การเดินทางในครั้งนี้ จะเป็นการใช้พาสรถไฟ JR East Tohoku Area Pass ใบเดียวอยู่ทั้งทริป พาสนี้สามารถเลือกใช้ได้อิสระ 5 วันเลือกใช้จากระยะเวลา 14 วันตั้งแต่วันที่ออกตั๋ว (ราคา 19,000 เยน ซื้อจากไทยราคาถูกกว่าซื้อในญี่ปุ่น 1,000 เยน) โดยจะขึ้นรถไฟ Shinkansen จากสถานี Tokyo นั่ง ชมวิวกันไปเรื่อยๆตามเส้นทางลัดเลาะขึ้นด้านบนสู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู
อ่านรายละเอียดพาสได้ที่นี่ >> JR EAST PASS
จังหวัดอะกิตะ ตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮะขุ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานของญี่ปุ่น อยู่เกือบเหนือสุดของเกาะฮอนชู ภูมิภาคนี้ยังคงมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เพรียบพร้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม บ่อน้ำแร่ชื่อดังมากมายด้วยส่วนประกอบจากแร่ธาตุหลากหลายชนิดทำให้สี กลิ่นและคุณสมบัติในน้ำแร่แต่ละพื้นที่แตกต่างกันไป และที่คนไทยมักจะคุ้นเคยกับชื่อของจังหวัดนี้คงจะหนีไม่พ้น “สุนัขสายพันธุ์อะกิตะ” แน่นอนว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากที่นี่เช่นกัน
เราเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติโตเกียว (ฮาเนดะ) ในช่วงเช้าตรู่จากนั้นทำการแลกพาสรถไฟที่เค้าท์เตอร์ของ JR East Travel Service ภายในสนามบิน โดยการเดินทางของเราในทริปนี้ทั้งหมดอยู่ภายใต้พาสรถไฟสุดคุ้มใบนี้เพียงใบเดียว JR East Pass (Tohoku Area) โดยพาสรถไฟนี้เราสามารถใช้บริการได้ทั้งรถไฟความเร็วสูงอย่างรถไฟชินกันเซ็นไปจนถึงรถไฟฟ้าแบบธรรมดา เริ่มต้นเดินทางออกจากสนามบินได้เลย
เราทำการจองที่นั่งในรถไฟชินกันเซ็นขบวน Komachi สีแดงสดที่สถานีโตเกียวเมื่อถึงเวลาเราก็ขึ้นรถไฟไปนั่งประจำที่ได้เลย ใช้เวลาในการเดินทางจากสถานีโตเกียวไปลงที่สถานี Tazawako ในจังหวัดอะกิตะ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงโดยประมาณ
หลับๆตื่นๆมาตลอดทางจนเดินทางมาถึงสถานี Tazawako ภายในสถานียังเป็นที่ตั้งของศูนย์ให้ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว
จากนั้นเดินทางไปชมกับสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเมืองนี้ที่ ทะเลสาบทะซะวะ (Tazawa Lake) ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะที่เป็นทะเลสาบที่มีความลึกที่สุดในประเทศถึง 423.3 เมตร นอกจากจะลึกและกว้างใหญ่แล้วความใสของน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ยังไม่เป็นรองใครอีกด้วย ทั้งยังมีรูปปั้นสีทองอร่ามของหญิงสาวผู้เป็นตำนานของที่นี่ ทัสสึโกะ (Tatsuko)
เนื่องด้วยมีตำนานเล่าขานกันว่าใครที่ได้ดื่มน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ไปจะมีความสวยงามที่เป็นอมตะ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามดื่มน้ำเกิน 3 อึก เหตุมาจากเธอนั้นฝ่าฝืนจึงถูกสาปให้เป็นมังกรเฝ้าอยู่ภายในทะเลสาบแห่งนี้ ใกล้ๆกันนั้นยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Kansagu (Ukiki Shrine) ที่มักจะมีหญิงสาวมากมายนิยมมาขอพรในเรื่องของความสาวความสวยนั่นเอง แต่น่าเสียดายว่าวันที่เราไปเยือนนั้นศาลเจ้าได้ทำการปิดซ่อมแซม
วิธีการเดินทาง สามารถนั่งรถบัสมาจากสถานี JR Tazawako Station ใช้เวลาราว 30 นาที
