Tokyo: ย้อนวันวานในโตเกียว เที่ยวไปตามทางรถรางสาย Tokyo Sakura Tram

ใครที่ไปโตเกียวบ่อยๆ อาจจะเริ่มชินกับแหล่งช้อปปิ้งทันสมัย ที่เต็มไปด้วยผู้คน บางครั้งอยากจะค้นหามุมใช้ชีวิตแบบชิลๆตามย่านที่ไม่ค่อยพลุกพล่านกับเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติ ครั้งนี้อยากจะแนะนำแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงโตเกียว เดินทางสะดวกสบาย เต็มไปด้วยกลิ่นอายความวินเทจแบบโลคอลสุดๆ

ท่องเที่ยวพร้อมสัมผัสกับบรรยากาศอันน่าทึ่งของเมือง ที่ใกล้ชิดกับชีวิตความเป็นอยู่ประจำวันของผู้คนชาวโตเกียว ด้วยรถรางสาย Tokyo Sakura Tram หรือชื่อเดิมคือรถรางสาย Toden Arakawa Line

รถรางสาย Toden นั้นเคยเป็นหนึ่งในการเดินทางขนส่งที่สำคัญของชาวกรุงโตเกียวในสมัยก่อน แต่เมื่อการพัฒนาของเมืองที่รุกคืบเข้ามา เทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว รถไฟขนส่งมวลชนทั้งใต้ดินและลอยฟ้า ในช่วงปี ค.ศ. 1972 ทำให้ความสำคัญของรถรางสายนี้ค่อยๆหาย ถูกลืมไปตามกาลเวลา

โดยปัจจุบันในโตเกียวนั้น เหลือรถรางสาย Tokyo Sakura Tram (Toden Arakawa Line) เพียงแค่สายเดียว มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร ผ่าน 30 สถานี ระหว่างที่วิ่งอยู่ เราจะเห็นย่านร้านค้าแบบดั้งเดิม บรรยากาศแหล่งที่พักอาศัย และศาลเจ้าต่าง ๆ ตั้งอยู่ริมสองข้างทาง จึงอยากจะเชิญชวนผู้อ่านให้ลองมาสัมผัสกับรถรางสายสุดท้ายของกรุงโตเกียว ท่องเที่ยว ชมวิวที่ชวนให้คิดถึงอดีตตามย่านเมืองเก่าของโตเกียวกันเถอะ

แผนที่เส้นทางรถราง ที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟหลักในโตเกียว

ขอบคุณข้อมูลจาก Tokyo.Digi-Joho

โดยการท่องเที่ยวด้วยรถไฟสาย Tokyo Sakura Tram (Toden Arakawa Line) ที่เราจะใช้ในวันนี้ ใช้เวลาเกือบจะทั้งวัน หรือสำหรับใครที่มีเวลาน้อย อาจจะปรับเปลี่ยนสถานที่และเวลาได้ตามใจชอบเลย เลือกดูสถานที่เที่ยวของแต่ละสถานีได้จาก tab ด้าล่างนี้ครับ

  • สถานี Minowa-bashi (SA01)

    เราเริ่มต้นด้วยการโดยสารรถไฟใต้ดินสาย Hibiya Line (สายรถไฟสีเทา) ไปลงที่สถานี Minowa เป็นจุดเริ่มต้นของทริปวันนี้ จากนั้นออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน แล้วเดินตรงไปที่จุดเริ่มต้นของสถานีรถราง สถานี Minowa-bashi (SA01) จะพบกับตัวสถานี

    โดยที่บริเวณเดียวกันจะเป็นจุดให้บริการนักท่องเที่ยว พร้อมกับเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับรถไฟสายนี้แบบย่อมๆ โดยเราสามารถซื้อตั๋วสำหรับเดินทาง 1วัน Toden One-day Pass ซึ่งเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะใช้เดินทางด้วยรถรางสายนี้ ราคาเพียง 400 เยนเท่านั้น สามารถขึ้นลงกี่สถานีก็ได้ ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากๆทีเดียว เพราะแค่ค่าโดยสารต่อเที่ยวก็ปาไป 170 เยนแล้ว

    ด้านหน้าสถานีรถราง Minowa-bashi (SA01)

    ด้านในจุดจำหน่ายตั๋วรถ

    แต่ในครั้งนี้เราเลือกใช้พาส Toei One-day Pass โดยพาสนี้สามารถนำไปใช้ได้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Toei ทั้งหมด 4 สาย, รถรางสาย Tokyo Sakura Tram (Toden Arakawa Line), รถ Toei Bus และรถไฟสาย Nippori Toneri Liner ราคา 700 เยน ซึ่งจะเหมาะมากหากเราเดินทางจากในตัวเมืองโตเกียวเช่น ชินจูกุ ก็จะครอบคลุมทั้งไปกลับ

