Miyagi: ตะลอนเที่ยวเซนไดใน 1 วัน (ตอน 1)

“ไปเที่ยวเซนไดกันเถอะ!!” ฉลองเส้นทางใหม่ล่าสุดของการบินไทย ต่อไปนี้เราสามารถเดินทางแบบบินถึงจุดหมายโดยตรงลงที่สนามบินเซนได ด้วยเวลาเพียง 5 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น ออกเดินทางกลางคืนถึงตอนเช้า เรียกว่าไม่เสียเวลาเที่ยวแม้แต่นิดเดียว แลนดิ้งแต่เช้าตรู่ มีเวลาให้เก็บข้าวเก็บของ รีเฟรชตัวเองสักหน่อย แล้วออกไปตะลอนเที่ยวเมืองเซนไดกันเลยครับ

คลิกเพื่ออ่านรีวิว >>> เปิดประตูสู่โทโฮขุกับการบินไทย เที่ยวบินตรง กรุงเทพ-เซนได

ถึงแม้ที่สนามบินเซนไดจะไม่มีเคาเตอร์ให้เช่า Pocket-Wifi หรือจำหน่าย Prepaid Data Sim เหมือนสนามบินใหญ่ๆอย่าง นาริตะและคันไซ ก็ตาม แต่การท่องเที่ยวที่นี่ก็ใจป้ำมากพอที่แจกจ่ายบัตรเล่น Free-Wifi ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นอกจากจะมีโต้ะตั้งแจกอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในสนามบินแล้ว ยังสามารถไปขอตามศูนย์ให้ข้อมูลท่องเที่ยวตามสถานีใหญ่ๆได้ทั่วทั้งภูมิภาคโทโฮขุอีกด้วย เพียงแค่โชว์พาสปอร์ตเท่านั้น ก็จะได้การ์ดที่ต้องขูดรหัสหลังบัตร และทำการ connect ตามจุดต่างๆที่ปล่อยสัญญาณ บริเวณใจกลางเมือง

คลิกเพื่ออ่านรายละเอียด >>> เที่ยว Tohoku อย่างสบายใจกับ Free-Wifi ทั่วภูมิภาค

วิธีการเดินทางเข้าเมือง ให้ขึ้นมาที่ชั้นสอง จะมีทางเชื่อมเพื่อไปสถานีรถไฟ Sendai Airport วันที่เดินทางไปถึงเป็นวันคริสมาสพอดี เลยได้เลขวันที่สวยๆมา 25.12.25 (เป็นปีของญี่ปุ่น ปีเฮเซที่ 25)

Sendai Airport Access  ราคาเที่ยวละ 630 เยน ใช้เวลาประมาณ 25 นาที (มีขบวนด่วน ใช้เวลา 17 นาที ราคาเท่ากัน) สำหรับใครที่ใช้ JR East Pass ต้องทำการแลกที่ JR Ticket Office ภายในสนามบินเซนไดก่อน แต่เนื่องจากเปิด 10.00 น. ถ้าจะรอก็คงเสียเวลาน่าดู ให้นำ Exchange Order ไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ในสถานี บอกว่าเราซื้อพาสมาแล้วแต่ยังแลกไม่ได้ เค้าจะให้ตั๋วใบเล็กๆมาแทน เพื่อให้เรานำไปยื่นกับเจ้าหน้าที่ตอนขาออก และค่อยไปทำการแลกที่สถานี Sendai อีกที

รถออกค่อนข้างถี่ ขบวนธรรมดาสลับกับขบวนด่วน

เราจะนั่งขบวนนี้เข้าเมืองกัน เป็นขบวนสั้นๆที่เรียกกันว่า One-man ワンマン

เดินทางถึงสถานี JR Sendai เป็นที่เรียบร้อย ถ้าใครต้องการซื้อหรือแลก JR East Pass จากทางออกตรงกลางให้เลี้ยวมาทางขวาสุดจะเจอกับ View Plaza เปิดให้บริการ 10 โมงเช้าเช่นกัน

