แนะนำสถานที่เที่ยว 3 เมืองใหญ่ Mie-Nagoya-Gifu ในภูมิภาคจูบุ

ภูมิภาคจูบุ ตอนกลางของญี่ปุ่น เปี่ยมไปด้วยสถานที่ที่มีความสำคัญต่อประเทศญี่ปุ่น และประวัติศาสตร์ความเป้นมาอันน่าหลงไหล อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกมากมาย ในครั้งนี้จะมาแนะนำสถานที่เที่ยวของ 3 เมืองใหญ่ มิเอะ – นาโงยะ – กิฟุ ในภูมิภาคจูบุกันครับ

  • ศาลเจ้าอิเสะ จิงงู (Ise Jingu Shrine) เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโตที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อกันว่า “สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ให้ได้”

    ศาลเจ้าอิเสะจิงงู มีอายุราว 2,000 กว่าปี ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.. 539 เพื่อถวายความศรัทธาแด่เทพีอะมะเทะระซุหรือเทพีแห่งพระอาทิตย์ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นนั้นสืบเชื้อสายมาโดยตรง พื้นที่ของศาลเจ้าจะประกอบไปด้วย ศาลเจ้าขนาดใหญ่ 2 ศาล คือศาลเจ้าหลัก Naiku (ศาลเจ้าด้านใน) และ Geku (ศาลเจ้าด้านนอก) สร้างขึ้นแบบเรียบง่ายไม่หวือหวาแต่เต็มไปด้วยพลังแห่งศรัทธา

    ย่านการค้า Oharai-machi และ Okage-yokocho ถนนคนเดินที่สร้างขึ้นในสไตล์ย้อนยุคไปในยุคสมัยของเอโดะ

    อุทยานแห่งชาติอิเสะชิมะ (Ise-Shima National Park) อยู่ในอำเภอชิมะ จังหวัดมิเอะ เพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงของ จุดชมวิวโยโคยะมะ (Yokoyama Observatory) ตั้งอยู่บนภูเขาโยะโกะยะมะ (Mt. Yokoyama) ที่ระดับความสูง 203 เมตร ทัศนียภาพล้อมรอบด้วยอ่าวอะโกะ (Ago Bay) อยู่ทางตอนใต้, มหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันออกและติดกับแนวภูเขาคิอิทางทิศตะวันตก นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของอ่าวอะโกะได้จากจุดชมวิวแห่งนี้

    เมืองโทบะ (Toba) เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลของจังหวัดมิเอะ มีชื่อเสียงในด้านการผลิตไข่มุกคุณภาพดีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจาก เกาะไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) และเรื่องราวของ อามะ (Ama) กลุ่มสตรีที่ดำน้ำได้เก่งและอึดที่สุด ด้วยการฝึกฝนส่งต่อวิธีการดำน้ำกันรุ่นต่อรุ่น ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำจับสัตว์ทะเลและไข่มุก

    นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว ยังสามารถชมการจับหอยออยสเตอร์โดย อามะซัง หรือสาวนักดำน้ำ ที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าอามะซังมีอายุตั้งแต่ สาวรุ่น 20 กว่า จนไปถึงรุ่นอาม่าอายุ 80 เลยทีเดียว

    สัมผัสกับวิถีชาวประมงพื้นบ้านที่ไม่เหมือนที่ใดบนโลกใบนี้กันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ที่ชื่อว่า Hachiman Kamado ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Osatsu ห่างจากสถานี Toba ประมาณครึ่งชั่วโมง เมื่อเดินทางมาถึงเหล่าอามะซังจะออกมายืนต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมถือธงชาติไทยต้อนรับคณะของเราอีกด้วย ประทับใจสุดๆ

    จากนั้นอามะซังตัวจริง จะนำอาหารทะเลสดๆ ไม่ว่าจะเป็น หอยอาซาริหรือกุ้งลอบสเตอร์ มาย่างให้เราทานกันแบบสดๆ แถมมีชุดอามะซังให้แต่งคอสเพลย์ และร่วมเต้นรำด้วยกันอีกด้วย สนนราคาต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,780 เยน

    งานเทศกาลประดับไฟหน้าหนาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดงานหนึ่งของญี่ปุ่นNabana no Sato” ที่จะเริ่มจัดตั้งแต่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ จัดขึ้นที่ธีมพาร์คสวนดอกไม้และสวนน้ำชื่อดังที่ Nagashima Resort เมืองคุวะนะ (Kuwana) ในจังหวัดมิเอะ

