Tochigi: สนุกที่ Tokyo Skytree Town แล้วใช้ “Nikko Pass” ไปเที่ยวนิกโก้ จากอะสะคุสะ

ครั้งนี้จะมาแนะนำ วิธีใช้ตั๋วเดินทาง “Nikko Pass” ไปเที่ยวนิกโก้จากอะสะคุสะ พร้อมกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ที่ใช้ตั๋วนี้ไปเที่ยวได้ ในเวลา 2 วัน 1 คืน และยังมีเวลาไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ที่เป็นสัญลักษณ์ของโตเกียว อย่าง วัดเซ็นโซจิ และ โตเกียวสกายทรี ให้ทุกคนได้ลองเอาไปปรับใช้ ในแพลนเที่ยวของตัวเองกันได้อีกด้วย

สำหรับแผนเที่ยวในครั้งนี้ จะแบ่งออกเป็น 2 วัน โดยวันแรกจะเน้นเที่ยวที่ วัดเซ็นโซจิ และ โตเกียวสกายทรี กันก่อน ถึงค่อยเดินทาง ไปค้างคืนที่นิกโก้ และค่อยเที่ยวนิกโก้เต็มวันในวันที่สอง แบบนี้ก็จะไม่เหนื่อยเกินไป

[วันที่ 1]

9.30 น. เดินเที่ยวย่านอะสะคุสะ แวะไหว้พระขอพรที่วัดเซ็นโซจิ
11.30 น. เที่ยวโตเกียวสกายทรี
12.30 น. ทานมื้อเที่ยงที่ Tokyo Solamachi
16.30 น. ย้อนกลับไปที่อะสะคุสะ ทำการซื้อพาสที่ TOBU Tourist Information Center Asakusa
17.00 น. เดินทางไปนิกโก้ ด้วยรถไฟ Spacia ถึงเวลา 18.51 น.
19.00 น. เข้าที่พักที่ Nikko Kanaya Hotel

[วันที่ 2]

8.00 น. ออกเดินทางจากโรงแรม
9.00 น. Akachidaira Ropeway
10.00 น. Kegon Falls
11.00 น. Lake Chuzenji
12.00 น. ทานมื้อเที่ยงที่ ZEN
13.00 น. เดินเที่ยวรอบตัวเมืองนิกโก้
14.00 น. ศาลเจ้า Nikko Toshogu Shrine
15.00 น. สะพาน Shinkyo Bridge
15.30 น. แวะคาเฟ่ และร้านค้าบริเวณสะพานชินเคียว
16.23 น. เดินทางกลับอะสะคุสะ ด้วยรถไฟ Revaty ถึงเวลา 18.15
18.30 น. เดินขึ้นไปถ่ายรูปกลางคืนที่ Asakusa Culture Tourist Information Center


วัดเซ็นโซจิ (Sensoji)

เป็นที่รู้จักในกลุ่มนักท่องเที่ยวว่าเป็นสัญลักษณ์ของโตเกียวที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่ง เรียกกันติดปากว่า “วัดอะสะคุสะ” มีความเก่าแก่ และศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก ตามตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งชาวประมงที่ออกหาปลาในแม่น้ำสุมิดะ ทอดแหได้เทวรูปเจ้าแม่กวนอิมทองคำ จึงนำกลับมาไว้ที่หมู่บ้าน และสร้าง วัดเซ็นโซจิ ขึ้น เพื่อเป็นที่ประดิษฐาน ให้ชาวบ้านได้มาบูชากัน ปรากฏว่า ใครที่มากราบไหว้ขอพร ต่างก็มักจะสมปรารถนา จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

ตำนานเจ้าแม่กวนอิมทองคำ ดึงดูดให้ผู้คนแวะเวียนมาสักการะ วัดเซ็นโซจิ กันอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญของพระพุทธศาสนา และวันขึ้นปีใหม่ จะมีผู้คนจำนวนมหาศาล เดินทางมาขอพรกันอย่างคับคั่ง นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลย

นอกจาก ความน่าสนใจของ ตำนานกับความศักดิ์สิทธิ์แล้ว วัดเซ็นโซจิ ยังมีไฮไลท์อีกมากมาย ทั้ง ความงดงามของสถาปัตยกรรม และความเป็นสีแดงไปทั้งหมด อันโดดเด่นของวัด โดยเฉพาะ โคมแดงยักษ์ ที่ประตู คะมินะริมง (Kaminarimon) ที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ตลอดจน ความคึกคักของ “ถนนนะกะมิเสะ” (Nakamise) ถนนช้อปปิ้ง ที่มีครบทั้ง อาหาร, ของที่ระลึก, เครื่องราง และขนมนานาชนิดให้เลือกซื้อ


