8 จุดเช็คอินไม่ซ้ำใครในโทโฮขุ! สำหรับแฟนญี่ปุ่นตัวจริง

เมื่อพูดถึง ภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ภาพของธรรมชาติอันอุมดมสมบูรณ์ และมีวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ต้องเข้ามาในใจของใครหลายคน พื้นที่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เดินทางได้สะดวกหากตั้งต้นจากโตเกียว มีชินคันเซ็นเชื่อมถึง ไม่ว่าจะเป็น อะโอโมริ, อาคิตะ, อิวาเตะ, มิยางิ, ยะมะกะตะ, ฟุคุชิมะ และ นีงะตะ 

ในฤดูใบไม้ร่วง จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนก.ย.ถึงกลางเดือนพ.ย. มีอากาศเย็นสบายไม่หนาวเกินไป ไม่ว่าไปมุมเมืองไหนก็จะได้เจอสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ยิ่งใหญ่ตระการตา เรียกได้ว่ามีมุมถ่ายรูปสำหรับอัพ IG ที่หาที่ไหนไม่ได้นอกจากโซนนี้เท่านั้น ให้ถ่ายรูปกันสนุกเพลินทั้งทริป

ในบทความนี้เราได้คัดเลือกสถานที่ที่ยังคงคอนเซ็ปต์เที่ยวญี่ปุ่นไม่ซ้ำใคร เต็มที่ทั้งธรรมชาติและประวัติศาสตร์ให้ได้ไปตามรอยกัน ไม่ว่าจะเป็น ต้นแปะก๊วยยักษ์คิตะคะเนะกะซะวะ,หุบเขาโอยาสุเคียว,กาะแมวทาชิโระจิมะ, กระเช้าลอยฟ้าซาโอะ และอีกมากมาย ตามไปชมกันเลย!

1. ต้นแปะก๊วยยักษ์คิตะคะเนะกะซะวะ
เมืองคิตะคะเนะกะซะวะ จังหวัดอะโอโมริ

ต้นแปะก๊วยคิตะคะเนะกะซะวะ (Kita-Kanegasawa Ginkgo) ตั้งอยู่ในเมืองคิตะคะเนะกะซะวะ (Kita-Kanegasawa) จังหวัดอะโอโมริ (Aomori) มีอายุกว่า 1,000 ปีตั้งแต่สมัยคามาคุระ และยังเป็นต้นแปะก๊วยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยเส้นรอบวง 22 เมตร และความสูงถึง 31 เมตร เทียบเท่ากับอาคาร 10 ชั้นเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติอีกด้วย 

เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ราวช่วงกลางเดือนพ.ย. ใบแปะก๊วยก็จะค่อยๆเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลืองทองโดดเด่นทั่วทั้งต้น จนคนท้องถิ่นตั้งชื่อให้ว่า “Big Yellow” ซึ่งคนญี่ปุ่นเชื่อว่าหากได้สัมผัสกับรากต้นแป๊ะก๊วยที่มีรูปทรงคล้ายกับเต้านมแม่ที่ย้อยลงมาจากลำต้นแล้ว จะช่วยเพิ่มน้ำนมของคุณแม่ได้ จึงถือว่าเป็นเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และเป็น Power Spot ชื่อดังแห่งหนึ่ง แนะนำให้ทุกคนมาได้ลองสัมผัสพลังและความอลังการของสีทองจากต้นแปะก๊วยและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักครั้ง

* ปัจจุบันมีการติดตั้งรั้วเพื่อรักษาความปลอดภัย ทำให้ไม่สามารถสัมผัสต้นแปะก๊วยได้โดยตรง

มีการเปิดไฟประดับในช่วงกลาง-ปลายเดือนพฤศจิกายนด้วย
Credit: 深浦町観光課

การเดินทาง: โดยสารรถไฟ JR สาย Gono ลงสถานี Kita-Kanegasawa เดินประมาณ 10 นาที
ค่าเข้าชม : ไม่มี
Location | เว็บไซต์


2. อุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต
จังหวัดอิวาเตะ และ อาคิตะ

