟางข้าวซึ่งนำมาจากดินที่อุดมด้วยแร่ธาตุของจังหวัดยามากาตะ

ร้านนี้มีความเชี่ยวชาญในการคัดเลือกเนื้อคุณภาพสูงมายาวนานตั้งแต่สมัยไทโช ปีค.ศ.1923 จึงทำให้ร้านได้รับประกันคุณภาพ ISO 22000 ซึ่งเป็นระบบการจัดการความปลอดภัยที่มีมาตรฐานเกี่ยวข้องกับอาหาร การวิเคราะห์เรื่องอันตราย และจุดวิกฤตที่จำเป็นต้องได้รับการควบคุมในขั้นตอนการผลิตอาหารอีกด้วย 

เราเลือกรับประทานมื้อกลางวันแบบเซ็ต Stamina Lunch เป็นอาหารชุดเนื้อย่างพร้อมข้าว ซุปและสลัด ราคาเพียง 2,530 เยน เทียบกับคุณภาพเนื้อที่ได้ถือว่าราคาคุ้มค่า สำหรับเพื่อนๆ ท่านใดที่ไม่รับประทานเนื้อวัว ที่ร้านนี้ก็มีเมนูอาหารทะเลไว้บริการด้วยนะคะ 

เวลาทำการ: 11.00 น. – 15.00 น. และ 17.00 น. – 21.00 น. ปิดทำการวันอังคาร
การเดินทาง: จากสถานี Yonezawa เดินประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

สโนว์พารค์ดนเด็นไดระ (Dondendaira Snow Park)

ปกติในช่วงเดือนมิ.ย. – ก.ค. ที่นี่จะเป็นสวนดอกลิลลี่ที่มีมากกว่า 500,000 ต้น และตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 ช่วงฤดูหนาวที่หิมะปกคลุม ได้เปิดโซนกิจกรรมเพื่อเอาใจคนรักหิมะเพิ่มเติม มีกิจกรรมทั้งหมด 3 ชนิด ได้แก่ สโนว์โมบิล บานาน่าโบ๊ท และ สไลด์เดอร์หิมะขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 15 เมตร ความลาดเอียง 40 องศา โดยนั่งห่วงยางสไลด์ลงมา 

ทั้งนี้ก่อนที่จะไปยังโซนกิจกรรมข้างต้น จะมีห้องให้เราเข้าไปชมคลิปสอนวิธีเล่นเป็นภาษาไทยอย่างละเอียด เป็นสโนว์พาร์คที่สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ทั้งครอบครัว  

เวลาทำการ: 10.00 – 16.00 น. (กลางม.ค.-ต้นมี.ค.) 
ค่าบริการ: บัตร Free pass ใช้ได้สูงสุด 6 ชม. เล่นได้ไม่อั้น ผู้ใหญ่ 3,500 เยน เด็ก 2,500 เยน / บัตร 2 ชม. เล่นได้ไม่อั้น ผู้ใหญ่ 2,000 เยน เด็ก 1,500 เยน / ค่าเข้าธีมพาร์คอย่างเดียว (ไม่รวมเครื่องเล่น) ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 300 เยน / คูปอง 1,000 เยน มีตั๋ว 3 ใบ ใช้กับเครื่องเล่น สโนว์โมบิล และ บานาน่าโบ๊ท
การเดินทาง: จากสถานี Yonezawa ขึ้นรถแท็กซี่ ใช้เวลา 40 นาที หรือจากสถานี Akayu ขึ้นรถแท็กซี่ ใช้เวลา 30 นาที 
เว็บไซต์ | พิกัด

คืนนี้เราเข้าพักที่ Tendo Hotel ตั้งอยู่ในเมืองเทนโด เป็นแหล่งที่ผลิตชิ้นส่วนโชกิ (หมากรุกแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น) มากที่สุดในญี่ปุ่น และมีชื่อเสียงเรื่องบ่อออนเซ็น ห้องพักเป็นสไตล์ญี่ปุ่น มื้อค่ำจัดเป็นที่นั่งแบบย้อนยุค ใกล้แหล่งท่องเที่ยวยามราตรี To Yokocho เดินข้ามถนนไปเพียง 3 นาที 