    สวนอิงะอุเอโนะ (Iga-ueno Koen) ซึ่งภายในสวนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ ปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno jo) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี (อาคารหลังปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1935) เป็นปราสาทไม้แบบดั้งเดิม ที่รอดพ้นจากระเบิดในช่วงสงคราม โดยผู้ออกแบบเป็นบุคคลเดียวกับคนที่ออกแบบปราสาทโอซาก้าและปราสาทเอโดะ

    พิพิธภัณฑ์นินจาสำนักอิงะ (Igaryu Ninja Hakubutsukan) ถึงแม้จะเล็กแต่ว่าครบถ้วน เพราะที่สถานที่แห่งนี้เราจะได้เรียนรู้และเข้าถึงวิถีของนินจาอย่างแท้จริง โดยเริ่มต้นจากบ้านของนินจาแห่งนี้ ที่มีกลไกลับซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆของบ้าน ซึ่งถ้าไม่มีนินจาฝึกหัดคอยเเนะนำ เราก็ไม่มีทางมองออกเลยว่า ตรงไหนที่สร้างเป็นกับดักซ่อนอยู่บ้าง

  • วัดนิตไทจิ (Niitaiji Temple) วัดที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่นมาอย่างช้านาน สร้างขึ้นเมื่อปีค.. 1904 เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประเทศไทยหรือสยามในครั้งนั้นได้มอบเป็นของขวัญให้แก่ประเทศญี่ปุ่นในปีค.. 1900

    ด้านนอกเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร. 5)

    ปราสาทนะโงะยะ (Nagoya Castle) มีความสูงทั้งหมด 5 ชั้น ปราสาทแห่งนี้ในอดีตเป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลของโชกุนโทกุงะวะ ก่อสร้างโดยท่านโชกุนโทกุงะวะ อิเอะยะสุ อีกทั้งปราสาทนะโงะยะ ยังถูกใช้เป็นแนวหน้าในการป้องกันเมือง เมื่อครั้งสู้รบกับฝั่งโอซาก้า

    ในบริเวณเดียวกันกับตัวปราสาทเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นคือ พระราชวังฮมมารุ (Hommaru Palace) ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของปราสาทนะโงะยะ ล้อมรอบด้วยหอกลาง 2 หลังและป้อมปราการหอคอยหลายแห่ง

    พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำท่าเรือนะโงะยะ (Port of Nagoya Public Aquarium) เปิดให้บริการครั้งแรกในปี ค.. 1992 ตั้งอยู่ที่บริเวณท่าเรือนะโงะยะ บริเวณตึกฝั่งทิศเหนือจะจัดแสดงภายใต้คอนเซ็ปต์ การเดินทางตลอด 3.5 พันล้านปีของสัตว์ที่หวนคืนสู่ทะเล พบกับสัตว์น้ำมากมาย อาทิเช่น ปลาวาฬเพชรฆาต ปลาวาฬเบลูก้า รวมถึงปลาโลมาในเขตทะเลญี่ปุ่น อีกทั้งเพนกวินกว่า 5 สายพันธุ์

    พิพิธภัณฑ์อนุสรณ์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีโตโยต้า (Toyota Commemorative Museum and Technology) เป็น 1 ใน 3 พิพิธภัณฑ์ของโตโยต้า ที่ใช้โรงงานแห่งแรกนำมาปรับปรุงภายใน แต่ยังคงโครงสร้างเดิมที่เป็นอิฐแดงตั้งแต่สมัยไทโช มีการจัดแสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของเครื่องทอผ้าและเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ โดยแสดงเครื่องจักรจริงแบบเคลื่อนไหวและมีการสาธิตให้ชมแบบเข้าใจง่าย

    หอคอยโทรทัศน์นาโกยะ (Nagoya TV Tower) หอคอยส่งสัญญาณโทรทัศน์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น สร้างเสร็จเมื่อปี 1954 มีอายุมากกว่าโตเกียวทาวเวอร์ ตั้งอยู่ในย่านกลางเมืองที่ชื่อว่า Sakae เป็นสัญลักษ์ที่โดดเด่นที่สุด ห่างจากสถานี Nagoya เพียง 2 กิโลเมตร ในย่านนี้มีห้างสรรพสินค้ามากมาย รวมไปถึงอาคารรูปทรงแปลกตา Oasis 21 แลนด์มาร์คยุคใหม่ของเมืองนาโกยะ

    วัดโอสุคันนง (Osu Kannon Temple) เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าแม่กวนอิม เทวรูปเก่าแก่สร้างขึ้นจากไม้ และเป็นวัดประจำตระกูลโอดะ ตั้งอยู่ในย่านโอสุ เมืองที่ผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์โบราณและวัฒนธรรมยุคใหม่ เป้นย่านการค้ายอดนิยม เพลิดเพลินกับการช้อปปิ้ง ทานอาหาร และชมวัฒนธรรมได้อย่างเต็มที่