ฮาจิมันไต (Hachimantai) ที่ราบสูงแนวภูเขาไฟที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งจังหวัดอิวาเตะและอาคิตะ ซึ่งบริเวณเชิงเขามีออนเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์จำนวนมาก และยังรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่มีเสน่ห์น่าค้นหา โดยฮาจิมันไตนั้นเชื่อมด้วยถนนสองสายคือ Hachimantai Aspite Line และ Hachimantai Jukai Line ที่มีทิวทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันงดงามในบริเวณโดยรอบและเป็นที่นิยมในการขับรถชมวิว

เสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของฮาจิมันไตคือ การเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสีที่แตกต่างกันในแต่ละระดับความสูงได้ โดยเฉพาะทางตะวันออกเฉียงใต้ของอุทยาน ภายในหุบเขามัตสึคาวะ (Matsukawa Valley) บริเวณฮะจิมันไตออนเซ็นเคียว (Hachimantai Onsenkyo) สามารถใบไม้แดงที่ไล่สีได้แบบพาโนรามา บนระดับความสูง 800 เมตร ที่เต็มไปด้วยต้นบีช โอ๊ค เมเปิ้ล จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆในฤดูใบไม้ร่วง เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สุดงดงามและได้รับความนิยมอย่างล้นหลามของโทโฮขุเลย

ช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนตุลาคมเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้บริเวณโดยรอบจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและสีส้ม โดยเฉพาะบริเวณสะพาน Mori no Ohashi ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในการชมใบไม้เปลี่ยนสีจากสะพาน อีกทั้งยังมีแหล่งน้ำพุร้อนที่สามารถแช่ออนเซ็นกลางแจ้งไปพร้อมกับดื่มด่ำความงามของใบไม้ร่วงไปพร้อมกันได้อีกด้วย สำหรับสายถ่ายรูปและคนที่มากับแฟนไม่ควรพลาดอย่างยิง

ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : เปิดตลอดเวลา (Hachimantai Aspite Line และ Hachimantai Jukai Line ปิดในฤดูหนาวตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.ถึงต้นเดือนเม.ย.)
การเดินทาง: จากสถานีชินคันเซ็น Morioka โดยสารรถบัสไปลงที่ Hachimantai Sahcho ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 45 นาที
Location | เว็บไซต์


3. หุบเขาโอยาสุเคียว
เมืองยูซาวะ จังหวัดอาคิตะ

หุบเขาโอยาสุเคียว (Oyasukyo Gorge) ตั้งอยู่ลึกเข้าไปในเมืองยูซาวะ (Yuzawa) ทางตอนใต้สุดของจังหวัดอาคิตะ (Akita) ซึ่งมีเรื่องเล่ากันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยเอโดะว่า มีนกกระเรียนมาลงแช่น้ำเพื่อรักษาบาดแผล จึงเรียกได้ว่าเป็นออนเซ็นที่สามารถรักษาและบรรเทาโรคได้ ซึ่งคุณสามารถสัมผัสกับไอน้ำอุณหภูมิ 95 ° C ที่ลอยขึ้นมาจากพื้นดินได้ที่นี่ 

เมื่อลงบันไดจากหุบเขาลงมา จะพบกับบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่เดือดปุดๆขึ้นมา หรือสามารถลงบันไดทางโขดหินฝั่งแม่น้ำมินาเซะกะวะ (Minasegawa) ที่ถูกปูทางมาอย่างดี เพื่อชมควันสีขาวที่ลอยมาจากรอยแยกมาเกิดเป็นไอร้อนปกคลุมไปทั่วหน้าผาขนาบทั้งสองด้านอย่างสวยงาม จนได้ชื่อว่าเป็น “หม้อต้มนรก” (Jigokugama) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะจุดชมวิวที่สวยที่สุดและเต็มเปี่ยมด้วยพลังของหุบเขาโอยาสุเคียว 

