Shizuoka: รีวิวเที่ยวเจาะลึกคาบสมุทรอิซุ จากโตเกียว ตอน 3: ฝั่งตะวันตก

รีวิวที่จะพาทุกคนไปเจาะลึก คาบสมุทรอิซุ (Izu-Peninsula) อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวอันซีนในญี่ปุ่น ที่หลายคนยังไม่รู้จัก และมองข้ามไป ทั้งที่จริงๆแล้ว คาบสมุทรแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับโตเกียวมาก จึงเดินทางมาได้สะดวกด้วยรถไฟใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น (ขึ้นอยู่กับว่าจะไปเที่ยวเมืองอะไร) ใครที่กำลังวางแผนเที่ยวโตเกียวอยู่ และเริ่มมองหาเส้นทางใหม่ๆ อยากลองออกนอกเมืองดูบ้าง สามารถนำข้อมูลจากรีวิวนี้ไปปรับเพิ่มเติมได้เลยครับ

อ่านรีวิวตอนแรกที่นี่ >> Shizuoka: รีวิวเที่ยวเจาะลึกคาบสมุทรอิซุ จากโตเกียว ตอน 1: ฝั่งตะวันออก

อ่านรีวิวตอนสองที่นี่ >> Shizuoka: รีวิวเที่ยวเจาะลึกคาบสมุทรอิซุ จากโตเกียว ตอน 2: ฝั่งใต้-ตอนกลาง

สำหรับตอนที่ 3 นี้ เราก็จะมาปิดท้ายกันที่โซนฝั่งตะวันตก ซึ่งก็จะครบทั่วทั้งคาบสมุทรอิซุพอดีโดยไฮไลท์ที่สำคัญคือ การชมภูเขาไฟฟูจิในมุมมองที่แปลกใหม่มากยิ่งขึ้นไปอีก โดยโซนนี้จะประกอบไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเขต เมืองมิชิมะ (Mishima), เมืองนุมาซุ  (Numazu), ตำบลมัตสุซะกิ (Matsuzaki), ตำบลนิชิอิซุ (Nishiizu), เมืองอิซุ (Izu) ก่อนที่จะไปจบทริปที่ เมืองชิซุโอกะ (Shizuoka) เมืองเอกของจังหวัดชิซุโอกะ ซึ่งมีรถไฟชินคันเซนผ่าน ทำให้เราสามารถเดินทางกลับโตเกียวได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นครับ

ศาลเจ้ามิชิมะ (Mishima Taisha) มีความเก่าแก่มากจนผู้บันทึกเหตุการณ์ในแต่ละสมัย ยังไม่อาจทราบได้อย่างแน่ชัดเลยว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ในปัจจุบันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจในด้านความเชื่อของผู้คนในจังหวัดชิซูโอกะ และมักจะมาขอพรให้มีโชคลาภในช่วงเทศกาลสำคัญต่าง ๆ กันอย่างเนืองแน่น อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญคือ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่จะกลายเป็นจุดชมซากุระ ที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอิซุเลยทีเดียว
  • เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
  • การเดินทาง: จากสถานี Mishima เดินต่อไปยังศาลเจ้าประมาณ 10 นาที (พิกัด)
  • เว็บไซต์


มิชิมะ สกายวอร์ค (Mishima Skywalk) สะพานแขวนคนเดินที่ยาวที่สุดในญี่ปุ่น (ยาว 400 เมตร สูง 70.6 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ในวันที่ท้องฟ้าเปิดเต็มที่ เราจะได้เห็นภูเขาไฟฟูจิแบบเต็มตา นอกจากนี้ ยังสามารถมองเห็น อ่าวซุรุงะ (Suruga)  หรือทะลฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ ได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
สำหรับใครที่ชอบความหวาดเสียว ที่นี่มีกิจกรรม “ซิปไลน์” หรือ การเล่นโหนสลิงให้บริการด้วย ส่วนใครที่มาสายชิลล์ ก็ยังมีคาเฟ่ บรรยากาศดีเปิดให้นั่งกันไปเพลินๆ หรือ ถ้าใครเป็นสายธรรมชาติ ผสมกับสายมูหน่อย ๆ ก็ห้ามพลาดเลย ที่จะหาซื้อเครื่องราง ที่มีเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้แปะติดไว้ ให้เราอธิษฐานขอพร ก่อนที่จะโยนลงไปจากสะพาน เพื่อเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียวต่อไป เรียกได้ว่า ตอบโจทย์ครบทุกแนวจริง ๆ ครับ
  • การเดินทาง: จากสถานี Mishima โดยสารรถบัสที่ป้ายหมายเลข 5 ลงที่ป้าย Mishima Skywalk ประมาณ 25 นาที (พิกัด)
  • เวลา: 9.00 – 17.00
  • ค่าเข้า: 1,000 เยน
  • เว็บไซต์


