การเดินทางในครั้งนี้เป็นการขับรถท่องเที่ยวคิวชูทางตอนเหนือใช้เวลา 6 วัน 5 คืน เก็บทั้งหมด 4 จังหวัด คือ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซากะ (Saga) นางาซากิ (Nagasaki) และ โออิตะ (Oita) เป็นทริปที่เราจะได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวครบทุกอรรถรส สัมผัสทั้งธรรมชาติที่สวยงาม ประสบการณ์การแช่ออนเซ็น นั่งรถไฟขบวนพิเศษ และได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นที่มีความอร่อยหลากหลาย
รีวิวจะแบ่งออกเป็น 2 ตอนโดยเรียงลำดับตามสถานที่ที่เราไปมาจริงเพื่อให้เพื่อนๆ สามารถเที่ยวตามกันได้เลย บินลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) เช่ารถแล้วก็เริ่มลุยตามแผนการเดินทางในแต่ละวัน ตามอ่านตอนแรกได้ที่นี่ >> ขับรถเที่ยวคิวชูตอนเหนือ 6 วัน 4 จังหวัด (ครึ่งแรก) และช่วงหลังเราจะเน้นอยู่ที่จังหวัดโออิตะเป็นส่วนใหญ่
วันที่ 4 : [ฟุกุโอกะ] ฟาร์มสตรอเบอร์รี่ / [โออิตะ] พิพิธภัณฑ์ผ่าพิภพไททัน / โรงงานเหล้าบ๊วย / เขตเมืองเก่ามาเมดะ
วันที่ 5 : [โออิตะ] น้ำตกซากุระดากิ / รถไฟท่องเที่ยวยุฟุอินโนะโมริ / เมืองยุฟุอิน / เมืองเบปปุ
วันที่ 6 : [โออิตะ] เฮียวตันออนเซ็น / เมียวบังออนเซ็น / เมืองคิซึกิ
วันที่ 4
ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ (Ichigo Kirari)
จังหวัดฟุกุโอกะ เป็นจังหวัดที่ส่งออกผลไม้อันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และมีแสงแดดที่พอเหมาะ จึงทำให้มีสวนผลไม้ที่ปลูกได้ตามฤดูกาลอยู่หลายแห่ง เช่น ลูกพลับจากเมืองอะสะกุระ (Asakura) องุ่นเคียวโฮจากเมืองทะนุชิมะรุ (Tanushimaru) และสตรอว์เบอร์รี่จากเมืองคุรุเมะ (Kurume)
เช้านี้เราจะมาเก็บสตรอว์เบอร์รี่กันที่ ฟาร์ม Ichigo Kirari ซึ่งมีสายพันธุ์ให้เลือกมากถึง 8 สายพันธุ์ กิจกรรมนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ในช่วงต้นฤดูกาลทางฟาร์มแนะนำเป็นพันธุ์ Kaorino ที่มีกลิ่นหอม หวาน และไม่มีรสชาติเปรี้ยวเลยแม้แต่น้อย ยังมีพันธุ์ Awayuki เป็นหนึ่งในพันธุ์สีขาวที่ค่อนข้างหายากเพราะติดเรื่องลิขสิทธิ์ ถึงจะเป็นสายพันธุ์สีขาวแต่ช่วงที่อร่อยที่สุดคือสีชมพูอ่อนทั้งลูก ส่วนสายพันธุ์ Amaou เป็นพันธุ์ขึ้นชื่อของจังหวัดฟุกุโอกะ จะเริ่มรับประทานได้ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม
นอกจากนี้ตั้งแต่ปีที่แล้วทางฟาร์มขอให้ร้านขนมญี่ปุ่นโบราณในเมืองช่วยทำแป้งไดฟุกุสอดไส้ถั่วแดงบดในแพ็ค ราคา 280 เยน โดยเราสามารถนำสตรอว์เบอร์รี่ที่เก็บสด ๆ ใส่เพิ่มลงไปในไดฟุกุได้อีกด้วย
