นั่งรถไฟ JR Kyushu ตะลุยเกาะใต้ ชมวิวสวย 3 จังหวัด ตอนที่ 2: คุมาโมโตะ (Kumamoto)

ทริปนี้จะเป็นการใช้ JR Kyushu Rail Pass เที่ยวไปตามสถานที่เที่ยวยอดนิยม ขึ้นรถไฟขบวนดัง ไปใน 3 จังหวัดของเกาะคิวชูตอนเหนือ คือ โออิตะ คุมาโมโตะ และ ฟุกุโอกะ ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน จากรีวิวที่แล้วที่เราพาผู้อ่านนั่งรถไฟท่องเที่ยวไปยังจังหวัดโออิตะกันแล้ว ในตอนนี้จะไปเจาะลึกจังหวัดคุมาโมโตะกัน โดยแบ่งการเดินทางออกเป็น 3 วันครับ

แผนการเดินทางวันที่ 2 (ครึ่งบ่าย) : จังหวัดคุมาโมโตะ (เช่ารถขับ)

13.00 – 14.30 น.           ถนนคนเดิน Aso Monzen
14.45 – 16.00 น.           ปากปล่อง Nakadake บนภูเขาไฟ Aso
16.00 – 17.00 น.           ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ

แผนการเดินทางวันที่ 3 : จังหวัดคุมาโมโตะ

07.00 น.                        สถานีรถไฟ Kumamoto
07.39 – 09.04 น.            โดยสารรถไฟสาย Kawasemi-Yamasemi (Kumamoto Sta.- Watari Sta.)
09.20 – 14.00 น.            กิจกรรมล่องแก่งแม่น้ำคุมะโดยบริษัท Land Earth
14.48 – 17.14 น.            โดยสารรถไฟสาย SL Hitoyoshi (Watari Sta.-Kumamoto Sta.)

แผนการเดินทางวันที่ 4 : จังหวัดคุมาโมโตะ

09.00 – 10.40 น.             สวน Suizenji (รถราง)
11.10 – 12.30 น.             ปราสาทคุมาโมโตะ / ย่านการค้า Josaien (รถราง)
13.00 – 17.00 น.             ย่านการค้า Shimodori / Kamidori
17.06 – 17.37 น.             เดินทางไปเมือง Kurume (รถไฟ Shinkansen จากสถานี Kumamoto – Kurume )

เส้นทางแผนการเดินทางของทริปในครั้งนี้

ติดตามรีวิวอีก 2 ตอนได้ที่นี่

นั่งรถไฟ JR Kyushu ตะลุยเกาะใต้ ชมวิวสวย 3 จังหวัด ตอนที่ 1: โออิตะ (Oita)
นั่งรถไฟ JR Kyushu ตะลุยเกาะใต้ ชมวิวสวย 3 จังหวัด ตอนที่ 3 : ฟุกุโอกะ (Fukuoka)


#จุดหมายปลายทางไม่สำคัญเท่ากับเรื่องราวระหว่างทาง ประโยคที่เรามักได้ยินเสมอ สำหรับเราที่การเดินทางแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว เรื่องราวระหว่างทางนี่แหละที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เราได้เก็บเกี่ยวข้อมูล ภาพถ่ายของสถานที่ต่างๆ มาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวเล่าสู่กันฟัง

อีกหนึ่งเสน่ห์ของการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่น่าจะเป็นที่หนึ่งในใจของใครหลายๆคนรวมถึงตัวแอดด้วย คงจะหนีไม่พ้นการเดินทางด้วยรถไฟ โดยในทริปนี้เราจะเน้นการเดินทางด้วยรถไฟภายในภูมิภาคคิวชูเป็นหลัก ด้วย JR KYUSHU RAIL PASS – All Kyushu Area จะสนุกสนานแค่ไหน ไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ตามไปด้วยกันเลยครับ ก่อนอื่นขออธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับพาสที่เราใช้เดินทางในทริปครั้งนี้

JR Kyushu Rail Pass เป็นตั๋วรถไฟที่สามารถใช้โดยสารรถไฟได้ทุกประเภทแบบไม่จำกัดเที่ยว โดยสามารถใช้โดยสารรถไฟแบบธรรมดา รถไฟความเร็วสูง รถไฟขบวนด่วนพิเศษยอดนิยม รถไฟท่องเที่ยว ไปจนถึงรถไฟชินคันเซ็นที่ JR คิวชูให้บริการ

โดยในทริปนี้เราจะเน้นการเดินทางด้วยรถไฟภายในภูมิภาคคิวชูเป็นหลัก ด้วย JR KYUSHU RAIL PASS – All Kyushu Area แบ่งเป็นการใช้งาน 2 แบบ

  • สำหรับการใช้งาน 3 วัน ราคา 15,000 เยน โดยจะจำกัดการสำรองที่นั่งโดยสารบนรถไฟได้ 10 ครั้ง
  • สำหรับการใช้งาน 5 วัน ราคา 18,000 เยน โดยจะจำกัดการสำรองที่นั่งโดยสารบนรถไฟได้ 16 ครั้ง

โดยผู้ที่ทำการจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว สามารถทำการสำรองที่นั่งบนขบวนรถไฟต่างๆได้จาก >> TRAIN RESERVATION