และขอแนะนำจุดชมวิวมุมสูงที่ Asakusa Culture Tourist Information Center ที่เป็นจุดถ่ายรูปวัดเซ็นโซจิยอดนิยม ที่สวยทั้งกลางวันและกลางคืน ตัวอาคารโดดเด่นด้วยดีไซน์ ที่ออกแบบโดยวิศวกรชื่อดังระดับโลก อย่าง Kengo Kuma ตั้งอยู่หัวมุมถนน ฝั่งตรงข้ามกับวัดเซ็นโซจิ โดยด้านในให้บริการข้อมูลท่องเที่ยว คาเฟ่ ลานจัดงานนิทรรศการ และจุดชมวิว นอกจากนี้ยังมีจัดทัวร์เดินเที่ยวย่านอะสะคุสะฟรีทุกสุดสัปดาห์อีกด้วย


โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree)

ด้วยความสูงถึง 634 เมตร ทำให้ โตเกียวสกายทรี เป็นหอคอยสื่อสารที่สูงที่สุดในโลก และเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ทิ้งห่างจาก โตเกียวทาวเวอร์ (Tokyo Tower) ไปเกือบถึง 2 เท่าตัวเลยทีเดียว

สำหรับวิธีการเข้าชมนั้น เริ่มต้นด้วยการซื้อตั๋วบริเวณชั้น 4 จากนั้นขึ้นลิฟท์ ไปยัง Tembo Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวระดับที่ 1 ความสูง 350 เมตร แต่หากต้องการขึ้นไปอีกที่ จุดชมวิวระดับที่ 2 Tembo Galleria ความสูง 450 เมตร จะต้องซื้อตั๋วเพิ่ม

ที่ Tembo Galleria จุดสูงสุด จะมีความสูงอยู่ที่ 451.2 เมตร วิวที่ได้เห็นนั้น คือกว้างไกลมาก เหมือนมองลงมาจากหน้าต่างของเครื่องบิน โดยเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าสดใส จะสามารถมองเห็นได้ กระทั่ง ภูเขาไฟฟูจิกันเลย (เว็บไซต์)

สำหรับ THE SKYTREE SHOP ร้านขายของที่ระลึก สินค้าลิขสิทธิ์เฉพาะของโตเกียวสกายทรี จะมีให้บริการอยู่ที่ ชั้น 1F, ชั้น 5F และ Floor 345 ส่วนหนึ่งของ Tembo Deck นั่นเอง ซึ่งสินค้าที่แนะนำ คือสินค้าลายของ “โซระคะระจัง” (Sorakara-chan) มาสคอตทางการของโตเกียวสกายทรี และหาซื้อไม่ได้จากที่อื่น ควรค่าแก่การเก็บสะสมมาก ๆ ครับ


ส่วนใครที่ชอบช้อปปิ้งและหาร้านอร่อยทาน ก็สามารถเพลิดเพลินต่อได้ที่ “โตเกียว โซะระมะจิ” (TOKYO Solamachi) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อยู่บริเวณฐานของ โตเกียวสกายทรี ชั้น 2 และ 3 ภายในเป็นคอมมิวนิตี้ที่ให้เราได้สัมผัสประสบการ์ณผสมผสานวัฒนธรรม และ สไตล์ได้อย่างลงตัว มีทั้ง ร้านค้าครบครัน และร้านอาหารหลากหลาย รอต้อนรับเราอยู่ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> TOKYO Solamachi

เติมพลังด้วยมื้อเที่ยงกันก่อน

ร้าน Jump Shop สำหรับแฟนการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น ONE PIECE, My Hero Academia ที่กำลังลงซีรี่ยส์อยู่ใน WEEKLY JUMP ตอนนี้ และการ์ตูนเรื่องโปรดอื่น ๆ อีกมากมาย  โดยภายในร้านรวบรวมสินค้า Limited edition ทุกรูปแบบเอาไว้ให้แฟน ๆ ได้เลือกช้อปกลับไป ที่หาซื้อได้ที่นี่เท่านั้น ซึ่งร้านตั้งอยู่ในบริเวณ ชั้น 3 ฝั่ง West Yard เปิดตั้งแต่ 10.00 – 21.00