ค่าเก็บสตรอว์เบอร์รี่: ทานได้ไม่อั้น 50 นาที ช่วงธ.ค.-ต้นเม.ย. ผู้ใหญ่ 2,100 เยน เด็ก 1,600 เยน/ ต้นเม.ย.-ต้นพ.ค. ผู้ใหญ่ 1,700 เยน เด็ก 1,300 เยน/ ต้นพ.ค. ผู้ใหญ่ 1,400 เยน เด็ก 1,000 เยน
เวลาทำการ: 10:00-15:00 น. (หยุดทุกวันพุธ)
เว็บไซต์ | พิกัด
พิพิธภัณฑ์ผ่าพิภพไททันในเมืองฮิตะ (Attack on Titan in HITA Museum)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับสถานีริมทาง Mizube no Sato OYAMA เปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ปี ค.ศ.2021 เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทำการจัดแสดงภาพวาดต้นฉบับของการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททัน อีกทั้งยังมีภาพวาดช่วงวัยเด็กของอาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ (Hajime Isayama) มากกว่า 150 ภาพ วิดีโอสัมภาษณ์ รวมถึงโต๊ะทำงานของอาจารย์ หลังเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จนเต็มอิ่มแล้ว เราสามารถเลือกซื้อของที่ระลึกจากการ์ตูนเรื่องนี้รวมทั้งผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านภายในสถานีริมทางหรือจุดพักรถตลอดการเดินทางในจังหวัดโออิตะ
เวลาทำการ: วันธรรมดา 9.30-16.00 น./ วันหยุดเสาร์-อาทิตย์, วันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.30-17.00 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าใช้จ่าย
การเดินทาง: จากสถานี Amagase ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีโดยรถยนต์
เว็บไซต์ | พิกัด
โรงงานอุเมะชุ กุระ โอยามะ (Umeshu Gura OYAMA)
หมู่บ้านโอยามะเป็นแหล่งผลิตเหล้าบ๊วยขึ้นชื่อในภูมิภาคคิวชู โดยโรงงานอุเมะชุ กุระ โอยามะ ใช้บ๊วยที่รวบรวมจากเหล่าเกษตรกร อุเมะชุที่นี่ได้รับรางวัลเหรียญทอง “World Liquor Contest” อีกทั้งมีความพรีเมี่ยมจนใช้เสิร์ฟในรถไฟหรู Seven Stars ของ JR Kyushu และยังเสิร์ฟในที่นั่งชั้นธุรกิจของสายการบิน ANA อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะเป็นโรงงานที่เปิดให้เข้าชมแล้ว ยังมีกิจกรรมเวิร์คช็อปให้ทำเหล้าบ๊วยและบ๊วยไซรัปด้วยตัวเอง นอกจากนั้นยังมีโซนจำหน่ายของฝากที่มีสินค้าขึ้นชื่อของเมืองนี้ โดยเฉพาะบ๊วยดองหลากหลายชนิด และยังมีซอฟท์ครีมราดซอสบ๊วยแสนอร่อยให้ลิ้มลอง
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