    เดินเข้ามาในซอยถ้าเห็นภาพเขียนบนกำแพงนี้คือเดินมาถูกทางแล้ว

    ซื้อตั๋วแล้วอย่าเพิ่งรีบไปขึ้นรถรางล่ะ ไปเดินเล่นที่ Joyful Minowa Shotengai ย่านการค้าสุดเก่าแก่ มีความวินเทจสุดๆ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวบ้านในแถบนี้ โดยเฉพาะผู้สูงวัย

    ย่านการค้านี้มีความยาวกว่า 400 เมตร ที่นี่เต็มไปด้วยร้านค้ากว่า 120 ร้าน ตลอดเส้นทาง นักท่องเที่ยวจะได้พบกับร้านค้าต่างๆ อาทิร้านขายขนมปัง ร้านของชำ ซุปเปอร์มาเก็ตเล็กๆ ร้านขนม ร้านกาแฟ ร้านขายเสื้อผ้า เป็นต้น ที่แม้ในวันฝนตกก็ไม่ต้องหวั่นเพราะตลอดทางจะเป็นทางเดินในร่มให้เลือกช้อปเลือกซื้อกันอย่างจุใจ

    ร้านค้าขายของชำต่างๆ

    ร้านขนมปังโฮมเมด Omurapan ที่ดำเนินกิจการร้านขนมปังนี้สืบทอดกันมากว่า 3 แล้ว

    เมนูแนะนำคือ Korokke Pan ราคาเพียงชิ้นละ 140 เยน

    ถัดมาเป็นร้านขายทั้งของทอดและของย่าง น่าทานสุดๆ

    เมนูแนะนำคือ เทมปุระขิงดอง รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ทอดได้แบบกรอบสุดๆ ราคาเพียงชิ้นละ 100 เยนเท่านั้น

  • สถานี Arakawa-Yuenchimae (SA12)

    จากนั้นเราเริ่มต้นการเดินทางด้วยรถรางกันเลยครับ เราโดยสารรถรางไปลงที่สถานี Arakawa – Yuenchimae โดยตั้งใจจะไปที่สวนสนุกอาราคาวะ (Arakawa-yuenchi)

    ช่วงซัมเมอร์แบบนี้หลังซากุระร่วงโรยไปหมดแล้ว ก็จะเป็นช่วงที่ดอกไม้สวยๆเริ่มผลิดอกเบ่งบาน ระหว่างทางที่เดินไปยังสวนสนุก จะเดินผ่านแปลงดอกไม้มากมายทั้งดอกกุหลาบและดอกไฮเดรนเยียร์

    น่าเสียดายที่เมื่อไปถึงสวนสนุกได้ปิดรีโนเวทใหม่ ทำให้ไม่ได้เข้าไปเห็นด้านใน แต่ด้านหลังยังมีสวนสาธารณะริมแม่น้ำขนาดใหญ่

    จากนั้นเราขึ้นรถรางไปกันต่อลงที่สถานี Arakawa-shakomae เราจะไปชม Omoide Hiroba (Toden Memorial Square) ที่สถานีนี้เป็นสถานที่จัดแสดงรถรางขบวนเก่าๆที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว

    ข้อมูลเพิ่มเติม Omoide Hiroba (Toden Memorial Square)

    • วันเวลาทำการ : เปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา : 10.00 – 16.00 น.
    • วันหยุด : 29 ธันวาคมถึง 3 มกราคม

  • สถานี Oji-ekimae (SA16)

    หลังจากไปชมสถานที่จัดแสดงรถรางขบวนเก่าๆที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว เราเดินทางโดยรถรางต่อเพื่อจะไปสักการะ ศาลเจ้าโอจิอินาริ (Oji Inari Shrine) และ สวนญี่ปุ่นนานุชิโนะทะคิ (Nanushi no Taki Park) โดยนั่งรถรางไปลงที่สถานี Oji-ekimae (SA16) จากนั้นเดินไปประมาณ 10-15 นาที

    ระหว่างทางเป็นช่วงใกล้ๆเที่ยงพอดี เราแวะทานราเมนกันที่ร้าน Taizou

    แนะนำให้สั่งโชยุราเมน รสชาติอร่อยเข้มข้นสุดๆ

    บรรยากาศระหว่างเดินไปยังศาลเจ้า

    เราเดินต่อไปยัง ศาลเจ้าโอจิอินาริ (Oji Inari Shrine) มีความเชื่อกันว่าที่ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่สถิตย์แห่งเทพเจ้าอินาริ ไดเมียวจิน เป็นที่ทราบกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีสุนัขจิ้งจอกเป็นบริวาร