โซน Sumida City point เป็นจุดรวบรวมข้อมูลและสินค้าท้องถิ่นในเขตสุมิดะ ทางด้านอุตสาหกรรม, วัฒนธรรม, ประวัติศาสตร์, การท่องเที่ยว และ อาหารการกิน และนอกจากนั้นยังโซนที่จัดแสดงตัวอย่างการประดิษฐ์สินค้าต่าง ๆ จากร้านชื่อดังในชุมชน Sumida มาให้เราได้ชมกันด้วย ซึ่งโซนนี้จะตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 ฝั่ง East Yard เปิดตั้งแต่ 10.00 – 21.00

ภายใน TOKYO Solamachi มีร้านค้ามากมายที่สามารถหาผลิตภัณฑ์ที่ระลึกจากญี่ปุ่นได้ ไปเลือกซื้อสินค้าที่ชื่นชอบกันได้ที่โซน Japan Souvenir Floor ชั้น 4 ฝั่ง East Yard

สำหรับใครที่ชื่นชอบ โทโทโระ และ การ์ตูนของจิบลิสตูดิโอ ต้องไม่พลาดร้านนี้เลย Donguri kyowakoku

ร้าน Cheese Garden มีทั้งโซนขายขนมและร้านอาหาร โดยร้านชีสเค้กแห่งนี้เป็นร้านชื่อดังจากจังหวัด Tochigi โดยมีหลากหลายรสชาติให้เราได้ลองชิมและซื้อกลับบ้าน เมนูแนะนำที่ทุกคนต้องมาสั่งกันก็คือ Goyotei Cheesecake ที่เราสามารถออเดอร์ให้ทางร้านทำชิ้นต่อชิ้นได้ คนที่รักการทานชีสเค้กต้องห้ามพลาด โดยสามารถแวะมาที่ร้านได้ที่ชั้น 2F ฝั่ง East Yard เปิดตั้งแต่ 10.00 – 21.00

แฟน ๆ ชาเขียวคงต้องห้ามพลาด ร้าน “Sawawa” มีทั้งไอศครีม ขนมโมจิชาเขียวที่สามารถสั่งแล้วนั่งทานได้ หรือเหล่าบรรดาขนมของฝากที่ทำมาจากชาเขียวก็มีพร้อมให้เราได้ซื้อกลับไปอีกด้วย โดยร้านชาเขียวแห่งนี้นำชาเขียวมากจากเกียวโตเลยทีเดียว สามารถมาชิมกันได้ที่ชั้น 1F ฝั่ง East Yard เปิดตั้งแต่ 10.00 – 21.00


หลังจากนั้นเดินทางกลับมาที่สถานี Tobu Asakusa เพื่อทำการซื้อตั๋ว Nikko Pass ที่ Tourist Information Center

มีตู้ล็อกเกอร์ให้ฝากสัมภาระสำหรับคนที่เลือกไปแบบเช้าเย็นกลับ

ถ้าหากใครเดินทางก่อนเวลาทำการของ TOBU Tourist Information Center Asakusa สามารถทำการซื้อ NIKKO PASS ได้ที่เคาเตอร์ ด้านข้างตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติ (ภายในเวลาทำการ ช่องนี้จะปิดให้บริการ)

โดยปกติแล้ว การเดินทางไปนิกโก้ จากโตเกียว เป็นหนึ่งในเป็นเส้นทางยอดนิยมของการมาเที่ยวแถบคันโต ด้วยทางเลือกสุดคุ้มอย่าง Nikko Pass ที่จะช่วยประหยัดงบได้อย่างดี ครอบคลุมการเดินทาง ทั้งรถไฟวิ่งตรงจากอะสะคุสะ และ รสบัสบริการภายในตัวเมืองนิกโก้

Nikko Pass เป็นพาสสุดคุ้มสำหรับใช้เดินทางไป นิกโก้ โดยตั้งต้นจากโตเกียว ที่สถานีรถไฟ Asakusa หรือ Tokyo Skytree ด้วยรถไฟสาย Tobu Nikko โดยพาสนี้ รวมการเดินทางไปกลับระหว่าง โตเกียว – นิกโก้ 1 รอบ