ค่าทำกิจกรรม: ขึ้นอยู่กับชนิด และขนาดโหล เหล้าบ๊วย ไซส์ M (420 ml) ราคา 1,650 เยน และไซส์ L (800 ml) 2,420 เยน / บ๊วยไซรัป ไซส์ M (420 ml) ราคา 1,430 เยน และไซส์ L (800 ml) 2,090 เยน (หมายเหตุ: กรุณาจองล่วงหน้า)
การเดินทาง: จากสถานี Amagase ใช้เวลาประมาณ 25 นาที โดยรถยนต์
เว็บไซต์ | พิกัด
เขตเมืองเก่ามาเมดะ (Mamedamachi)
เมืองมาเมดะ (Mameda) เป็นเขตเมืองเก่าอายุกว่า 400 ปี ที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ปัจจุบันจึงมีการอนุรักษ์กลุ่มอาคารโบราณ ที่ตั้งอยู่บนถนน Kamimachi และ Miyuki ซึ่งเป็นถนน 2 สายหลักของเมืองนี้ อีกทั้งได้รับขนานนามว่าเป็นย่านลิตเติ้ลเกียวโตของภูมิภาคคิวชู มีการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น ฮิตะเซนเนงอะคะริ (Hita Sennen Akari) เทศกาลเทนริวฮิตะโอฮินะ (Tenryo Hita Ohina) เป็นต้น
ร้านข้าวหน้าปลาไหล Itayahonke
มื้อกลางวันทานข้าวหน้าปลาไหลที่ร้าน Itayahonke ซึ่งเปิดบริการมานานกว่า 160 ปี จะทานที่ร้านหรือซื้อกลับบ้านก็ได้ ด้านข้างของร้านจะมีจำหน่ายเบนโตะข้าวหน้าปลาไหล ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบคือ อุนากิเซอิโระมูชิ เป็นปลาไหลแบบนึ่ง และ อุนากิคาบายะกิ เป็นปลาไหลแบบย่าง นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆ เช่น เมนูจากปลาอายุ ปลาน้ำจืดแสนอร่อย ข้าวปั้นย่าง ก้างปลาไหลทอดกรอบ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากปลาไหล
เวลาทำการ: 11:00-14:30 น. และ 17:00-19:30 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
พิพิธภัณฑ์ฮากิโมโนะ ฮิตะ (Hita Hakimono Museum) ณ ร้านรองเท้าเกี๊ยะเทนเรียว ฮิตะ (Tenryo Hita Geta Shop)
เมืองฮิตะเป็นแหล่งผลิตรองเท้าเกี๊ยะ และจำหน่ายเกี๊ยะขึ้นชื่อของญี่ปุ่นแล้ว บริเวณชั้น 2 ของที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเกี๊ยะจากทั่วประเทศญี่ปุ่นมาจัดแสดง ให้เข้าชมฟรี นอกจากนี้ยังมีเกี๊ยะยักษ์ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สูง 4.15 เมตร กว้าง 2.10 เมตร หนัก 1,000 กิโลกรัม ตั้งโชว์อยู่บริเวณทางเข้าร้านด้วยนะ
เวลาทำการ: 10.00-17.00 น.
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่สามารถร่วมบริจาคได้
การเดินทาง: จากสถานี Hita เดินประมาณ 15 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด
พิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาฮินะ (Hina Goten)