    สุนัขจิ้งจอกผู้เป็นเป็นบริวาของเทพอินาริ

    ภายในยังมีจุดที่น่าสนใจอีกมากมายอาทิ เช่นบริเวณจุดนำโชคและเสาโทริอิสีส้มสด กระซิบบอกนิดนึงว่าบริเวณทางเข้าของศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาล ซึ่งถ้าเป็นช่วงที่โรงเรียนทำการอยู่นั้น ประตูทางขึ้นด้านหน้าของศาลเจ้าจะปิด นักท่องเที่ยวสามารถเดินขึ้นไปบริเวณทางเข้าทางซอยด้านขวามือได้เลย

    ด้านหน้าของศาลเจ้า Oji Inari Shrine

    เดินเข้ามาบริเวณด้านในยังมีศาลเจ้าย่อยๆอีก

    เสาโทริอิสีส้มสด

    ข้อมูลเพิ่มเติม ศาลเจ้า Oji Inari Shrine

    • เวลาทำการ : เปิดตลอดเวลา
    • วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
    • การเดินทาง : เดินประมาณ 7-10 นาทีจากสถานีรถราง Oji-ekimae (SA16)

    จากศาลเจ้าเดินต่อไปอีกเล็กน้อย จะเป็นที่ตั้งของสวนนานุชิโนะทะคิ (Nanushi no Taki Park) สวนสไตล์ญี่ปุ่นขนาดใหญ่

    ด้านในร่มรื่นไปด้วยพันธุ์ไม้มากมาย บ่อน้ำขนาดใหญ่ ด้านในมีที่สำหรับให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจให้ความรู้สึกเหมือนโอเอซิสกลางเมืองสำหรับประชาชนทั่วไป

    เมื่อเดินเข้าไปด้านในสุดของสวนจะพบกับน้ำตกโอดะคิ (Odaki) ที่มีความสูงกว่า 8 เมตร ให้ความรู้สึกเย็นสบายและชุ่มชื่นมาก

    ข้อมูลเพิ่มเติม สวนญี่ปุ่นนานุชิโนะทะคิ (Nanushi no Taki Park)

    • เวลาทำการ : เปิดตั้งแต่ 09.00 – 17.00 น. เข้าชมก่อน เวลา 16.30 น.
    • ช่วงฤดูร้อนตั้งแต่ 15 กรกฎาคมถึง 15 กันยายน ปิดเวลา 18.00 น.
    • วันหยุด : ปิดวันที่ 29 ธันวาคมถึง 4 มกราคม
    • การเดินทาง : เดินประมาณ 10-15 นาทีจากสถานีรถราง Oji-ekimae (SA16)

  • สถานี Koshinzuka (SA21)

    สำหรับย่านสุดท้ายที่อยากแนะนำสำหรับวันนี้ เรานั่งรถรางไปลงที่สถานี Koshinzuka (SA21) จากตัวสถานี เดินประมาณ 2 นาที จะพบกับ ย่านการค้าสุกาโมะจิโซโดริ (Sugamo Jizo-Dori Shopping Street) ซึ่งใครๆต่างให้ฉายาย่านการค้าแห่งนี้ว่าเป็น “ฮาราจุกุของคนสูงวัย”

    เดินมาเหนื่อยๆรู้สึกหิวน้ำ เลยแวะชิมเครื่องดื่มเลมอนน้ำผึ้งเย็นกันที่ร้าน Sugi Bee Garden Cafe ที่นี่คือคาเฟ่น้ำผึ้งชื่อดังจากจังหวัดคุมะโมโตะ จำหน่ายสินค้าจากน้ำผึ้งคุณภาพดี ไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้งแท้และแบบผสมรสชาติต่างๆเพื่อนำไปละลายน้ำดื่มเองที่บ้าน หรือจะเป็นเครื่องสำอางค์ที่ทำมาจากผึ้ง รวมถึงซอฟท์ครีมทานคู่กับรวงผึ้ง


    เดินมาเรื่อยๆ เราแวะชิมขนมปังที่ร้าน Tokyo Melon Pan กลิ่นหอมของขนมปังอบส่งกลิ่นให้เราเข้าไป เมนูแนะนำของร้านนี้คงน่าจะหนีไม่พ้น เมล่อนปัง รสชาติอร่อยกำลังดี หรือจะเป็นพายแอปเปิ้ลกับครัวซองค์ก็หน้าตาดูน่าทานมากๆ


    อีกหนึ่งร้านที่เราภูมิใจนำเสนอ โดยเฉพาะช่วงซัมเมอร์แบบนี้ บอกเลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด นั่นก็คือ “น้ำแข็งไส” จากร้าน Kakigori kobo Sekka ร้านน้ำแข็งไสชื่อดัง มีชื่อเสียงติดอันดับต้นๆของโตเกียว ฮอตแค่ไหนก็ดูจากจำนวนลูกค้าและคิวภายในร้านที่กั้นด้วยกรวยเป็นทางยาว พร้อมลิสต์รายชื่อคนจองคิวยาวเหยียด