มองเอาไว้ให้คุ้นตา สำหรับใครที่ไม่ได้ใช้พาส อาจจะต้องมาจิ้มๆซื้อตั๋วกันตรงนี้แน่นอน

และถ้าใครมีแผนจะไปเที่ยวบริเวณเมืองรอบๆเซนได แนะนำตั๋วสุดคุ้ม Chiisana Tabi Holiday Pass (Minami Tohoku Free Area) ตั๋ววันจะขึ้นลงไปไหนมาไหนก็ได้ภายในโทโฮขุฝั่งใต้ ติดต่อสอบถามได้ที่เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลท่องเที่ยวด้านใน TIC ลองเชคดูก่อนว่า จุดหมายที่เรามีแพลนจะไปนั้นสามารถใช้ตั๋วใบนี้ได้รึเปล่า (ผู้ใหญ่ 2600 เยน เด็ก 1300 เยน)

จุดให้ข้อมูลท่องเที่ยว พนักงานที่นี่ให้ข้อมูลได้เป้ะมากๆ ทั้งเที่ยวในเมืองเซนได ภายในจังหวัดมิยางิ และ จังหวัดรอบข้าง บอกวิธีการไป และตั๋วที่ต้องใช้ พร้อมคำนวณให้เสร็จสรรพ ถ้ามีเพื่อนพูดภาษาญี่ปุ่นได้ก็คงสะดวกหน่อย แต่ถึงพูดไม่ได้ เจ้าหน้าที่ก็พร้อมจะให้บริการเราด้วยภาษาอังกฤษอยู่แล้วครับ

ระหว่างทางไปโรงแรม เก็บภาพบรรยากาศด้านหน้าสถานีสักหน่อย ไม่ต่างอะไรกับเมื่อปี 2008 ที่มาเซนไดเป็นครั้งแรกสักเท่าไหร่ อากาศที่เซนไดวันนี้ค่อนข้าวหนาวพอสมควร ถึงแม้หิมะจะยังไม่ตกแต่ก็อยู่ที่ประมาณ 2-3 องศาเท่านั้นครับ (ตอนกลางคืนติดลบ)

ลานแท๊กซี่ด้านหน้าอาคารสถานี JR Sendai ที่เห้นทุกครั้งต้องทึ่งว่า ต้องมาจอดกันเยอะขนาดนี้เลยหรออออ (ฮ่าๆๆ) มองดูก็สะท้อนถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคนญี่ปุ่น กลางคืนเปิดไฟหน้ารถกันสวยงามเชียวครับ เป็น Illumination ได้เบาๆ

หลังจากเก็บข้าวของกันเรียบร้อยแล้ว ก้มายืนประจำที่ที่ป้าย 15-3 เพื่อรอขึ้นรถบัส Loople Sendai るーぷる仙台 ไปเที่ยวเมืองกันเลย ตั๋วไม่ต้องหาซื้อที่ไหน รอซื้อกับคนขับนี่แหละครับ

แอบเหลือบตามอง ตารางวิ่งแอบมีเปลี่ยนซะงั้น ก็คือเค้าจะออกทุกๆครึ่งชั่วโมง ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ในวันธรรมดา (ส่วนเสาร์-อาทิตย์จะออกถี่ขึ้น เป็นทุกๆ 20 นาที) ถ้าใครมาช่วงเดือนธันวาคม จะมีรอบพิเศษที่วิ่งตอนกลางคืน ตั้งแต่ 17.30-20.00 เป็นลูปสั้นๆเพื่อพาไปชม Winter Illumination ที่ถนน Jozenji นั่นเอง ใครซื้อตั๋ววันก็ถือว่าคุ้มไป ไม่งั้นก็ต้องเสียเงินเพิ่มอีกเที่ยวละ 200 เยน

ตั๋ว 1 วันราคา 600 เยน รถจะเริ่มต้นที่สถานี JR Sendai และก็จะมาจบที่สถานีเหมือนเดิม ใช้เวลาวิ่งครบรอบประมาณ 1 ชั่วโมง