นอกจากนี้ยังสามารถชมบ่อน้ำพุร้อนได้จากสะพานแดงคาวารายุที่สูง 60 เมตร แบบไม่มีอะไรมาบดบังวิว อย่าพลาดที่จะแชะรูปกันนะและยังมีสถานที่ยอดนิยมอย่าง แหล่งน้ำพุร้อนโอยาสุ (Oyasukyo Onsenkyo) ที่มีบ่อแช่เท้าและห้องอาบน้ำสาธารณะให้บริการอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ทิวทัศน์รอบๆจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและสีแดง ประกอบกับไอน้ำสีขาวและบ่อน้ำพุร้อน ทำให้เกิดภาพทิวทัศน์ที่สีสันตัดกันได้อย่างลงตัว

ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : เปิดตลอดเวลา
การเดินทาง: จากสถานี Yuzawa โดยสารรถบัสไป Kawarayu ใช้เวลา 55 นาที
Location | เว็บไซต์


4. เกาะทาชิโระจิมะ
เมืองอิชิโนมากิ จังหวัดมิยางิ

เกาะทาชิโระจิมะ (Tashirojima Island) เป็นเกาะเล็กๆที่มีเส้นรอบวงประมาณ 11 กม. มีผู้คนอาศัยอยู่เพียง 65 คนเท่านั้น แต่มีแมวที่อาศัยอยู่ในเกาะถึง 130 ตัว จึงเรียกได้ว่าเป็น “เกาะแมว” ตัวจริงเสียงจริง พอเดินทางมาถึงท่าเรือก็จะมีแมวเข้ามาคลอเคลียใกล้ๆด้วยความสนิทสนมซึ่งแต่ละตัวก็จะมีรูปร่างและนิสัยต่างกันออกไปอีกด้วย 

ว่ากันว่าในสมัยสมัยเอโดะ เกาะทาชิโระจิมะแห่งนี้เคยเป็นแหล่งปลูกหม่อนสำหรับเลี้ยงไหม ชาวบ้านจึงได้เริ่มนำแมวมาเลี้ยงเพื่อกำจัดหนู ป้องกันไม่ให้หนูกินไหมนั่นเอง เนื่องจากชาวเกาะทาชิโระจิมะทำอุตสาหกรรมประมงเป็นหลัก จึงได้มีการสร้างศาลเจ้าแมวเล็กๆ เพื่อบูชาแมวภายในเกาะที่คอยเรียกปลาและปกป้องเกาะนี้ไว้ รวมถึงสร้างไว้สำหรับเคารพแมวบนเกาะนี้ที่จากไป

นอกจากนี้เกาะทาชิโระจิมะ ยังมีอีกชื่อเรียกคือ เกาะมังงะ (Manga Island) เนื่องจากมีที่พักสไตล์แคมปิ้ง ตกแต่งในธีมมังงะชื่อดัง ซึ่งเคบินมีรูปทรงคล้ายแมว และมีผลงานศิลปะสร้างสรรค์โดยศิลปินมังงะที่มีชื่อเสียง เช่น Ishinomori Shotaro, Chiba Tetsuya และ Kimura Naomi ภายในเคบินมีห้องครัว ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ พร้อมให้บริการ แถมยังสามารถตั้งแคมป์ได้อีกด้วย

หากคุณได้มาเกาะทาชิโระจิมะในฤดูใบไม้ร่วง ต้องไม่พลาดที่จะถ่ายรูปใบไม้แดงสวยๆที่ล้อมรอบเกาะ พร้อมน้องแมวสุดน่ารักที่จะช่วยเยียวยาหัวใจคุณอย่างแน่นอน จะมาเป็นคู่หรือครอบครัวก็ฟินกันถ้วนหน้า เหล่าทาสแมวพลาดไม่ได้เลยทีเดียว

ค่าเข้าชม : ไม่มี
เวลาทำการ : เปิดตลอดเวลา
การเดินทาง: จากสถานี Ishinomaki เดินไปท่าเรือ Ishinomaki Chuo Ferry Terminal ประมาณ 15 นาที หรือนั่งรถบัสประมาณ7 นาทีไปจากนั้นโดยสารเรือเฟอร์รี่มายังเกาะ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
Location | เว็บไซต์