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้อยู่ภายในร้านฮิตะโชยุ เป็นของสะสมของเจ้าของร้านมีมากถึง 4,000 ตัว ว่ากันว่าตัวที่เก่าแก่ที่สุดอายุประมาณ 300 กว่าปี หลังจากเดินชมเสร็จแล้ว ของดีของเด็ดที่ห้ามพลาดคือ ซอฟท์ครีมรสโชยุและซอฟท์ครีมรสมิโซะ ราคา 350 เยน ฟังดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่เมื่อลองแล้วจะติดใจอย่างแน่นอน
เวลาทำการ: 9.00-17.00 น. หยุดเฉพาะวันที่ 1 มกราคม
ค่าเข้าชม: 300 เยน
การเดินทาง: จากสถานี Hita เดินประมาณ 20 นาที
เว็บไซต์ | พิกัด
SLOW café
ร้านคาเฟ่เล็กๆ แต่อบอุ่น ภายในร้านตกแต่งสไตล์เรียบง่าย แต่สิ่งที่สะดุดตาเมื่อเข้าไปในภายในร้านคือ รูปภาพและของตกแต่งจากอนิเมะชื่อดังหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่อง Attack on Titan รวมถึงภาพวาดพร้อมลายเซ็นของอาจารย์ฮาจิเมะ อิซายามะ ที่มอบให้กับทางร้าน ที่นี่เสิร์ฟอาหารสไตล์อิตาเลียน มีเมนูแนะนำคือพาสต้า และข้าวหน้าไข่ออมเล็ต ว่ากันว่าเป็นข้าวออมเล็ตที่อร่อยที่สุดในเมืองฮิตะ ที่มาของเมนูนี้นำมาจากเมนูในการ์ตูนเรื่องผ่าพิภพไททันนั่นเอง
เวลาทำการ: 11:00-18:00 น. หยุดทุกวันจันทร์
เว็บไซต์ | พิกัด
โรงแรมคัฟเฟิลฮินาโนะซาโตะ (Caffel Hina no Sato)
คืนนี้เราเข้าพักที่โรงแรม Caffel Hina no Sato ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำมิคุมะ (Mikuma) ในเมืองฮิตะ เดิมทีโรงแรมแห่งนี้เป็นเรียวกังอายุกว่า 100 ปี เมื่อเดือนเมษายน 2021 ที่ผ่านมา ได้ทำการปรับปรุงใหม่ โดยเพิ่มส่วนของคาเฟ่ จึงมีชื่อใหม่ว่า Caffel จากการเล่นคำว่า Cafe และ Hotel ตัวอาคารรวมทั้งห้องพักยังคงรูปลักษณ์ของโรงแรมสไตล์เรียวกัง เพิ่มการตกแต่งห้องให้ดูโมเดิร์นมากขึ้น ใส่รายละเอียดเล็กๆ เช่นป้ายคำอธิบายต่างๆ ที่เขียนด้วยมือ น่ารัก และมีกิมมิค ชั้น 2 ของโรงแรมเป็นห้องนั่งเล่น ซึ่งมีหนังสือการ์ตูนอยู่จำนวนมาก และมีการกั้นเป็นห้องเล็กๆ เพื่อความเป็นส่วนตัว ส่วนชั้น 3 มีออนเซ็น และเก้าอี้นวดไว้ให้บริการ
เวลาเปิดทำการ: เวลาเช็คอิน 15:00 น., เวลาเช็คเอาท์: 10:00 น.
เว็บไซต์ | พิกัด
วันที่ 5
น้ำตกซากุระดากิ (Sakuradaki Waterfall)
เสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์เด่นของน้ำตกแห่งนี้อยู่ที่สายน้ำที่กระเซ็นราวกับกลีบดอกซากุระโปรยปรายในฤดูใบไม้ผลิ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกน้ำตกซากุระดากิ ด้วยลักษณะเด่นนี้ได้เกิดเป็นแรงบันดาลใจให้นักเขียนและศิลปินญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเอโดะกล่าวถึง และนำมาใช้ในบุงโกะโคคุชิ (Bungo Kokushi) ซึ่งชื่อเดิมของจังหวัดโออิตะ คือ บุงโกะ นั่นเอง น้ำตกนี้มีความสูงประมาณ 25 เมตร โดยส่วนมากน้ำตกที่สวยๆ มักจะอยู่ในป่าลึก เดินทางเข้าไปค่อนข้างลำบาก แต่น้ำตกซากุระดากิ กลับเป็นน้ำตกที่นอกจากจะมีความสวยงามแล้วยังเดินทางสะดวกมากๆ ด้วย