โฉมหน้ารถบัส Loople Sendai ที่จอดพักอยู่ เป็นสไตล์ Retro หน้าตาน่ารักทีเดียว

ไหนๆก็มาก่อนเวลาตั้ง 20 นาที เลยกระโดดข้ามมาอีกฝั่ง หาอะไรลองท้องก่อน เพราะตั้งแต่ข้าวต้มบนเครื่องเมื่อเช้า ก้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย มื้อนี้กินแบบเรียบง่าย ที่ร้านข้าวหน้าหมูและเนื้อ ชื่อดัง Matsuya เมนูนี้ของโปรดมาก โหมูผัดกับซอสเปรี้ยวและโรยต้นหอม โปรยพริกไทยอีกหน่อย อร่อยสุดๆ 350 เยนเท่านั้น ใครหิวมาก บวกเพิ่มอีก 100 เยน อัพเป็นไซส์ใหญ่ได้ทันที

และแล้วเราก็ได้ขึ้นมานั่งบน Loople Bus สักที

อันนี้คือหน้าตาของบัตรพาสสำหรับใช้ทั้งวัน เห็นว่ามีหลายลาย แล้วแต่ว่าเครื่องจะ Random ออกมาเป็นลายอะไร ซื้อได้ตอนขาลงเท่านั้น บอกคุณคนขับว่า One day pass แค่นี้ หยอดเงินลงไป 600 เยน คุณคนขับก็จะกดบัตรออกมาให้ แล้วเราก็เอาไปเสียบ Validate วันที่ลงไป (ปกติเค้าเห็นเราเป็นคนต่างชาติ จะทำให้เลยเพื่อไม่ให้เสียเวลา) เครื่องจะไม่สามารถทอนเงินได้ เพราะฉะนั้นจะต้องทำการแลกเหรียญก่อน หากมีแบงก์พันเยน ก็คือเครื่องเดียวกันนั่นแหละครับ แต่ว่าจะมีช่องแยกให้ใส่สำหรับแลกเงินโดยเฉพาะ ถ้าไม่แน่ใจต้องถามครับ อย่าหยอดสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเคยโดนดุมาแล้ว >_<

Loople Sendai มีป้ายจอดทั้งหมด 15 จุดทั่วเมือง สำหรับคนเวลาน้อย แค่นั่งรถเที่ยวอย่างเดียวก็คุ้มแล้ว (ค่ารเที่ยวละ 250 เยนตลอดสาย) แต่ถ้าใครอยากแวะลงเที่ยว คงจะไม่สามารถทำได้ทั้งหมดภายในวันเดียว ต้องเลือกเฉพาะจุดเด่นๆ Download เส้นทางวิ่งของรถ Loople Sendai ได้ >>>ที่นี่<<< ถ้ามาถึงตอนเช้าและออกตัวเที่ยวตอนเที่ยง น่าจะเก็บได้สูงสุด 3-4 จุด เพราะต้องเผื่อเวลาเดินชม และเวลารอรถด้วย

โดยจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ Zuihoden Mausoleum ที่เป็นสุสานของท่าน  Date Masamune (ฉายาของท่านคือ มังกรตาเดียว) ผู้ก่อตั้งและปกครองแคว้นเซนได ทางขึ้นจะเป็นทางลาดชันเล็กน้อย อย่าลืมแวะดูป้ายบอกรอบรถถัดไปที่จะมารับ เราจะได้ไม่พลาดและต้องรอรถนานนะครับ

ระหว่างทางมีศาลเจ้าเล็กๆ เก็บไว้ตอนขาลงค่อยเดินมาชม ถ้ายังพอมีเวลาเหลือ

เดินมาถึงกลางทางจะพบกับทางแยก ให้เดินไปทางซ้ายมือที่เป็นทางเข้า
ส่วนทางขวามือนั้นคือทางลงสำหรับขาออก

ค่าเข้าชมคนละ 550 เยน เด็กโต 400 เยน เด็กเล็ก 200 เยน
ปกติเปิดตั้งแต่ 9.00 น. ถึง 16.30 น. (เดือนธ.ค.-ม.ค. ปิด 16.00 น.)