หลังจากยืนดื่มด่ำกับความสวยงามพร้อมความเย็นยะเยือกของทะเลสาบทะซะวะกันซักพักใหญ่ก็ได้เวลาเดินทางไปกันต่อที่ ย่านคะคุโนะดะเตะ (Kakunodate) ย่านชุมชนซามูไรเก่าแก่ เนื่องด้วยว่าในอดีตนั้นจังหวัดอะกิตะเป็นที่ตั้งของชุมชนซามูไรจำนวนมากมาย บรรยากาศของชุมชนหมู่บ้านซามูไรตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 17 นั้นยังคงความสวยงามอยู่เช่นดังในวันวาน บริเวณย่านนี้ได้รับการดูแลไว้เป็นอย่างดีเยี่ยมในสภาพแบบเดิม บางหลังได้รับการปรับเปลี่ยนให้เป็นร้านค้า บางหลังได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นให้เป็นพิพิธภัณฑ์การศึกษาแก่ชนรุ่นหลัง
วิธีการเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Kakunodate Station เดินประมาณ 20 นาทีหรือโดยสารรถแท๊กซี่ประมาณ 5 นาที
บ้านของซามูไรที่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นร้านขายของฝาก
ความสวยงามของใบไม้เปลี่ยนสีระหว่างทาง
พิพิธภัณฑ์บ้านอะโอยะงิ (Aoyagi House) ด้านในเป็นคฤหาสน์ของซามูไรชั้นสูงขนาดใหญ่ หลายอาคารด้านในถูกจัดให้เป็นที่นำเสนอข้อมูลในด้านประวัติศาสตร์ รวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของซามูไรในยุคก่อนมากมายซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ เนื่องจากประเวณนี้มีขนาดใหญ่มาก สำหรับผู้ที่อยากจะเที่ยวชมให้รอบหมู่บ้านอาจจะนั่งรถลากคินนิกฉะ รถลากโบราณสีแดงที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้เสมือนย้อนยุคกลับไปในสมัยนั้น ขณะนั่งผู้ลากก็จะคอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ
อีกทั้งการผันเปลี่ยนของฤดูกาลทำให้ย่านนี้ยิ่งเพิ่มความสวยงามมากยิ่งขึ้น ดอกซากุระพร้อมใจกันผลิดอกบานสะพรั่งอย่างมากมายในฤดูใบไม้ผลิ จนกระทั่งเวียนมาถึงฤดูใบไม้ร่วงใบไม้แทบทุกใบก็พร้อมใจกันเปลี่ยนสีให้เป็นสีเหลือง ส้ม และแดงไล่เฉดสีกันไป บ้านเมืองและบรรยากาศช่างดูคล้ายกับเมืองเกียวโต ที่นี่จึงได้ชื่อว่าเป็นเกียวโตน้อย ดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายให้เดินทางมาชมความสวยงามของสถานที่แห่งนี้เพิ่มขึ้นในทุกๆปี
ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในอดีตของเหล่าบรรดาซามูไรชั้นสูง
ในการเดินทางนั้น สิ่งจำเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับชีวิตผู้คนในยุคปัจจุบันก็คือ สมาร์ทโฟนที่ต้องใช้ในการติดต่องาน อัพเดทข่าวสารข้อมูลการเดินทาง อีกทั้งยังใช้งานการอัพเดทโซเชียลเนตเวิร์คต่างๆ พ็อคเกตไวไฟจึงเป็นตัวเลือกที่สะดวกอย่างมาก ความพร้อมใช้งาน อินเทอร์เน็ตไร้สาย (Pocket WiFi) เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของการเดินทางไปต่างประเทศ ตลอดจนการหาข้อมูลที่คุณต้องการทราบอย่างกะทันหันในระหว่างการเดินทางของคุณ!
และ อย่าลืมว่าคุณยังต้องการอัพเดต และติดต่อคนที่คุณรัก หรือจะเป็นการโพสรูปเด็ดๆ กิจกรรมสนุก และภาพสวยๆ ที่คุณไปเจอมาให้กับคนอื่นๆได้รู้ผ่านเหล่า Social media ทั้งหลายอีกด้วย! ซึ่งรับรองว่าสัญญานอินเทอร์เน็ตไร้สาย (Pocket WiFi) จาก TRIPIZEE จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสนุกกับการเดินทางด้วยการใช้สัญญาณอย่างไม่จำกัดและยังทำให้คุณติดต่อสื่อสารโดยไม่ต้องเปิดการโรมมิ่งให้เสียเงินแพงๆ ด้วยค่าเช่า Wi-Fi router เริ่มต้นเพียง 90 บาทต่อวัน เท่านั้น!