    ความพิเศษของน้ำแข็งไสร้านนี้คือ การนำน้ำแข็งจากธรรมชาติที่มาจากภูเขาไฟฟูจิมาทำเป็นน้ำแข็งไส มีรสชาติให้เลือกมายมายนับ 10 รสชาติ ที่สำคัญร้านเปิดตั้งแต่ 11.00 – 17.00 น. เท่านั้นและจะปิดทำการเฉพาะวันจันทร์ เพราะฉะนั้นใครที่จะมาชิมความอร่อยของน้ำแข็งไสเจ้าดังเจ้านี้ แนะนำให้มาช่วงวันธรรมดาจะคิวไม่เยอะ

    น้ำแข็งไสที่เราสั่งมาในวันนี้คือ Signature ของร้าน นั่นก็คือรส Strawberry Milk ที่มีรสหวานหอมชื่นใจตัดกับความเปรี้ยวของซอสสตอเบอรี่ ราคา 900 เยน

    ด้านในยังมีแอบซ่อนผลสตอเบอรี่สด

    ข้อมูลเพิ่มเติม ร้านน้ำแข็งไส Kakigori kobo Sekka

    • เวลาทำการ : 11.00 – 17.00 น.
    • วันหยุด : วันจันทร์
    • เว็บไซต์ : www.atelier-sekka.com

    ก่อนกลับเราแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่วัด Senso-ji ที่อยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าย่านการค้า Sugamo Jizo-Dori Shopping Street ซึ่งวัดแห่งนี้ยังมีรูปปั้นของเจ้าแม่กวนอิมให้ได้ขอพรกันอีกด้วย


  • ไหนๆก็ซื้อพาสรถไฟ Toei One-day Pass มาแล้ว ก่อนกลับของไปช้อปปิ้งเก็บตกกันซักนิด เราจึงเพิ่มความคุ้มค่าด้วยการนั่งรถไฟสาย Toei ไปช้อปปิ้งกันต่อก่อนกลับโรงแรม

    โดยที่นี่เป็นที่ที่เรามาประจำหากต้องการซื้อของก่อนกลับเมืองไทย เพราะราคาถูกมากๆ เดินทางสะดวกสบาย ได้ของครบถ้วนตามลิสต์ แถมอุ่นใจสุดๆ มีพนักงานคนไทยที่สามารถถามและช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างดีแบบสุดๆ คงที่เป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก “ตึกม่วงทาเคยะ” ขวัญใจนักช้อปชาวไทย

    ข้อมูลเพิ่มเติม ร้านปลอดภาษีทาเคยะ (Takeya)

    • วันเวลาทำการ : 10.00 – 20.00 น.
    • วันหยุด : 1 มกราคม
    • การเดินทาง : ลงรถไฟ JR สาย Yamanote ที่สถานี Okachimachi (ทางออกด้านเหนือ) เดิน 2 นาที
      – ลงรถไฟใต้ดินสาย Hibiya ที่สถานี Naka-okachimachi ทางออก 3 ถึงหน้าร้านทันที
      – ลงรถไฟใต้ดินสาย Oedo ที่สถานี Ueno-okachimachi เดิน 3 นาที
      – ลงรถไฟใต้ดินสาย Ginza ที่สถานี Ueno-hirokoji เดิน 5 นาที
    • เว็บไซต์ : https://takeya.co.jp/thai/ (ภาษาไทย)

    ข่าวดีสำหรับใครที่ถือบัตรเครดิตเจซีบี นอกจากจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม 8% แล้วยังจะได้รับส่วนลดจากยอดการซื้อเพิ่มอีกตั้ง 10% เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ นอกจากจะได้ของดีราคาถูก ได้รับการยกเว้นภาษี แล้วยังได้ส่วนลดเพิ่มอีก ใครอยู่โตเกียวก่อนกลับไทยแนะนำว่า ห้ามพลาดเลยนะครับ

    สำหรับใครที่เพิ่งมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ทิปส์เล็กๆน้อยๆคือ เวลาที่ต้องการจะจ่ายเงินชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ เราจะต้องวางเงินหรือบัตรเครดิตบนถาดที่ทางร้านวางไว้ให้บนเค้าท์เตอร์จ่ายเงินนะครับ พนักงานจะไม่รับเงินจากมือเราโดยตรง

    FeaturedJapanToden Arakawa LineTokyoTokyo Sakura Tramรถรางสายโทะเด็นรถรางโตเกียวรถรางในญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมเที่ยวโตเกียวโตเกียว