ตามรอยสถานที่จริงใน Love Live! Sunshine!! ที่นูมาซุ   
เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! เป็นชื่อของอนิเมะ เกี่ยวกับ “สคูลไอดอล” ที่กำลังโด่งดังมากๆในญี่ปุ่น และเริ่มมีผู้ติดตามชาวไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความน่ารักสดใส และความสมจริง ของเหล่าตัวละครเด็กสาวในเรื่อง ได้สร้างกลุ่มแฟนคลับที่เหนียวแน่นให้อารมณ์ไม่ต่างไปจากโอตะของ BNK48 ประมาณนั้นเลยครับ และ อะนิเมเรื่องนี้ได้เลือกใช้สถานที่ต่างๆของเมืองนูมาซุ (Numazu) เป็นฉากสำคัญ ทำให้สถานที่ต่างๆซึ่งถูกวาดออกมาเป็นภาพการ์ตูนอย่างวิจิตรสวยงามนั้นล้วนแล้วแต่มีอยู่จริง และรอคอยให้แฟนๆได้มาตามรอยกันนั่นเอง

หนึ่งในสถานที่สำคัญ ที่ต้องไปให้ได้เลยก็คือ เกาะอะวะชิมะ (Awashima) เพราะเป็นศูนย์รวมของโลเคชันหลักจากอะนิเมะ ที่ครบมากที่สุดแห่งหนึ่งในนูมาซุ ไม่ว่าจะเป็น บริเวณท่าเรือของเกาะ, อะวะชิมะ มารีน พาร์ค (Awashima Marine Park) หรือ ศาลเจ้าอะวะชิมะ (Awashima Shrine) นั่นเอง
เพียงก้าวแรกที่เข้ามาในเมือง เราก็จะได้เห็นรูปของตัวละครและฉากต่างๆ ปรากฎอยู่แทบจะทุกที่ทั้งในสถานีรถไฟ บนขบวนรถไฟ รถบัสโดยสาร แม้แต่เรือข้ามฟาก ใครที่เป็นแฟนคลับ เลิฟไลฟ์! ซันไชน์!! ต้องลองมาตามรอยกันให้ได้สักครั้งรับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
  • การเดินทาง: จากสถานี JR Numazu โดยสารรถบัสที่ป้ายหมายเลข 8 ปลายทาง Awashima Marine Park (พิกัด)
  • เวลา: 9.30 – 17.00
  • ค่าเข้า: 1,800 เยน
  • เว็บไซต์


อิสุ มิโตะ ซีพาราไดซ์ (Izu-Mito Sea Paradise) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองนุมาซุ มีจุดเด่นอยู่ที่สามารถมองเห็นวิวของภูเขาไฟฟูจิได้ ขณะกำลังชมการแสดงโชว์โลมาไปพร้อมกัน และการจัดแสดงแมงกะพรุนที่สะดุดตา
  • การเดินทาง: จากสถานี Izu Nagaoka โดยสารรถบัส Izu Hakone ลงป้าย Izu-Mito Sea Paradise (พิกัด)
  • เวลา: 9.00 – 17.00
  • ค่าเข้า: 1,960 เยน
  • เว็บไซต์


ตรอกนามาโกะคาเบะ (Namako kabe Street) ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฝั่งตะวันตก gxHoหนึ่งในสัญลักษณ์ของตำบลมัตสึซากิ (Matsuzaki) ที่บ้านเรือนตลอดสองข้างทางของถนนนั้น ล้วนตกแต่งผนังและรั้ว ด้วยการติดกระเบื้องเรียงชิดกัน แล้วฉาบปูนปลาสเตอร์ตรงรอยต่อระหว่างกระเบื้องให้นูนสูงขึ้น มีลักษณะคล้าย ปลิงทะเล หรือ ที่ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “นามาโกะ” (Namako) ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกตาและน่าทึ่งในความสมดุล


ถ้ำโดงาชิมะ (Dogashima Cave) ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมทุรอิซุ เราสามารถนั่งเรือพาชมรอบอ่าว และเข้าไปชมภายในถ้ำได้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยมีไฮไลท์คือ ภาพความสวยงามของ จุดที่เพดานถ้ำพังถล่มลงมา จนเกิดเป็นช่องว่าง ให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงไปกระทบกับผิวน้ำ ส่วนภายนอกถ้ำนั้นยังเป็นบริเวณเหมาะที่จะสัมผัสกับบรรยากาศของชายฝั่งโดงาชิมะในยามพระอาทิตย์ตกดิน
  • การเดินทาง: จากสถานี Shuzenji โดยสารรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Dogashima (พิกัด)
  • เวลา: 8.15 – 16.30
  • ค่านั่งเรือ: เริ่มต้นที่ 1,200 เยน (สำหรับรอบเล็ก)
  • เว็บไซต์