5. กระเช้าลอยฟ้าซะโอ
เมืองซะโอ จังหวัดยะมะกะตะ

เทือกเขาซะโอ (Zao) เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวตัดระหว่างจังหวัดมิยะงิ (Miyagi) และจังหวัดยะมะงะตะ (Yamagata) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในฤดูหนาว ที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีอย่าง ปีศาจหิมะ (Snow Monsters) ซึ่งเปิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดจากการทับถมกันของน้ำแข็งและหิมะบนต้นสน ทำให้เกิดเป็นรูปร่างต่างๆคล้ายปีศาจภูเขา ในช่วงฤดูหนาว ซะโอเป็นหนึ่งในภูเขาชื่อดังที่นักสกีมักจะมาท้าทายเล่นสกีที่นี่ 

อีกหนึ่งไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้คือ กระเช้าลอยฟ้าซาโอะ (Zao Ropeway) ที่จะพาขึ้นสู่ยอดเขาจิโซะ ชวนคุณดื่มด่ำทัศนียภาพสุดวิเศษ  โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่ย้อมทั้งภูเขาไล่สีสันจากเหลือง ส้ม และแดง เมื่อขึ้นไปถึงยอด ยังมีอุทยานแห่งชาติซะโอ (Zao National Park) ให้ได้เดินสำรวจกันด้วย ทัศนียภาพของภูเขาซะโอนั้นจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล มาลองชมบรรยากาศใบไม้แดงสุดโรแมนติก ก่อนที่เต็มไปด้วยหิมะหนาวๆกันเถอะ มีกระเช้า 2 สายให้บริการคือ Sanroku Line (จุได้ 53 คน ใช้เวลาประมาณ 7 นาที) และ Sancho Line (จุได้ 18 คน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที)

ในฤดูใบไม้ร่วง ช่วงปลายเดือนก.ย.ถึงต.ค. ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีส้มและแดงอิฐ ไล่ลีกันอย่างสวยงามลงมาจากด้านบนภูเขา ซึ่งสามารถเพลิดเพลิดไปกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีแบบ 360 องศาได้จากกระเช้าลอยฟ้า ราวกับกำลังเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีกลางอากาศเลยทีเดียว เรียกได้ว่าสายถ่ายรูปต้องมาให้ได้เลย นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีสำหรับนักเดินทางมือใหม่ เริ่มต้นที่สถานีบริเวณเชิงเขาและเนินเขาได้อีกด้วย

ค่าใช้จ่าย : ค่ากระเช้าลอยฟ้า [ไปยังสถานี Jizo Sancho] เที่ยวเดียว : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็ก 800 เยน / ไปกลับ : ผู้ใหญ่ 3,000 เยน, เด็ก 1,500 เยน [ไปยังสถานี Juhyo Kogen] เที่ยวเดียว : ผู้ใหญ่ 800 เยน, เด็ก 400 เยน / ไปกลับ : ผู้ใหญ่ 1,500 เยน, เด็ก 800 เยน
เวลาทำการ : กระเช้าลอยฟ้าสายSanroku 8.15 – 16.45 น. สาย Sancho 8.30 – 16.30 น.
การเดินทาง : จากสถานี Yamagata โดยสารรถบัส Yamako Bus ลงที่ป้าย Zao Onsen ใช้เวลาประมาณ 40 นาที (มีรถบัสให้บริการทุกวัน)
Location | เว็บไซต์


6. ศาลเจ้าฮานิทสึ
เมืองอินะวะชิโระ จังหวัดฟุคุชิมะ

ศาลเจ้าฮานิทสึ (Hanitsu Shrine) สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับมาซายุกิ โฮชินะ ไดเมียวผู้ครองแคว้นไอสึในช่วงแรกของสมัยเอโดะในปีค.ศ.1675 ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้ก็ถูกสร้างขึ้นตามความประสงค์ก่อนเสียชีวิต แม้มาซายุกิ โฮชินะ จะเป็นหลานชายของโทกุงาวะ อิเอยาซุ ก็ไม่ได้ดีชีวิตที่ดีมากนักในวัยเยาว์ แต่ก็เป็นผู้ที่บุคคลสำคัญที่วางรากฐานการเมืองและปรัชญาให้กับรัฐบาลโชกุนที่ยืนยาวเป็นเวลา 265 ปี และยังส่งเสริมการศึกษาแก่ลูกหลานของเหล่าขุนนาง ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น เทพแห่งความสำเร็จ และเทพที่คอยคุ้มครองเด็กๆ