การเดินทาง: จากสถานี Tendo ขึ้นรถชัทเทิลบัสของโรงแรม ใช้เวลา 4 นาที หรือจากสถานี Yamadera ขึ้นรถแท็กซี่ ใช้เวลา 15 นาที 
เว็บไซต์ | พิกัด


วันที่ 4

ปีศาจหิมะแห่งเขาซะโอ (Zao Snow Monster)

จุเฮียวหรือที่คุ้นหูว่าปีศาจหิมะ (Snow Monster) เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง จะเกิดเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งทำให้หมอกในอากาศกลายเป็นน้ำแข็ง แล้วไปเกาะบนกิ่งของต้นสนพันธุ์อาโอโมริโทโด ซึ่งขึ้นอยู่ตามลาดเขาที่มีความสูงกว่า 1,100 เมตร และมีลมพัดอย่างสม่ำเสมอจากทะเลญี่ปุ่น จึงทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆ คล้ายกับสัตว์ประหลาด 

ปีศาจหิมะนี้ถูกค้นพบเมื่อประมาณ 100 ปีก่อน โดยสมาคมนักปีนเขาของมหาวิทยาลัยที่มาเดินเขาช่วงฤดูหนาว ในเวลาต่อมาจึงมีการสร้างกระเช้าเพื่อให้ผู้คนจากทั่วสารพัดทิศมาชมทัศนียภาพนี้ได้สะดวกขึ้น 

ครั้งนี้เรามาเยือน Zao Onsen Ski Resort เป็นสกีรีสอร์ทที่มีชื่อเสียงบนภูเขาซะโอ ในจังหวัดยามากาตะ และเป็น 1 ใน 4 จุดที่สามารถชมปรากฎการณ์ดังกล่าวในประเทศญี่ปุ่น โดยอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,661 เมตร ส่วนจุดสูงสุดของภูเขาจิโซซัง มีความสูง 1,736 เมตร อากาศอยู่ที่ – 5.2 องศาเซลเซียส

ช่วงที่เหมาะแก่การมาชมปรากฏการณ์นี้คือ ตั้งแต่ม.ค. – ปลายมี.ค. โดยช่วงก.พ.ที่เรามาเยือนเป็นช่วงที่หิมะเกาะต้นไม้มากที่สุด ทำให้เห็นรูปร่างใหญ่เด่นชัด การขึ้นไปชมปีศาจหิมะนี้ เราจะต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปยังสถานีจิโซซันโช ด้านบนมีองค์พระพุทธรูปจิโซที่มีความสูง 236 ซม. ในฤดูหนาวถูกหิมะทับถมจนเห็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น 

ช่วงปลายม.ค.ถึงต้นมี.ค. ในตอนกลางคืนจะมีทัวร์นั่งรถสโนว์โมบิลเพื่อชมปีศาจหิมะเหล่านี้เปล่งประกายให้สีสันที่ลึกลับ นอกจากนี้ที่เชิงเขายังมีออนเซ็นที่ถูกค้นพบเมื่อ 1,900 ปีก่อนให้เราได้แช่ผ่อนคลายหลังจากที่หนาวเหน็บจากด้านบนได้

เวลาทำการ:  ฤดูหนาว (11 ธ.ค. – 31 มี.ค.) Sanroku Line 8:30 – 17:00 น. Sancho Line 8:45 – 16:45 น. / ฤดูร้อน (1 เม.ย. – 10 ธ.ค.) 8:30 – 17:00 น.
ค่าบริการ:  ค่ากระเช้าขึ้นไปยังจุดชมวิว (ไป-กลับ) ผู้ใหญ่ 3,000 เยน เด็ก 1,500 เยน 
การเดินทาง: จากสถานี Yamagata ขึ้นรถประจำทาง Yamako Bus ลงป้าย Zao Onsen Bus Terminal ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

ร้านลิ้นวัวย่างดาเตะโนะกิวตันฮอนโปะสาขาฮิงาชิ (Date no Gyutan Honpo Higashi)

เปิดให้บริการในปี ค.ศ.1991 โดยตั้งชื่อตามมาดาเตะ มาซามุเนะ ขุนนางศักดินาคนแรกของเมืองเซนได คอนเซ็ปต์ของร้านคืออยากแบ่งปันความสุขโดยปรุงลิ้นวัวให้ได้รสชาติอร่อยตามสูตรดั้งเดิม ทั้งนี้ลิ้นวัวเป็นของที่ระลึกชิ้นแรกที่ถือกำเนิดในเมืองเซนไดอีกด้วย 