บริเวณทางเข้าด้านหน้า

อย่าลืมชำระล้างกายให้บริสุทธิ์ก่อนเข้าไปด้านใน

สุสานซุยโฮเดนถูกสร้างขึ้นหลังจากท่านมาซะมุเนะสิ้นลงในปี 1636 ด้วยศิลปะแบบ Momoyama โดยเน้นงานไม้และการลงลวดลายด้วยสีสัน  และได้รับการยกย่องเป็นสมบัติแห่งชาติ แต่ถูกเผาทำลายลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมในปี 1979

จากด้านหน้า จะสังเกตเห็นได้ถึงความละเอียดของลวดลาย และสีสันที่เด่นออกมาตามลายไม้ต่างๆ

ทางขึ้นไปยังอาคารสุสาน ด้านซื้อมือเป็นพิพิธภัณฑ์และสมบัติต่างๆ
ให้ความรู้เกี่ยวกับสมัยที่ตระกูลของท่านมะซะมุเนะปกครองแคว้นเซนได

หลังจากคารวะสุสานของท่านมะซะมุเนะแล้วก็ต้องชื่นชมกับความวิจิตรของสถาปัตยกรรมในรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแกะสลักมังกรที่อยู่มุมเสาทั้งสี่ รวมไปถึงประติมากรรมหน้ากากสิงโตที่ใช้กระเบื้องมาตกแต่งได้อย่างสวยงาม

รายละเอียดต่างๆสามารถมองเห็นชัดเจนโดยการใช้สีที่ตัดกันวาดลวดลายอันอ่อนช้อย ทำให้ดูโดดเด่นออกมา

มีอาคารอีกสองหลังตั้งอยู่ทางอยู่ด้านหลังคือ Kansenden ของไดเมียวลำดับที่สอง และ Zennōden ของไดเมียวลำดับที่สาม ที่ปกครองแคว้นเซนไดต่อจากท่าน ดาเตะ มะซะมุเนะ

Kansenden สุสานของท่าน Date Tadamune (1599-1658) ไดเมียวลำดับที่สองของแคว้นเซนได ท่านอุทิศตัวเองเพื่อสร้างระบบสังคมที่ปกครองโดยชอบด้วยกฎหมายและการส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่นและอุตสาหกรรมผ่านการพัฒนาของนาข้าว ควบคุมน้ำท่วม และการปรับปรุงท่าเรือเพื่อสร้างรากฐานของเซนไดให้แน่นหนา และ Kansenden ถูกยกย่องเป็นสมบัติของชาติเช่นกันในปี 1931 แต่ถูกไฟไหม้ ลงในปี 1945 และมีการสร้างทดแทนอาคารหลังเดิมในปี 1985

Zennōden สุสานของท่าน Date Tsunamune (1640-1711) ไดเมียวลำดับที่สามของแคว้นเซนได ท่านแสดงความสามารถทางศิลปตั้งแต่วัยเยาว์ หลังจากที่ปกครองได้เพียงสองปี ท่าน Tsunamune ในวัย 19 ปี ถูกบังคับให้ออกตามคำสั่งของโชกุน แต่หลังจากนั้นท่านได้แสดงการใช้ชีวิตที่หรูหราผ่านทางภาพวาดการประดิษฐ์ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นและงานศิลป์ ผลงานต่างๆของท่านรวมทั้งภาพวาดด้วยหมึกได้รับความนิยมอย่างสูงและเช่นกันสุสานแห่งนี้ถูกไฟไหม้ในปี 1945 และสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1985 และได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้งในปี 2007

หลังจากได้รู้จักเรื่องราวของท่านไดเมียวทั้งสามที่ปกครองแคว้นเซนไดกันไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะไปดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์ของเมืองเซนไดอีกแห่ง  นั่นก็คือ ที่ตั้งของอดีตปราสาทเซนได นั่นเองครับ เรื่องราวของปราสาทเซนไดจะเป็นอย่างไร อดใจรอตอนหน้า จะกลับมารีวิวให้ได้ติดตามอ่านกันครับ

MiyagiSendaiThai Airwaystohokuการบินไทยมิยางิเซนไดเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเที่ยวบินตรงโทโฮขุ