อีกหนึ่งความสุโก้ย!! อะกิตะที่เราอยากจะนำเสนอก็คงจะหนีไม่พ้น Nyuto Onsen แหล่งน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงโด่งดังของเมือง Tazawako อนเซนแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในหุบเขาดังนั้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง คงไม่ต้องบอกกันเลยว่าการแช่อนเซนกลางแจ้งท่ามกลางบรรยากาศทิวทัศน์ของใบไม้สีเหลือง ส้ม และแดงไล่เฉดสีกันไปทั่วทั้งทิวเขานั้นจะฟินขนาดไหน
คืนนี้เราเข้าพักกันที่ Tsuru No Yu Onsen เรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่เก่าแก่ที่สุดใน Nyuto Onsen ซึ่งแน่นอนว่าคิวจองห้องพักนั้นยาวเหยียดมากๆตั้งแต่หกเดือนไปจนถึงหนึ่งปีกันเลยทีเดียว เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสถานที่อันซีนที่คนยังไม่ค่อยเข้าถึงกันสักเท่าไหร่ และเพื่อให้สมกับการมาพักผ่อนแล้วนั้นขอเรียนว่าที่นี่แทบจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลยและที่นี่ก็ไม่มีสัญญาณไวไฟอีกด้วยครับ ถือได้ว่าการมาครั้งนี้เป็นการพักผ่อนหัวสมองอย่างแท้จริง
วิธีการเดินทาง จากสถานีรถไฟ JR Tazawako โดยสารรถประจำทาง Regular Bus – Ugo-Kotsu ที่เดินทางไป Nyutou Onsen จากนั้นลงที่ป้ายรถประจำทาง Arupa Komakusa ผู้เข้าพักต้องโทรนัดเวลาล่วงหน้าเพื่อให้รถของทางโรงแรมมารับ
บริเวณทางเข้าสู่เรียวกังที่พัก
บรรยากาศสุดฟินท่ามกลางธรรมชาติภายในเรียวกัง
ทางเดินจากตัวอาคารไปยังออนเซนกลางแจ้ง
ออนเซนในตัวอาคาร
น้ำพุร้อนอนเซนของที่นี่ที่ได้ชื่อว่ามีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน อนเซนกลางแจ้งสีน้ำนมของที่นี่บรรยากาศสิบดาวจริงๆ เสียดายที่เรามาช้าไปหน่อยไม่อย่างนั้นบรรยากาศด้านหลังของเราคงจะเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสีทั่วทั้งหุบเขา ไม่แปลกใจเลยที่เรียวกังแห่งนี้จึงมีการจองคิวที่แน่นเป็นปีๆอย่างที่ไกด์ชาวญี่ปุ่นของเราเล่าให้ฟัง
“อะกิตะ” ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่ประชากรมีอาชีพเกษตรกรรมและปลูกข้าวเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ทำให้ข้าวของที่นี่อร่อยเป็นพิเศษ พืชพันธุ์ ธัญญาหารก็ดูจะแปลกตาแต่ทว่ารสชาดอร่อยไปเสียจะทุกอย่าง
มื้อค่ำวันนี้เรามีโอกาสได้รับประทานอาหารชื่อดังของเมือง Tazawako ที่มีมาตั้งแต่สมัยโชวะมีชื่อเรียกว่า “Yama no Imo Nabe” มิโซะหม้อไฟมันภูเขา Yamato เหมาะอย่างยิ่งโดยเฉพาะการซดท่ามกลางอุณหภูมิ 1 องศา อีกทั้งเซท Sansai อาหารเพื่อสุขภาพชุดใหญ่เต็มไปด้วยผักและเห็ดภูเขาอีกหลากหลายชนิด ปลาอิวะนะสดๆที่จับได้จากแม่น้ำนำมาทาเกลือให้ทั่วเสียบ ไม้แล้วปรุงด้วยวิธีย่างถ่านแบบดั้งเดิมบนเตา “อิโลริ” เตาผิงรูปทรงสี่เหลี่ยมบนพื้นในบ้านแบบโบราณของญี่ปุ่น อาหารพื้นบ้านของชุมชนภูเขา ไม่เพียงแค่ความอร่อยยังเป็นมื้ออาหารที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาดของบทสนทนา อันออกรสของผู้ร่วมโต้ะ
มื้ออาหารค่ำของวันนี้
“Yama no Imo Nabe” มิโซะหม้อไฟมันภูเขา