เราสั่งเป็นเซ็ตลิ้นวัวชินตัน ราคา 2,750 เยน ซึ่งเป็นลิ้นวัวส่วนที่มีเนื้อสัมผัสที่นุ่มกว่าส่วนอื่นๆ ทางร้านเสิร์ฟมาพร้อมข้าวและซุปหางวัว มีนัมบังมิโซะที่ทำจากพริกเขียวรสเผ็ดให้เราทานคู่กับลิ้นวัวเพื่อเพิ่มรสชาติ และช่วยแก้เลี่ยนได้ สำหรับเซ็ตดังกล่าวมีจำนวนจำกัดและไม่รับจอง หากต้องการลิ้มลองแนะนำให้ไปถึงช่วง 11 โมง

เวลาทำการ: 11.00 – 15.00 น. และ 17.00 – 20.30 น. (วันธรรมดา) / 11.00 – 20.30 น. (วันเสาร์,อาทิตย์ และวันหยุดตามปฎิทิน)
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟใต้ดิน Arai ทางออกทิศใต้ประตู 1 เดิน 15 นาที 
เว็บไซต์ | พิกัด

เก็บสตรอว์เบอร์รี่ที่เจอาร์ฟรุ๊ตพาร์คเซนไดอาราฮามะ (JR Fruit Park Sendai Arahama)

ที่นี่มีผลไม้มากถึง 8 ชนิด เช่น สตรอว์เบอร์รี่ องุ่นพันธุ์ไชน์มัสแคต สาลี่และแอปเปิ้ล กว่า 156 สายพันธุ์ สามารถเก็บได้ตลอดปี ช่วงเดือนม.ค. – มิ.ย. สามารถเก็บสตรอว์เบอร์รี่ที่มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ ได้แก่ นิโกะนิโกะเบอร์รี่, โมวอิโกะ, อะมะเอะกุโบะ, โคอิมิโนริ รับประทานได้ไม่จำกัดภายใน 30 นาที 

โดยเฉพาะสายพันธุ์ “นิโกะนิโกะเบอร์รี่” ใช้เวลาพัฒนาสายพันธุ์นานถึง 12 ปี เป็นสายพันธุ์ออริจินอลของจังหวัดมิยางิ ที่เป็นการผสมพันธุ์ระหว่าง “โมวอิโกะ” กับ “โทจิโอโตเมะ” รสชาติหวานอมเปรี้ยวกำลังดี จะรับประทานสดหรือแปรรูปก็อร่อย นอกจากนี้ยังมีร้านขายของฝาก สินค้าท้องถิ่น รวมไปถึงคาเฟ่ขายขนมหวาน และมีห้องน้ำไว้บริการ 

เดิมทีบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยมาก่อนจนกระทั่งเกิดภัยพิบัติสึนามิเมื่อปี ค.ศ. 2011 ต่อมาได้ฟื้นฟูจนเกิดเป็นสวนขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 11 เฮกเตอร์ โดยยังคงสภาพผังเมืองบางส่วนอยู่ อยู่ใกล้กับโรงเรียนประถม Sendai Arahama ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1873 เป็นอาคารสูง 4 ชั้น ที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งอาราฮามะ ประมาณ 700 เมตร เป็นที่หลบภัยของครู นักเรียน และชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นทั้งหมด 320 คน หนีขึ้นไปบริเวณดาดฟ้า ทำให้รอดชีวิตจากคลื่นยักษ์สึนามิครั้งนั้น ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอด จากเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในอดีต โดยให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 9.30 น. – 16.00 น. หยุดทุกวันจันทร์

เวลาทำการ: 10.00 – 17.00 น. ปิดทำการวันอังคาร
ค่าบริการ: 5 ม.ค. -15 มี.ค. 2,200 เยน  / 16 มี.ค. -10 พ.ค. 1,800 เยน  / 11 พ.ค. – 19 มิ.ย. 1,600 เยน
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟใต้ดิน Arai ป้ายหมายเลข 2 ขึ้นรถประจำทาง Sendai Municipal Bus ลงป้าย Shinsai-iko Sendai-shiritsu Arahama Shogakko-mae จากนั้นเดินต่อประมาณ 5 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