และมีความพิเศษคือ สามารถใช้พาสเป็นส่วนลด 20% สำหรับขึ้นรถไฟขบวนด่วนพิเศษอย่าง Revaty หรือ Spacia (แถมมี Free Wi-Fi ให้ใช้ตลอดทาง และทุกที่นั่งเฉพาะบนขบวน Revaty มีช่องเสียบปลั๊กให้ด้วย)

นอกจากนี้ใช้ขึ้นบัสรวมไปถึง รถไฟโทบุทุกสาย ภายในนิกโก้ได้แบบไม่จำกัดรอบ ทั้งยังเป็นส่วนลดสำหรับค่าเข้าสถานที่บางแห่งอีกด้วย ซึ่งช่วยให้เราสามารถคุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างดี

Nikko Pass มีให้เลือกใช้ อยู่ 2 แบบ ซึ่งจะต่างกันที่ขอบเขตพื้นที่การใช้งาน มีรายละเอียดดังนี้ครับ

1. Nikko Pass All Area ใช้ได้ 1 – 4 วัน (ติดต่อกัน) ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมด ได้แก่ โซนมรดกโลก สถานีชินฟุจิวาระ คินุกาวะออนเซ็น และ น้ำตกเคะกง + ทะเลสาบจูเซ็นจิ มี 2 ราคา ขึ้นอยู่กับฤดูกาลตามนี้

  • ช่วงวันที่ 20 เมษายน – 27 พฤศจิกายน = ผู้ใหญ่ 4,600 เยน / เด็ก 1,180 เยน (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับรถด่วน)
  • ช่วงวันที่ 28 พฤศจิกายน -19 เมษายน = ผู้ใหญ่ 4,230 เยน / เด็ก 1,060 เยน (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับรถด่วน)
    **รวมขึ้นเรือชมทิวทัศน์ทะเลสาบจูเซ็นจิ และอะเคจิไดระโรปเวย์

2. Nikko Pass World Heritage Area ใช้ได้ 1 – 2 วัน (ติดต่อกัน) ครอบคลุมพื้นที่น้อยกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเน้นโซนมรดกโลก กับ คินุกาวะออนเซ็น (ไม่ครอบคลุมไปถึง น้ำตกและทะเลสาบ) มีเพียงราคาเดียวตลอดทั้งปี เหมาะกับการเที่ยวแบบ 1 วัน

  • ผู้ใหญ่ 2,040 เยน / เด็ก 610 เยน (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับรถด่วน)

ดุรายละเอียดเกี่ยวกับพาสเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> NIKKO PASS

ขาไปเราได้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษขบวน SPACIA Tobu Limited Express


นิคโก้ (Nikko) ตั้งอยู่ในจังหวัดโทจิงิ (Tochigi) อยู่ห่างจากอะสะคุสะ ไปทางทิศเหนือราว 160 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟแบบด่วนพิเศษประมาณ 2 ชั่วโมง นิกโก้ เป็นเมืองท่ามกลางทิวเขา แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ จัดว่าเป็น 1 ในจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามในอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น นิกโก้ ยังมีพื้นที่ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนโดย ยูเนสโก ให้เป็นแหล่งมรดกโลก ประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าอย่างยิ่งในทางประวัติศาสตร์ ที่รวมเรียกว่า “ศาลเจ้าและวัดแห่งนิกโก้”

ต่อไปเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เราใช้ตั๋ว Nikko Pass All Area ไปมาในครั้งนี้ โดยใช้เวลา 2 วัน 1 คืน จริง ๆ แล้วนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของสถานที่อีกมากมายในนิกโก้ ดังนั้น ถ้ามีเวลาพอ และยังไม่เคยเที่ยวนิกโก้ มาก่อน แนะนำให้ค้าง 2 คืนไปเพื่อที่จะได้เที่ยวให้ครบทุกโซน รับรองว่ามีอะไรให้ทำทุกวันแน่นอน


น้ำตกเคะกง (Kegon Falls)

น้ำตกแห่งนี้ มีความสูงถึง 97 เมตร ซึ่งสูงที่สุดติดอันดับท็อป 3 ของญี่ปุ่น ยิ่งใหญ่ถึงขนาดที่จากจุดชมน้ำตก สามารถลงลิฟท์ไปดูวิวจากด้านล่างของหน้าผาได้ ให้มุมมองที่แตกต่างไปอีกแบบ สามารถมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี แต่ละฤดูกาลก็จะสวยงามมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน ซึ่งช่วงที่สวยที่สุดก็ต้องให้เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ช่วงเดือนตุลาคมครับ