ชายหาดโอทาโงะ (Ootago Beach) เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินชื่อดัง และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในคาบสมุทรอิซุ ด้วยแนวโขดหินรูปร่างแปลกตา และเกาะแก่งมากมาย ในบริเวณชายฝั่ง ช่วยส่งเสริมให้ฉากหลังที่เป็นภาพของพระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้าในยามเย็นนั้น ดูสวยงามตรึงตาตรึงใจมากยิ่งขึ้นไปอีก ลองเช็คเวลาพระอาทิตย์ตกดินในแต่ละฤดูกาลให้ดี
  • การเดินทาง: จากสถานี Shuzenji โดยสารรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Ootago (พิกัด)
  • เว็บไซต์


แหลมโคะงาเนะซากิ (Koganezaki Cape) ในคาบสมุทรอิซุฝั่งตะวันตก มีแหลมหรือชายหาดที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินมากมาย แต่ทั้งนี้ แหลมโคะงาเนะซากิมีเอกลักษณ์พิเศษที่ไม่เหมือนใคร นั่นก็คือ หน้าผาที่ยื่นออกไปในทะเล ซึ่งมีรูปร่างคล้ายส่วนหัวของม้าอย่างน่าทึ่ง โดยในวันที่ท้องฟ้าเปิด และแสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมาที่หน้าผาพอดี หน้าผาดังกล่าวจะกลายเป็นม้าสีทองอร่ามที่งดงามมาก
  • การเดินทาง: จากสถานี Shuzenji โดยสารรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Koganezaki Crystal Park (พิกัด)
  • เว็บไซต์

แหลมคู่รักโคอิบิโตะมิซากิ (Koibito Misaki) ในบรรดาอนุสรณ์แห่งความรักของญี่ปุ่น ที่นี่คือสถานที่ต้นฉบับที่โด่งดังเป็นอย่างมากในหมู่คนญี่ปุ่นมาช้านาน จนกลายเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานยอดฮิต ที่มีสักขีพยานเป็นทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิ  ที่ปรากฏเป็นฉากหลังอย่างสวยงาม ส่วนนักท่องเที่ยวก็จะนิยมมาสั่นกระดิ่งความรัก (Bell of Love) เพื่อขอพรให้ความรักสมหวังนั่นเอง
  • การเดินทาง: จากสถานี Shuzenji โดยสารรถบัส Tokai ปลายทาง Matsuzaki ลงป้าย Koibito Misaki (พิกัด)
  • เวลา: 9.00 – 17.00
  • เว็บไซต์


โรงแรมนิชิอิซุคริสตัลวิลล์ (Nishiizu Crystal View Hotel) เป็นโรงแรมที่เหมาะกับการเที่ยวในพื้นที่นิชิอิซุ (Nishi-Izu) นอกจากจะใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆแล้ว ยังสามารถมองเห็นวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสวยงามอีกด้วย ห้องพักของที่นี่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่าโรงแรมอื่นๆ เมื่อเทียบกับราคาที่ใกล้เคียงกัน และพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงบ่อออนเซ็นแบบแยกชาย-หญิง และ สระว่ายน้ำ

  • การเดินทาง: โดยสารรถบัส Tokai มาลงป้าย Dogashima หรือ Toi Port แล้วให้รถโรงแรมมารับโดยการแจ้งล่วงหน้า (พิกัด)
  • เว็บไซต์


เรือข้ามฟากอ่าวซุรุงะ (Suraga Bay Ferry) หลังจากเที่ยวจนทั่วคาบสมุทรอิซุแล้ว แนะนำให้ใช้บริการเรือข้ามฟากอ่าวซุรุงะ เพื่อพุ่งตรงไปปิดท้ายทริปที่เมืองชิซุโอกะ (Shizuoka) ซึ่งใช้เวลาโดยสารรอบละ ประมาณ 70 นาที เท่านั้น ข้อดีก็คือ วิธีนี้จะทำให้เราได้เห็นวิวภูเขาไฟฟูจิอย่างเต็มตาจากอ่าวซุรุงะ และยังได้เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางจากการนั่งรถไฟมาเป็นทางเรือดูบ้า

  • การเดินทาง: จากสถานี Shuzenji โดยสารรถบัส Tokai ลงป้าย Toi Port (พิกัด)
  • ค่าโดยสาร: 2,260 เยน
  • เว็บไซต์