เข้าพักคืนสุดท้ายของทริปที่ Hotel Matsushima Taikanso โดยมีอ่าวมัตสึชิมะที่สวยติดอันดับ 1 ใน 3 ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และยังสวยติดอันดับโลกด้วย สามารถชมวิวอ่าวได้จากห้องอย่างสวยงาม  มื้อค่ำเป็นบุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติ ไฮไลท์ห้ามพลาดคือการแช่ออนเซ็นกลางแจ้งรับแสงรุ่งอรุณ

การเดินทาง: จากสถานี Matsushima-Kaigan ขึ้นรถชัทเทิลบัสของโรงแรม ใช้เวลา 5 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด


วันที่ 5

คอมมูนิตี้มิยางิมัตสึชิมะริคคิว (Miyagi Prefecture Matsushima Rikyu)

เกาะมัตสึชิมะไม่ไกลจากเมืองเซนได มีแหล่งคอมมูนิตี้ใหม่ชื่อว่า Matsushima Rikyu ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปี ค.ศ. 2020 มีคอนเซ็ปต์คือเป็นจุดท่องเที่ยว แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และแหล่งทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำเวิร์คช็อป หรือทำบาร์บีคิวบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งพื้นที่ภายในแบ่งออกเป็นโซนเข้าฟรี และโซนที่ต้องจ่ายค่าเข้า 

บริเวณชั้น 1 มีร้านอาหาร Hamayaki Grill Rikyu ที่เสิร์ฟหอยและปลาสดๆ ให้เราปิ้งย่างอย่างจุใจ คาเฟ่ที่ต้องลองชิมซอฟท์เสิร์ฟ และร้านจำหน่ายขนมของฝาก รวมถึงมีจุดบริการให้เช่าจักรยานปั่นเที่ยวได้ โดยไฮไลท์ของชั้น 1 คือสวน Rikyu Garden มีบ่อจำลองรูปทรงของอ่าวมัตสึชิมะ และมีการเปิดไฟประดับยามค่ำคืนตลอดทั้งปี โดยจะเปลี่ยนธีมไปตามฤดูกาล 

อีกส่วนที่ห้ามพลาดก็คือหอ Letzel Tower ที่บูรณะขึ้นใหม่จากหอเดิมที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวเช็ก Jan Letzel โดยมีลักษณะเป็นเจดีย์ญี่ปุ่นที่มี 10 ด้านและมีความสูง 3 ชั้น ทำให้หอ Letzel Tower เข้ากับภูมิทัศน์ของอ่าวมัตสึชิมะได้อย่างกลมกลืน 

สำหรับพื้นที่ชั้น 2 มีกิจกรรมเวิร์คช็อป และมีร้าน Ume Luv Kimono Rental ให้เช่าชุดกิโมโนลงไปเดินถ่ายรูปบริเวณสวน สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเช่าชุดแนะนำให้จองก่อนล่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีโซนดาดฟ้าให้ขึ้นไปปิกนิกในฤดูร้อนพร้อมกับชมวิวอ่าวมัตสึชิมะ ที่ห้ามพลาดคือที่นี่มีร้านสตาร์บัคส์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่มีวิวสวยที่สุดในโทโฮคุอีกด้วย

เวลาทำการ: 9.00 – 22.00 น. (ร้านเช่าชุดกิโมโน 10.00 – 17.00 น.)
ค่าเข้า:  เริ่มต้นที่ผู้ใหญ่ 600 เยน เด็ก 300 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Matsushima-Kaigan เดิน 1 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด


ร้านมัตสึชิมะคามาโบโกะฮอนโป (Matsushima Kamaboko Honpo)

ของขึ้นชื่อเมื่อมาเยือนเมืองมัตสึชิมะคือลูกชิ้นปลาคามาโบโกะ ระหว่างที่ใส่ชุดกิโมโนเดินเล่นในเมือง เราได้แวะทำกิจกรรมย่างลูกชิ้น โดยนำลูกชิ้นปลาเสียบไม้ทรงใบพายมาย่างบนเตาถ่าน เทคนิคคือการย่างลูกชิ้นโดยพลิกไปมาจนกว่าลูกชิ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น 