หลังจากเช็คเอ้าท์แล้ว เดินทางไปกันต่อที่ หุบเขาดาคิกะเอริ (Dakigaeri Gorge) ตั้งอยู่ในเมืองเซมโบคุ อีกหนึ่งสถานที่ทางธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคโทโฮขุ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ริมหน้าผาทั้งสองด้านเต็มไปด้วยความงามของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีตัดกับลำธารสีฟ้าสดใสที่ผ่ากลางหุบเขา นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมตามน้ำตกน้อยใหญ่ สัมผัสกับทัศนียภาพของหุบเขาดาคิกะเอริแห่งนี้ได้บนสะพานแขวน “Kami No Ishibashi” สีแดงขนาดใหญ่ที่เชื่อมหน้าผาทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกัน
วิธีการเดินทาง
จาก JR Tazawako Line โดยสารรถแท๊กซี่ ลงที่สถานี Jindai ใช้เวลาประมาณ 5 นาที จาก JR Akita Shinkansen โดยสารรถแท๊กซี่ ลงที่สถานี Kakunodate ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
อย่างที่ทราบกันดีว่า “อะกิตะ” เป็นแหล่งรวบรวมเหล่าบรรดาซามูไรในอดีตจนเกิดเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และสิ่งคู่กายของเหล่าบรรดาซามูไรนั้นแน่นอนว่าคงหนีไม่พ้นมีดดาบเล่มงาม ช่วงบ่ายเรามีโอกาสได้ไปร่วมกิจกรรม ฟันดาบกับเหล่าบรรดานักแสดงฟันดาบที่ Akita Art Village โดยที่เหล่านักแสดงเหล่านี้เป็นนักเรียนหญิงจากโรงเรียน ในจังหวัดอะกิตะ นับว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ประจำใจอย่างมาก
สำหรับใครที่กำลังมองหาที่ท่องเที่ยวใหม่ๆที่ต่างไป นอกเหนือจากเมืองหลักอย่างโตเกียวหรือโอซาก้า “อะกิตะ” นับว่าเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีครบหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ อาหารสุดอร่อย ผู้คนอัธยาศัยดี น่ารักและเป็นกันเอง แล้วคุณจะหลงรักอะกิตะ เหมือนที่เราหลงรัก สำหรับทริปนี้ลากันไปด้วยภาพสวยๆของใบไม้เปลี่ยนสีที่ของจังหวัดอะกิตะกัน รับลองได้เลยว่า สุโก้ย!! อะกิตะ…จริงๆครับ
วาเลนไทน์นี้ พบกับ ซีรี่ส์รักกุ๊กกิ๊ก โรแมนติกคอมเมดี้ โดยนักแสดงชั้นนำ จากฝีมือผู้กำกับสุดเกรียน ใน ซีรี่ส์ “สู้ตายนะ…ไอ้อ่อน” ที่จะทำให้คุณหลงรัก “อาคิตะ” ออกอากาศ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ที่คุณจะได้เต็มอิ่มกับความรัก กับซีรี่ส์ 2 ตอนจบ
ดอม ตากล้องหนุ่มที่มีอคติกับญี่ปุ่นเพราะความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปู่ชาวญี่ปุ่นของเขา แต่เมื่อได้ไปที่อาคิตะ ที่ๆมีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้น ก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่า เขารักและต้องการอะไร
ไหม เด็กไทยที่เกิดและเติบโตที่นั่น เธอกำพร้าและปู่ทาเคชินำเธอมาเลี้ยงดูและดูแลเธอมาจนโต เธอจึงรักปู่ทาเคชิและหวังจะสืบทอดโรงเรียนสอนเคนโด้ของปู่ต่อไป แม้ว่าเธอจะเล่นเคนโด้ไม่เป็นก็ตาม
นามิจัง เด็กสาวม.ต้น เธอเรียนเก่งและสอบเข้าโรงเรียนดังในโตเกียวได้แล้ว แต่เธออยากย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกับเคนจิคุง แต่ติดปัญหาที่ว่า โรงเรียนนั้นรับนักเรียนเต็มแล้ว เหลือเพียงแค่โควต้านักกีฬาเคนโด้อีกเพียง 1ที่เท่านั้น นามิจังต้องไปแข่งเคนโด้สู้กับไททันที่เป็นคู่แข่งหมายเลขหนึ่งเพื่อเข้าเรียนให้ได้
ฉากนี้ถ่ายทำกันที่ทะเลสาบ Tazawa
ฉากนี้ถ่ายทำกันในเรียวกังที่ Tsurunoyu
ฉากนี้ถ่ายทำกันที่ Kakunodate
ติดตามละคร “สู้ตายนะไอ้อ่อน” ทางช่อง 3SD (ช่อง 28) วันที่ 19 และ 26 กุมภาพันธ์ เวลา 17.00-18.00 น.