ภายในศาลเจ้ามีหลักศิลาจารึกที่อยู่บนหินหลังเต่าที่เรียกว่า Hiiki ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้นเต่านี้สามารถแบกของหนักและโชคลาภต่างๆได้ จึงเชื่อว่ากันว่าจะช่วยแบกรับความทุกข์ยากลำบากของเราได้

เมื่อเข้าฤดูใบไม้ร่วงช่วงปลายเดือนต.ค.-ต้นพ.ย. สามารถเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางความเงียบสงบ ใบเมเปิ้ลสีส้มแดงแต่งแต้มเพิ่มสีสันทั่วทั้งบริเวณสวนรอบวัด และเมื่อถึงเวลาใบร่วงลงสู่พื้นเป็นอีกภาพที่งดงามราวกับมีพรมแดงปูพื้นทางเดิน เรียกได้ว่าหาชมที่ได้แค่ที่นี่เท่านั้น และยังเป็นสถานที่ที่จะพบเห็นคู่รักมาถ่ายรูปจำนวนมาก รวมถึงมีถ่ายพรีเวดดิ้งอยู่บ่อยครั้งด้วย ถึงมาเป็นครอบครัวก็มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้เช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีไลท์อัพ เปิดไฟประดับในตอนกลางคืน เพลิดเพลินไปกับการไล่ระดับสีสันของใบไม้ที่กระทบกับแสงไฟในบรรยากาศที่ตางจากตอนกลางวัน หากมาในฤดูใบไม้ผลิก็จะเต็มไปด้วยต้นซากุระที่รายล้อมไปด้วยสีชมพูสวยงาม ให้บรรยากาศต่างกับใบไม้แดงที่สดใสแต่เงียบสงบ

ค่าเข้าชม: ไม่มี
เวลาทำการ : 9.00 – 17.00 น. / ไลท์อัพ 17.00-21.00 น. (กลางต.ค.-กลางพ.ย.)
การเดินทาง : จากสถานี Inawashiro โดยสารรถแท็กซี่ประมาณ 5 นาที
Location | เว็บไซต์


7. หุบเขาคิโยตสึ
เมืองโทคามาจิ จังหวัดนีงะตะ

หุบเขาคิโยตสึ (Kiyotsu Gorge) หุบเขาที่ใหญ่และสวยที่สุดติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดนีงะตะ (Niigata) เป็นสถานที่ถ่ายรูปแนวศิลปะที่กำลังฮิตในหมู่นักท่องเที่ยว เห็นในบ่อยๆใน IG ภายในอุโมงค์มีความยาว 750 เมตรนี้ ได้ถูกปรับปรุงและรังสรรค์เป็นผลงานศิลปะโดยใช้ชื่อว่า “Tunnel of Light” ในปีค.ศ. 2018 ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 โซน ตามธาตุทั้ง 5 ในธรรมชาติ (ดิน น้ำ ไฟ ไม้ โลหะ) โดยนำศิลปะมาผสมกับความลึกลับภายในอุโมงค์

ในโซนสุดท้ายที่อยู่ปลายทาง จะเป็นโซนที่แสดงถึงธาตุน้ำซึ่งเป็นไฮไลท์ของอุโมงค์ เมื่อมองจากอุโมงค์ครึ่งวงกลมออกไปจะเห็นธรรมชาติที่แผ่ขยายออกไปพร้อมกับเงาหรือภาพนักท่องที่ยวที่สะท้อนอยู่ในผืนน้ำ ให้ความรู้สึกน่าค้นหาและสวยงามราวกับภาพวาด ประกอบการเรียงตัวของแนวหินและทัศนียภาพของแม่น้ำคิโยตสึ ผสานกับใบไม้เปลี่ยนสีตามแนวเขาที่เติมสีสันให้สดใสขึ้น เหมาะกับการเดินทางมาสัมผัสกับมิติใหม่ของศิลปะและธรรมชาติในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งวิวรอบๆอุโมงค์จะเปลี่ยนไปตามเวลา สายอาร์ตสามารถเพลิดเพลินได้ทั้งวันเลยทีเดียว