ทะเลสาบจูเซ็นจิ (Lake Chuzenji)

ทะเลสาบเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการปะทุของภูเขาไฟนันไท (Nantai Mountain) และเป็นต้นกำเนิดของ ธารน้ำที่กลายเป็น น้ำตกเคะกง (Kegon Falls) นั่นเอง ด้านทิศตะวันออกของทะเลสาบยังเป็นที่ตั้งของเมืองน้ำพุร้อนชื่อว่า “จูเซ็นจิ ออนเซ็น” (Chuzenji Onsen) ที่มีทั้งที่พัก ร้านค้า ร้านอาหารท้องถิ่น และท่าเรือสำหรับพานักท่องเที่ยวชมทะเลสาบ คอยให้บริการอยู่ (เราสามารถใช้ Nikko Pass โดยสารได้ฟรีด้วย แต่จะปิดให้บริการในฤดูหนาว)


ร้านนิกโก้ยูบะมากิเซ็น (Nikko Yubamaki Zen)

ร้านอาหารท้องถิ่นของนิกโก้ที่ไม่ควรพลาด เหมาะสำหรับทานมื้อเที่ยงก่อนที่จะไปลุย โซนมรดกโลกกันต่อ กับเมนูขึ้นชื่อ อย่าง ข้าวห่อที่ใช้ฟองเต้าหู้ (หรือ ยูบะ) แทนสาหร่าย ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมของทางร้าน ข้างในสอดไส้ด้วย เนื้อวัวโทจิงิ และผักสด ผลผลิตจากในพื้นที่เอง รสชาตินุ่มนวล ทุกส่วนผสม อร่อยเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ



สะพานชินเคียว (Shinkyo)

สะพานแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ในสะพานโบราณ ที่สวยติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่น มีตำนานเล่าไว้ว่า สะพานชินเคียว เป็นร่างแปลงของ งูยักษ์ 2 ตัว เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับ “โชโด โชนิน” (Shodo Shonin) พระสงฆ์ผู้ก่อตั้ง วัดรินโนจิ (Nikkosan Rinnoji) สามารถเดินข้าม แม่น้ำไดยะ (Daiya) เพื่อนำพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ยังนิกโก้ ได้สำเร็จนั่นเอง 

กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว คือ การซื้อเครื่องบินกระดาษที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ในราคา 100 เยน มาเขียนคำอธิษฐาน แล้วปาลงไปยังแม่น้ำไดยะ โดยเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ช่วยดลบันดาลให้สิ่งที่ขอนั้น เป็นจริงได้


ศาลเจ้านิกโก้โทโชงู (Nikko Toshogu)

สำหรับแลนมาร์กที่ห้ามพลาด ภายในโซนมรดกโลกของนิกโก้ ก็คือ ประตูโยเมมง (Yomeimon) แห่งศาลเจ้าโทโชงู เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ ที่ผสมผสานด้วยศิลปะหลายแขนง มีสีทองโดดเด่น ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของนิกโก้ ผลงานระดับยอดฝีมือชิ้นนี้ เคยปิดซ่อม อย่างยาวนาน กว่า 4 ปี วันนี้ ได้กลับมาเปิดให้ชื่นชมความยิ่งใหญ่อีกครั้งแล้ว

ศาลเจ้าโทโชงู สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ โชกุน “โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ” (Tokugawa Ieyasu) 1 ในบุคคล ที่สามารถรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่งเดียวได้ และผู้ก่อตั้งรัฐบาลเอโดะ (Edo) ที่มีศูนย์กลางอยู่ที่โตเกียวขึ้นมา (เดิมชื่อ เอโดะ) สถาปนา ระบอบศักดินา “บะคุฟุ” (Bakufu) ซึ่งมี “โชกุน” เป็นผู้ปกครองสูงสุดทางพฤตินัย โดยสืบทอดต่อกันภายในตระกูลโทะคุงะวะเท่านั้น มาอย่างยาวนานกว่า 200 ปี ช่วงเวลานี้ในประวัติศาสตร์ มีชื่อเรียกที่คุ้นหูว่า “ยุคเอโดะ” นั่นเองครับ