  • หมู่บ้านมรดกโลกชิราคะวะโก (Shirakawa-go) หมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์กรยูเนสโก เมื่อปี ค..1995 ด้วยเอกลักษณ์ของบ้านมุงหลังคาด้วยหญ้าฟางคายะบุกิสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม กัชโชซึคุริ” (รูปทรงคล้ายการพนมมือ) ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก

    ภาพบรรยากาศมุมสูงของหมู่บ้านมรดกโลกชิราคะวะโก

    ย่านการค้าเก่าซันมะจิ-ซุจิ (Sanmachi-Suji) ที่ เมืองทะคะยะมะ (Takayama) ย่านการค้าเก่าแก่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาตั้งแต่ยุคสมัยเอโดะ ที่ยังรักษาความเป็นเอกลักษณ์ของบ้านเรือนเก่า โดยบรรดาร้านค้าและอาคารต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์สภาพของบ้านโบราณไว้ให้คงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ร้านค้าส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดทำการตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไปถึงเวลาประมาณ 17.00 น.

    ซูชิเนื้อฮิดะ เมนูยอดนิยมที่ต้องลอง

    เมืองเกะโระ ตั้งอยู่ระหว่างเมืองนะโงะยะ และเมืองทะคะยะมะ โด่งดังในเรื่องของการเป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนทางธรรมชาติ อีกทั้งน้ำพุร้อนของที่นี่ยังมีสรรพคุณช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าและช่วยให้สุขภาพดี นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวพรรณนุ่มลื่นนวลเนียน คนญี่ปุ่นจึงเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “บิจิน โนะ ยุ” หรือมีความหมายว่า “ออนเซ็นแห่งความงาม”

    หมู่บ้านโบราณเกโระ (Gassho Folk Village) มีลักษณะคล้ายกับที่หมู่บ้านชิระคะวะโก บ้านที่มีหลังคาหญ้าหนาๆ สไตล์กัชโชแบบดั้งเดิมจากภูมิภาคชิราคาวาโกะ ประมาณ 10 หลัง นอกจากเดินชมบ้านสวยๆแล้ว ยังสามารถชมการแสดง และงานศิลปะพื้นบ้านดั้งเดิม อีกทั้งมีบ่อแช่เท้าไว้คอยให้บริการด้วย 

    เมืองกุโจฮะฉิมัง (Gujo Hachiman) เป็นเมืองเล็กริมแม่น้ำในจังหวัดกิฟุ มีชื่อเสียงในเรื่องของทางสายน้ำที่ไหลผ่านเมือง และงานเทศกาลฤดูร้าน Gujo Odori ตัวเมืองมีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 16 หลังจากที่ได้มีการก่อสร้างปราสาทฮะฉิมัง (Hachiman Castle)

    ทางน้ำในเมืองกุโจได้รับการอนุรักษ์ให้คงเดิมไว้เหมือนกับเมื่อ 400 ปีที่แล้ว ขณะเดินเที่ยวเมืองก็จะไปพบกับคลอง น้ำตก และทางน้ำได้อยู่ตลอด ในอดีตชาวบ้านใช้แหล่งน้ำบริสุทธิ์เหล่านี้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการชำระล้างข้าว ผัก และซักผ้า ชาวบ้านคอยช่วยกันดูแลรักษาให้น้ำใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา และน้ำดื่มของเมืองกุโจนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ชาวเมืองทุกคนภูมิใจ

    ในปีค.ศ.2013 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศคุ้มครองเขตเมืองเก่าขนาด 14.1 เฮคเตอร์ โดยเฉพาะอาคารในพื้นที่ Ote machi, Shokunin machi, Yanagi machi และ Kajia machi นักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวในเขตประวัติศาสตร์นี้ได้จากบริเวณโดยรอบของ Jokamachi

    หลายคนยังไม่รู้ว่าบรรดาอาหารเลียนแบบที่เห็นตามหน้าร้านอาหารต่างๆที่เหมือนของจริงจนแทบอยากตักเข้าปากนั้น จริงๆแล้วมีต้นกำเนิดมาจากเมืองกุโจฮะฉิมังนี่เอง นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เดินเลือกซื้อได้กันอย่างสนุกสนานแล้ว ยังสามารถทดลองทำเองได้อีกด้วย

  • สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่เหล่านี้ได้โดยการเช่ารถขับ หาซื้อแพกเกจท่องเที่ยวได้ที่บริษัททัวร์ ณ งานเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก ครั้งที่ 22 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2561