ใกล้ๆกับอุโมงค์นี้ยังมีบรรดาต้นบีชอายุกว่า 100 ปี เรียงรายอยู่ที่ Matsunoyama Matsuguchi ซึ่งมีความสวยงามมาก จึงได้ชื่อว่า “Bijin Bayashi” (Bijin = สวยงาม Bayashi = ป่าไม้) จัดว่าเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดฮิตอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

ค่าเข้าชม: ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก (6-15 ปี) 400 เยน
เวลาทำการ : 8.00-16.00 น. (ชมได้ถึง 17.00 น.)
การเดินทาง : จากสถานี Echigo-Yuzawa โดยสารรถบัส (มุ่งหน้าไป Morimiyanohara) ประมาณ 25 นาที ลงป้าย Kiyotsukyo iriguchi จากนั้นเดินต่อ 30 นาที
Location | เว็บไซต์


8. องค์เจ้าแม่กวนอิมไดคันนงแห่งเซนได
เมืองเซ็นได จังหวัดมิยางิ

องค์เจ้าแม่กวนอิมไดคันนงแห่งเซ็นได (Sendai Daikannon) ณ วัดไดคันมิตสุจิ (Daikanmitsuji) เมืองเซ็นได จังหวัดมิยางิ ถือเป็นเทวรูปเจ้าแม่กวนอิมที่สูงเป็นอันดับ 1 ในญี่ปุ่น ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากชินคันเซ็นและเครื่องบิน รวมถึงเนินเขาของเมือง จัดได้ว่าเป็น Landmark ของเมืองเซ็นไดเลยทีเดียว  เทวรูปมีความสูงถึง 100 เมตร ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1989 เพื่อฉลองครบ 100 ปี ในการพัฒนาของเมืองเซนได เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของเซนได ตัวเทวรูปเป็นสีขาวบริสุทธิ์โดดเด่น  โดยมือขวาถืออัญมณีที่จะบันดาลให้สมหวังตามปราถนา มือซ้ายถือแจกันเทน้ำประทานปัญญาให้แก่เรา จัดได้ว่าเป็นที่ที่คนไทยต้องไปกราบไหว้สักครั้ง

ภายในองค์เจ้าแม่กวนอิมแบ่งออกเป็น12 ชั้น มีบันไดและลิฟต์ให้บริการ ในชั้นแรกจะเทวรูปเจ้าแม่กวนอิม 33 องค์ และในชั้นอื่นๆมีพระพุทธรูปถึง 108 องค์ ส่วนชั้น 12 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดสามารถชมทิวทัศน์เมืองเซนไดทั้งหมดได้ หากมาชมในฤดูใบไม้ร่วง จะพบกับเจ้าแม่กวนอิมสีขาวตั้งตะหง่านท่ามกลางต้นไม้ที่ใบผลัดเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงริมถนนอย่างมีสีสัน เป็นอีกสถานที่ที่มีพลังและความสวยงามรวมอยู่ในที่เดียวกัน และยังสามารถถ่ายภาพอาร์ตๆจากมุมต่างๆในเมืองที่เห็นเจ้าแม่กวนอิมได้อีกด้วย

ค่าเข้าชม: 500 เยน
เวลาทำการ : 10.00-16.00 น. (ต.ค.-มี.ค. 15.30 น.)
การเดินทาง : จากสถานี Sendai โดยสารรถประจำทางหมายเลข 910, 815 หรือ 825 ลงที่ป้าย Sendai Daikannon ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
Location | เว็บไซต์

AutumnFeaturedJapantohokuนีงะตะฟุคุชิมะมิยางิยะมะกะตะฤดูใบไม้ร่วงอะโอโมริอากิตะอิวะเตะเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมโทโฮขุใบไม้เปลี่ยนสี