จิบิ มารุโกะจังแลนด์ (Chibi Maruko-chan Land)
“จิบิ มารุโกะจัง” หรือ มารุโกะจอมแก่น เป็นหนึ่งใน มังงะ และอนิเมะ ชื่อดัง ที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟนๆชาวไทยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ด้วยเพราะเสน่ห์จาก ความน่ารัก และความคิดที่ไม่เหมือนใคร ของ มารุโกะจัง เด็กหญิง ป.3 ที่เป็นตัวละครเอกของเรื่อง เรามาถึงเมือง ชิซูโอกะ ที่เป็นเสมือนบ้านเกิดของ จิบิ มารุโกะจัง ทั้งที ย่อมไม่ควรพลาดที่จะแวะไปสัมผัสกับเรื่องราวของการ์ตูนเรื่องนี้ กันที่ “ จิบิ มารุโกะจังแลนด์” พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภาพวาดต้นฉบับของอาจารย์ โมโมโกะ ซากุระ (Momoko Sakura) ผู้ให้กำเนิด มารุโกะจัง รวมถึงโซนจำลองฉากต่างๆในเรื่องที่ทำออกมาได้น่ารักมากๆ
โดยเฉพาะในโซนห้องเรียน ที่เราจะได้พบกับ มารุโกะจัง ออกมาถ่ายรูปคู่กับนักท่องเที่ยวกันด้วย สำหรับในโซนของที่ระลึก ก็จัดเต็มด้วยสินค้ามารุโกะจังที่มีให้เลือกช้อปกันจนเพลินอย่างแน่นอน
  • การเดินทาง: จากสถานี Shimizu โดยสารรถ Free Shuttle Bus ไปที่ห้าง S-Pulse Dream Plaza โดยพิพิธภัณฑ์มารูโกะจะอยู่ที่ชั้น 3 (พิกัด)
  • เวลา: 10.00 – 20.00
  • ค่าเข้า: 600 เยน
  • เว็บไซต์


มารุเซ็น ที โรสเทอร์ (Maruzen Tea Roaster) จังหวัดชิซุโอกะ เป็นแหล่งปลูกชาเขียว คุณภาพดี และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ดังนั้น มาถึงแล้วทั้งที ต้องไม่พลาดชิมชาเขียวที่ร้านชาชื่อดังร้านนี้ ที่เสิร์ฟชาเขียวแบบชงมืออย่างประณีตแก้วต่อแก้ว โดยจุดเด่นคือ เราสามารถเลือกระดับการคั่วของชา ได้ตามความชอบ ซึ่งจะให้รสชาติ และความเข้มข้นที่แตกต่างกัน และที่เด็ดไปกว่านั้น แถมยังขายดีมาก ๆ อีกด้วย ก็คือ เจลาโต้ (Gelato) ที่ทำจาก มัทฉะ (ผงชาเขียว) และ โฮจิฉะ (ชาเขียวคั่ว) ที่ให้เลือกระดับการคั่วได้เช่นกัน


ถนนอาโอบะโอเด้ง (Aoba Oden Street) หากใครอยากจะชิมโอเด้งสูตรต้นตำรับแบบครบเครื่อง ต้องมาที่นี่ แหล่งรวมร้านโอเด้งเจ้าอร่อย ตั้งอยู่ในตัวเมืองชิซุโอกะ โดยจุดเด่นจะอยู่ที่ความเข้มข้นของน้ำซุป และ ชนิดของอาหารเสียบไม้ที่มีให้เลือกมากกว่า รับรองว่าถูกใจคนรักโอเด้งอย่างแน่นอน
เวลา: ร้านส่วนใหญ่จะเปิดตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป (พิกัด)


เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางในอิซุ ขอแนะนำให้เลือกซื้อพาส ที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่

  • สายสีแดง ชมธรรมชาติ พระอาทิตย์ตกดิน ชายหาด ถํ้า และหน้าผาโขดหินต่าง ๆ (ทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก)
  • สายสีเขียว ชมนํ้าตก ฟาร์มวาซาบิ และชายฝั่งตะวันออก (เน้นที่ตอนกลางของคาบสมุทร)
  • สายสีนํ้าเงิน ชมภูเขาไฟฟูจิ (ฝั่งตะวันตกตอนบน)

สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> เว็บไซต์

แล้วตามมาเที่ยวอิซุด้วยกันนะ~

IzuIzu PenninzulaMatsuzakiMishimaNishiizuNumazuShizuokaคาบสมุทรอิซุ​ชิซุโอกะนิชิอิซุนุมาซุมัตสุซะกิมิชิมะอิซุเที่ยวจากโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่น