เวลาทำการ: เปิดตลอด 24 ชั่วโมง
ค่าเข้าชม: ไม่มีค่าใช้จ่าย
การเดินทาง: จากสถานี Amagase เดินประมาณ 15 นาที
พิกัด
ระหว่างรอขึ้นรถไฟท่องเที่ยวขบวนพิเศษ Yufuin no Mori ที่สถานี Amagase เราเสี่ยงเซียมซีน้ำร้อนที่บ่อออนเซ็นเล็กๆ หน้าสถานี เมื่อจุ่มใบเซียมซีลงไปในน้ำร้อน คำทำนายจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น
รถไฟท่องเที่ยวยุฟุอินโนะโมริ (Yufuin no Mori)
หลังจากนั้นได้เวลาขึ้นรถไฟท่องเที่ยวขบวนพิเศษ Yufuin no Mori มุ่งหน้าไปยังสถานี Yufuin เมืองยุฟุอิน (Yufuin) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที รถไฟขบวนนี้มีสีเขียวเป็นเอกลักษณ์ ออกแบบโดยนักออกแบบรถไฟชื่อดัง อาจารย์ Eji Mitooka เป็นรถไฟที่วิ่งผ่านผืนป่าและธรรมชาติ จึงเป็นที่มาของชื่อรถไฟ Yufuin no Mori ที่แปลว่า ป่าแห่งยุฟุอิน ภายในขบวนรถไฟมีซุ้มขายของที่ระลึก อีกทั้งมีข้าวกล่องเนื้อบุงโกะ เนื้อชื่อดังของจังหวัดโออิตะ เครื่องดื่มยุฟุอินไซเดอร์ และไอศครีมที่ไม่ควรพลาด
รอบรถไฟ: สถานี Hakata-Yufuin 2 เที่ยวต่อวัน/สถานี Hakata-Beppu 1 เที่ยวต่อวัน (หมายเหตุ: ต้องจองที่นั่งล่วงหน้าที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟ JR Kyushu)
เว็บไซต์
เมื่อถึงเมืองยุฟุอินแล้ว เราจะพบกับถนนที่ทอดยาวไปยังภูเขายุฟุ (Yufu) ตั้งแต่ด้านหน้าสถานี ตัวเมืองมีความน่ารัก มีร้านขายขนม คาเฟ่ และร้านอาหารอยู่มากมาย
แวะชิมขนมที่ร้าน Yufuin TOKI NO IRO เป็นร้านเค้กกลูเตนฟรี ที่มีให้เลือกหลากหลายรสชาติเช่น เค้กช็อกโกแลต เค้กชาเขียว เค้กโฮจิฉะ รวมถึงชีสเค้กตามฤดูกาล โดยช่วงนี้เมนูแนะนำจะเป็นชีสเค้กยุซึ ทางร้านจะเสิร์ฟเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เราเลือกทานได้หลายรสตามใจชอบ พร้อมกับกาแฟร้อนๆ รสชาติตัดกันดีมาก
ถัดมาข้างๆ Telato ร้านเจลาโต้มัทฉะที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเป็น ชาเขียว Hoshino-mura matcha จากฟุกุโอกะ และ นม Aso Jersey milk จากคุมาโมโตะ เอกลักษณ์ของเจลาโต้ที่นี่ คือ การแบ่งความเข้มข้นออกเป็น 6 ระดับ จาก 1% ถึง 6% สำหรับ 5 ระดับแรก ขายในราคาถ้วยละ 500 เยน ส่วนระดับสูงสุดใช้มัทฉะเข้มข้นระดับ Super Richness ราคาถ้วยละ 3,000 เยน (จำกัด 3 เสิร์ฟต่อวัน) และยังมีรสอื่นๆ ให้เลือกรวม 12 รสชาติ