นอกจากนี้ภายในร้านยังมีโซนขายของฝาก หนึ่งในนั้นมี Mou ซึ่งเป็นลูกชิ้นปลาที่ผสมกับถั่วเหลืองแล้วนำไปนึง ทำให้มีสัมผัสที่หนึบหนับ เป็นของฝากยอดนิยมในหมู่คนญี่ปุ่นเนื่องจากมีการแนะนำในรายการทีวี หากมาหลายคนควรจองล่วงหน้า 

เวลาทำการ: 9.00 – 16.00 น. (ธ.ค.-มี.ค.) / 9:00 – 17:00 น. (เม.ย.-พ.ย.)
การเดินทาง: จากสถานี Matsushima-Kaigan เดิน 9 นาที
เว็บไซต์ | จองออนไลน์ | พิกัด


โรงน้ำชาคันรันเท (Kanrantei Tea House)

เรือนไม้ชั้นเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของจังหวัดมิยางิ เดิมอาคารนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทฟุชิมิ โมโมยามะ ของฮิเดโยชิ โทโยโทมิในเกียวโต และต่อมาถูกรื้อมาสร้างใหม่มเป็นคฤหาสน์ของดาเตะ มาซามูเนะ จนกระทั่งบุตรชาย ทาดามุเนะ สั่งให้ย้ายไปยังตำแหน่งปัจจุบัน 

โรงน้ำชาแห่งนี้ตั้งอยู่บนแหลมเรียกว่า สึกิมิซากิ (แหลมชมจันทร์) จึงถูกตั้งชื่อว่า สึกิมิโกะเท็น หรือ เรือนชมจันทร์ จนกระทั่งดาเตะ โยชิมูระ ผู้ครองแคว้นรุ่นที่ 5 ได้เปลี่ยนชื่อโรงน้ำชาเป็น คันรันเท ซึ่งแปลว่า โรงชมระลอกคลื่นบนผิวน้ำ และกลายเป็นโรงน้ำชาประจำตระกูลดาเตะซึ่งถูกใช้รับรองเหล่าซามูไร เจ้าหญิง รวมไปถึงคนสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอีกมากมาย และใช้เป็นสถานที่พักชั่วคราวของเหล่าซามูไร 

หากมาเยือนที่นี่ควรเข้าชมห้องโกซาโนมะ ซึ่งเป็นห้องที่ปิดด้วยทองคำเปลว ตกแต่งด้วยภาพวาดต้นสนและวิวธรรมชาติต่างๆ ถือเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันคันรันเทเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมได้ โดยตอนซื้อตั๋วเข้าชมที่ทางเข้าเราจะเลือกได้ว่าจะเข้าไปชมสถานที่อย่างเดียว หรือจะสั่งเซ็ตชาเขียวพร้อมกับขนมญี่ปุ่นมานั่งชิมในราคา 300 – 700 เยนก็ได้นะคะ

เวลาทำการ: 8.30 – 17.00 น. (ธ.ค. – มี.ค.) / 9:00 – 17:00 น. (เม.ย. – พ.ย.)
การเดินทาง: จากสถานี Matsushima-Kaigan เดิน 6 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด

สำหรับทริป Tohoku Winter ส่งท้ายฤดูหนาวที่โทโฮคุ ก็เดินทางมาจนครบ 5 วัน 4 คืนแล้วนะคะ จะเห็นได้ว่าในโซน 4 จังหวัด คือ นีงาตะ (Niigata) ฟุกุชิมะ (Fukushima) มิยางิ (Miyagi) และ ยามากาตะ (Yamagata)มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย เราตั้งใจแนะนำสถานที่ที่มีความผสมผสานทั้งด้านวัฒนธรรม ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ความสวยงามทางธรรมชาติ มีกิจกรรมสนุกๆ ได้ลิ้มรสชิมอาหารท้องถิ่นแสนอร่อย และที่สำคัญคือเป็นทริปที่เดินทางสะดวกมากๆ เพื่อให้การเดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะที่ภูมิภาคโทโฮคุ ของเพื่อนๆ เต็มไปด้วยความประทับใจมากที่สุดนั่นเองค่ะ 

FeaturedFukushimaMiyagiNiigataSendaisnowtiewyeepoontohokuWinterYamagataนีงาตะฟุคุชิมะมิยางิยามากาตะฤดูหนาวหิมะเซนไดเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมเที่ยวญี่ปุ่นฤดูหนาวโทโฮคุ