ภายในศาลเจ้า มีสถานที่สำคัญมากมาย ทั้ง ประตูไม้โบราณที่สวยงาม, อาคารวิหารหลัก และรอง ไปจนถึง สุสานของ โทะคุงะวะ อิเอะยะสุ ที่ต้องเดินขึ้นเขาไปอีกประมาณ 300 เมตร นอกจากนี้ ยังมีงานแกะสลักชิ้นสำคัญที่ควรค่าแก่การไปชมให้ได้ อย่าง “ลิงสามตัว” (Three wise monkeys) แต่ละตัวทำท่าทางต่างกัน คือปิดหู ปิดตา และปิดปาก สื่อถึงการไม่รับรู้ ฟัง และกล่าววาจา ในสิ่งที่ไม่ดี และ “แมวหลับ” (Sleeping Cat) สัญลักษณ์แห่งความสงบสุข ในช่วงที่ตระกูลโทะคุงะวะปกครองญี่ปุ่น


โรงแรมนิกโก้ คะนะยะ (Nikko Kanaya Hotel)

สำหรับที่พักในนิกโก้ ขอแนะนำ โรงแรมนิกโก้ คะนะยะ หนึ่งในโรงแรมที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ภายในตกแต่งด้วยการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรมตะวันตก และความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิม ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะตั้งอยู่ใกล้กับ โซนมรดกโลกของนิกโก้ สามารถเดินเท้าไปเที่ยวได้ทุกที่ ตั้งแต่ สะพานชินเคียว (Shinkyo) ไปจนถึง ศาลเจ้านิกโก้โทโชงู (Nikko Toshogu) ความสะดวกนี้จ่ายในราคาที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล ดูห้องพักในสไตล์ของคุณได้ทางเว็บไซต์ >> Nikko Kanaya Hotel


Hongu Cafe

ส่วนใครที่กำลังหาคาเฟ่นั่งเติมพลังก่อนเที่ยวชมวิว ระหว่างทางขึ้นไปยังโซนวัด มีคาเฟ่อยู่ร้านหนึ่งชื่อ Hongu Cafe จุดเด่นของร้านนี้ที่นักท่องเที่ยวชอบมานั่งจิบกาแฟกันก็คือโลเคชั่นที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มองลงมาเห็นถนนนิกโก้ ไม่ไกลจากสะพานชินเคียว และยังมีเครื่องดื่มที่ตกแต่งด้วยลาเต้อาทที่แสนจะน่ารัก และรสชาติที่อร่อยไม่แพ้ร้านคาเฟ่ในโตเกียวอีกด้วย ร้านเปิดตั้งแต่ 10.00 – 18.00 อยู่ห่างจากสะพานชินเคียว แค่ 100 เมตรเท่านั้น


ร้านมิชิมายะ (Mishimaya)

สำหรับรายการของฝาก ที่นอกจาก จะน่ารักแล้ว ยังอร่อยด้วย ก็ต้อง “นิกโก้ นินเงียวยากิ” (Nikko Ningyoyaki) เป็น ขนมไส้ถั่วแดง หอมหวาน ทำออกมาจากต้นแบบรูปสัตว์มงคล ที่ปรากฏอยู่ตาม งานแกะสลักชิ้นสำคัญ ภายในศาลเจ้าโทโชงู (Toshogu) อาทิ “ลิงสามตัว” ที่เอามือปิดหู ปิดตา และปิดปาก เป็นต้น ตัวร้านอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ Tobu-Nikko สามารถเดินเท้าไปถึงได้ ทำให้แวะซื้อก่อนกลับโตเกียวได้สบาย


ส่วนขากลับเราได้ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษขบวน REVATY Tobu Limited Express เดินทางกลับอะสะคุสะกัน

ซึ่งถ้าใครเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ก็ยังสามารถไปเที่ยวที่วัดเซ็นโซจิ และ โตเกียวสกายทรี  ในตอนกลางคืนได้ต่อด้วย

(TOKYO) SKYTREE is a service mark / trademark of TOBU RAILWAY CO., LTD. and TOBU TOWER SKYTREE Co., Ltd., registered in Japan, United States of America and other countries.

​ เที่ยวญี่ปุ่นAsakusaFeaturedKantoNikkoNikko PassSensojisolamachiTochigiTokyoTokyo SkytreeTokyo Skytree Townคันโตนิกโกเที่ยวจากโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมเที่ยวด้วยรถไฟเที่ยวโตเกียวโทชิงิ