เดินเล่นต่อที่ถนนยูโนะทสึโบะ (Yunotsubo) จนสุดทางจะได้พบกับ ทะเลสาบคินริน (Kinrin Lake) น้ำมีความใสมาก และอุ่นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีน้ำจากน้ำพุร้อนไหลมารวมกับน้ำในทะเลสาบนั่นเอง หากใครมาเยือนทะเลสาบยามเช้าจะเห็นหมอกและไอน้ำลอยอยู่เหนือทะเลสาบ อีกทั้งยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดังของจังหวัดโออิตะด้วย
ร้านคาเฟ่ลารูเช่ (Cafe La Ruche)
ทานมื้อกลางวันที่คาเฟ่ริมทะเลสาบคินริน ร้านนี้ดังเรื่องขนมปัง โดยเฉพาะครัวซองต์ และขนมปังบาแก็ต เมนูของเราวันนี้คือขนมปังทาร์ทีนหน้าเห็ดพริกไทยดำอบร้อนๆ เสิร์ฟคู่กับผักสลัด วิวทะเลสาบสวยงาม และคาเฟ่บรรยากาศดี โดยชั้น 2 จะเป็นแกลเลอรี่ และร้านขายของแฮนด์เมด
เวลาเปิดทำการ: 9:00-17:30 น. หยุดทุกวันพุธ
เว็บไซต์ | พิกัด
กิจกรรมทัวร์บ่อนรก (Jigoku meguri)
มุ่งหน้าไปยังเมืองเบปปุ (Beppu) ซึ่งเป็นแหล่งออนเซ็นชื่อดัง มีกิจกรรมทัวร์บ่อนรกทั้งหมด 8 บ่อ เช่น บ่อน้ำร้อนสีฟ้าที่มีส่วนประกอบของโคบอลท์ บ่อน้ำร้อนสีแดงส้ม บ่อโคลนที่เดือดปุดๆ บ่อน้ำร้อนที่มีควันพวยพุ่งด้วยแรงดัน ทุกบ่อจะอยู่ใกล้กัน ทำให้สามารถเดิน หรือนั่งรถบัสไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ
บ่อที่โด่งดังมากในหมู่นักท่องเที่ยว คือบ่อนรก Umi Jigoku เป็นบ่อที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อ 1,200 ปีที่แล้ว มีความลึก 200 เมตร น้ำมีสีฟ้าราวกับท้องทะล จึงเป็นที่มาของชื่อบ่อนี้
บ่อที่ห้ามพลาดคือบ่อนรก Kamado Jigoku ที่มีรูปปั้นยักษ์ยืนอยู่บนหม้อปรุงอาหารที่เฝ้าบ่อนรก ว่ากันว่าเป็นต้นกำเนิดของการ์ตูนชื่อดังเรื่องดาบพิฆาตอสูร ภายในมีบริการน้ำพุร้อนที่สามารถดื่มได้ไว้บริการ เมื่อเดินทัวร์ครบแล้ว แนะนำให้ซื้อไข่ต้มบ่อนรกและพุดดิ้งมารับประทานพร้อมทั้งแช่ออนเซ็นเท้าไปด้วย
ร้านอาหารนึ่งนรก Sato no Eki Kannawa Jodekiya
มื้อเย็นเป็นเมนูอาหารนึ่งนรก (Jigoku mushi) อาหารขึ้นชื่อของย่านคันนาวะ (Kannawa) เมืองเบปปุ การปรุงอาหารแบบนี้มีมากว่า 400 ปีแล้ว เมนูมีทั้งอาหารทะเล เนื้อหมู และเนื้อวัว ให้เลือกตามชอบ โดยมีทั้งแบบอลาคาร์ทและแบบเซ็ต เมื่อเลือกได้แล้วจัดทุกอย่างใส่ในเข่ง สวมถุงมือยางที่ทางร้านเตรียมไว้ให้ แล้วหย่อนเข่งลงในที่นึ่ง โดยที่นึ่งนี้จะใช้แรงดันและความร้อนจากใต้พิภพมาปรุงอาหารให้สุก
เวลาทำการ: 09:00-20:00 น. (Last Order 19:00 น.)
เว็บไซต์ | พิกัด
สำหรับโซนนั่งรับประทานอาหารจะอยู่ด้านนอก ซึ่งระหว่างรับประทานสามารถแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนได้ด้วย
จากนั้นเข้าพักที่โรงแรม Nishitetsu Resort Inn Beppu นอนชาร์จพลังเพื่อเตรียมเที่ยววันสุดท้ายของทริป
วันที่ 6
เฮียวตันออนเซ็น (Hyotan Onsen)
มาอบทรายร้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของออนเซ็นแห่งนี้ การอบทรายจะช่วยขับเหงื่อและของเสียออกจากร่างกาย อีกทั้งช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดี ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง ส่วนทรายที่เฮียวตัน ออนเซ็นเป็นทรายจากเบปปุ 100% ทำให้มีสัมผัสที่ละเอียดนุ่ม อีกทั้งมีอุณหภูมิที่พอเหมาะ
เวลาทำการ: ทุกวัน 9:00- 1:00 น.
ค่าใช้จ่าย: ผู้ใหญ่เริ่มต้น 750 เยน (ราคารวมออนเซ็นและซาวน่า) อบทรายเพิ่ม 330 เยน
เว็บไซต์ | พิกัด
การอบทรายที่นี่เป็นการบริการด้วยตัวเอง โดยมีขั้นตอนการกลบเขียนเอาไว้ หลายภาษารวมทั้งมีภาษาไทยด้วย หลังอบทรายเสร็จแล้วเราสามารถแช่บ่อออนเซ็นต่างๆ ได้ เช่น บ่อที่มีน้ำตกขนาดเล็ก บ่อโขดหิน บ่อที่ทำจากไม้ฮิโนะคิ (Japanese Cypress) ทำให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อลงแช่ เป็นต้น
เมื่อแช่เสร็จแล้วยังมีจุดที่เราสามารถนำหน้าไปอังแล้วสูดไอจากออนเซ็นเข้าไป โดยมีการพิสูจน์และได้รับการรับรองแล้วว่าการหายใจเอาไอจากออนเซ็นเข้าสู่ร่างกายสามารถรักษาโรคหลอดลมอักเสบได้
เมียวบังออนเซ็น (Myoban Onsen)
1 ใน 8 น้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงของเมืองเบปปุ จุดเด่นของที่นี่คือเป็นออนเซ็นที่มีส่วนประกอบของกำมะถันสูง ทำให้มีกลิ่นกำมะถันค่อนข้างแรงกว่าที่อื่น ทั้งนี้กำมะถันจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และความอ่อนเยาว์ให้กับผิว สามารถรักษาโรคผิวหนังได้ ที่บ่อออนเซ็นแห่งนี้ น้ำพุร้อนมีสีขาวขุ่นอมฟ้า ขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณทางโอสถมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
ค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าใช้จ่าย
เวลาทำการ: ทุกวัน 8:30-18:00 น./ ร้านอาหาร 10:00-16:30 น.
สิ่งที่นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมียวบังออนเซ็นคือ ยุโนะฮานะโกยะ (Yunohanagoya) หรือกระท่อมที่สร้างเพื่อเก็บยุโนะฮานะ (Yunohana) ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ตกผลึกจากน้ำพุร้อนเมื่อสัมผัสกับอากาศ จะพบเจอเฉพาะในน้ำพุร้อนที่เก่าแก่และมีคุณภาพสูงเท่านั้น ยุโนะฮานะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของ สบู่ แชมพู สกินแคร์ เครื่องสำอางต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีร้านขายของฝาก และร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นในจังหวัดโออิตะมาปรุง ในรูปแบบของเซตอาหารกลางวันของเราในวันนี้
ร้านโอคาโมโตะยะ (Okamotoya)
ร้านขายพุดดิ้งที่ใช้กระบวนการนึ่งนรก (Jigoku-mushi) แบบดั้งเดิมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1988 พุดดิ้งของร้านนี้มีจุดเด่นที่เนื้อพุดดิ้งเนียนนุ่ม ราดด้วยคาราเมลที่มีความขมพอดี ตัดกับรสหวานของเนื้อพุดดิ้งได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีเมนูขนมอื่น ๆ เช่น พาร์เฟ่ต์ที่ท็อปปิ้งด้วยพุดดิ้ง ซอฟท์ครีม ขนมชิฟฟ่อน และเมนูที่ใช้กระบวนการนึ่งนรกวางขายอยู่ อีกทั้งยังมีเมนูอาหารคาวอีกหลายเมนู เช่น อุด้งไข่ลวก ไข่ออนเซ็น ไข่ต้ม หรือไข่เค็มก็เป็นที่นิยมเช่นกัน
เวลาเปิดทำการ: ทุกวัน 8:30-18:30 น. (Last Order: 17:30)
เว็บไซต์ | พิกัด
เมืองคิซึกิ (Kitsuki City)
เมืองสุดท้ายของทริปนี้ เรามาเดินเล่นเมืองซามูไร หรือลิตเติ้ลเกียวโตแห่งโออิตะ ที่นี่ยังมีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองแห่งกิโมโนอีกด้วย เพื่อให้ได้บรรยากาศเราเช่าชุดกิโมโนที่ร้าน Rental Kimono Warakuan ถ้าหากใครเช่าชุดเดินเล่นในเมือง ก็จะได้รับการยกเว้นค่าเข้าชมตามสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมของทางราชการต่างๆ
ร้านเช่าชุดกิโมโน (Rental Kimono Warakuan)
เวลาทำการ: 10:00-16:00 น. (รับจองก่อนเวลา14:00 น. และให้บริการกับผู้ที่จองก่อน)
วันหยุด: วันพุธ และ 28 ธ.ค.-4 ม.ค.
เว็บไซต์ | พิกัด
ทั้งนี้แลนด์มาร์คของเมืองคิซึกิที่พลาดไม่ได้เลย คือ เนินสึยะโนะซะกะ (Suyanosaka) และ เนินชิโอะยะซากะ (Shioyanosaka) โดยเนินทั้งสองนี้ ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของเมืองคิซึกิ กล่าวคือเป็นเมืองที่ล้อมรอบปราสาทคล้ายแซนด์วิชนั่นเอง เมื่อเดินขึ้นเนินมาแล้วจะพบกับถนนขนาดกว้างที่ขนาบไปด้วยคฤหาสน์ของนักรบตั้งแต่สมัยเอโดะ ซึ่งมีกำแพงทำจากดิน
จากนั้นปิดท้ายด้วยการไปนั่งดื่มชาเขียวแบบดั้งเดิม พร้อมกับขนมวากาชิ ที่ร้านน้ำชา Dainochaya หากมีเวลาแนะนำให้เที่ยวชม ปราสาทคิซึกิ โอฮาระเทย์หรือคฤหาสน์ของซามูไรยศสูง ที่ยังคงสภาพเดิมเอาไว้
ร้านน้ำชา Dainochaya
เวลาทำการ: 9:00-17:00 น. (เข้าได้ช้าสุดก่อนเวลา 16.30 น.)
วันหยุด: วันพุธ และ 29 ธ.ค. – 3 ม.ค.
เป็นอย่างไรบ้างคะกับทริปคิวชูเหนือ 6 วัน 5 คืน หวังว่าคุณผู้อ่านจะได้ไอเดียจากการแชร์ทริปในครั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในครั้งหน้า ส่วนตัวแล้วคิดว่าภูมิภาคคิวชูมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายสไตล์ ครบครันทั้งสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มีป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ ที่สำคัญคือมีเมนูอาหารท้องถิ่น อาทิ อาหารทะเลสดๆ รวมทั้งเป็นแหล่งส่งออกผลไม้อันดับต้นๆ ของประเทศนอกจากนี้ยังเป็นแหล่งออนเซ็นที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย หากเปิดประเทศเมื่อไหร่ ฝากสถานที่ท่องเที่ยวในคิวชูเหนือทั้งหมดนี้ไว้ในลิสต์การเดินทางของคุณด้วยนะคะ