  • ครึ่งวันบ่ายของวันที่ 2 จากเบปปุ เราเช่ารถขับมุ่งตรงสู่ เมืองอะโสะ (Aso) จังหวัดคุมาโมโตะ ที่ตั้งของภูเขาไฟสุดยิ่งใหญ่ของภูมิภาคคิวชู นั่งเพลินๆก็มาถึงแล้ว เราแวะไปเดินเล่นและหาอาหารกลางวันรับประทานกัน ที่ถนนคนเดินซึ่งตั้งอยู่บริเวณตีนภูเขาไฟอะโสะ โดยย่านนี้มีชื่อว่าถนนคนเดิน Ichinomiya Aso Monzen Machi

    บริเวณย่านนี้มีร้านอาหาร ร้านขายของฝาก คาเฟ่และเบเกอรี่น่ารักๆ หลายร้าน นอกจากร้านค้ามากมาย

    นอกจากร้านค้ามากมาย ที่นี่ยังมีชื่อเสียงของการมีบ่อน้ำผุดขึ้นมาตามธรรมชาติมากกว่า 21 จุด โดยแต่ละบ้านได้ออกแบบน้ำผุด ให้เป็นจุดที่ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถใช้ดื่มหรือใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย

    แวะถ่ายภาพกับเจ้าถิ่น

    แวะรับประทานอาหารกลางวัน

    แวะชิมขนมที่ร้านเบเกอรี่น่ารักๆ

    มาถึงจังหวัดคุมาโมโตะ อย่าพลาดชิมเนื้อม้า ในภาพคือโคร้อกเกะเนื้อม้า


    และบริเวณใกล้ๆกันยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอะโสะ (Aso Shrine) เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองคุมาโมโตะ มีอายุประมาณราวๆ 2,000 ปี และที่ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีประตูทางเข้า Romon Gate เป็นจุดเด่น โดยประตูนี้ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ประตูแบบ 2 ชั้นที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเดินทางมาเพื่อขอพรเรื่องการเดินทางให้ขับขี่ปลอดภัย ในภาพตัวของศาลเจ้ายังคงปิดซ่อมเนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในจังหวัดคุมาโมโตะ

    จากนั้นเดินทางกันสู่ ภูเขาไฟอะโสะ (Mt.Aso) เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของภูมิภาคคิวชู ตั้งอยู่ในจังหวัดคุมาโมโตะ ภูเขาไฟเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ มีขนาดใหญ่มากๆ กินพื้นที่อาณาเขตกว่า 100 กิโลเมตร อีกทั้งยังติดหนึ่งในอันดับภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก

    ภูเขาไฟอะโสะมีปากปล่องภูเขาไฟหลายแห่ง โดยบริเวณที่สามารถเข้าไปชมได้ง่ายที่สุดมีชื่อว่า ปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ (Nakadake) โดยการขึ้นไปท่องเที่ยวด้านบน จำเป็นต้องมีการเช็คสภาพของก๊าซพิษที่ปากปล่องก่อน โดยจะมีการแจ้งตั้งแต่ตอนขึ้นกระเช้าหากช่วงไหนที่มีปริมาณก๊าซพิษมากเกินความปลอดภัย ก็จะปิดเข้าชมไม่ให้ขึ้นไปท่องเที่ยวด้านบนยอดเขา แนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจควรหลีกเลี่ยงการขึ้นไปด้านบนยอดเขา

    สถานีรถกระเช้าโรปเวย์อะโสะ ปัจจุบันได้ปิดทำการแล้ว

    จากด้านล่างของสถานี Aso เราขับขึ้นมาประมาณ 40 นาที แล้วนั่งรถบัสต่อขึ้นมายังบริเวณด้านบนปล่องของภูเขา สำหรับใครที่มีเวลาเหลือก็สามารถจะเดินขึ้น-ลงเขาก็ยังได้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นไปยังปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ ด้วยรถบัสของทางภูเขาไฟอะโสะ

    ศาลเจ้าบนปากปล่องภูเขาไฟนาคาดาเกะ

    ปากปล่องภูเขาไฟที่มีความกว้างถึง 120 กม. เราสามารถมองเห็นกลุ่มควันกำมะถันพวยพุ่ง

    ไม่ไกลจากปากปล่องภูเขาไฟนาคะดาเกะ เป็นที่ตั้งของ ทุ่งหญ้าคุซะเซนริ (Kusasenri) จุดพักรถที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุด สัมผัสกับทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าเขียวขจี ภาพของฝูงวัวและม้ากำลังเล็มหญ้าตัดกับท้องฟ้าและบึงน้ำขนาดใหญ่

    ใครที่พอมีเวลาแนะนำให้ลองทำกิจกรรมขี่ม้าทัวร์ทุ่งหญ้าแห่งนี้

    จากจุดพักรถที่สามารถมองเห็นปล่องภูเขาไฟในระยะไกลได้แบบชัดเจนมากๆ

    ลาไปด้วยภาพบรรยากาศสวยๆระหว่างขับรถลงเขา

  • วันที่ 3 ของการเดินทาง เช้าตรู่ของวันนี้ เราโดยสารรถไฟจากสถานี Kumamoto ไปยังสถานี Watari ด้วยรถไฟขบวนใหม่ล่าสุดของบริษัท JR Kyushu ทีมีชื่อว่า Kawasemi Yamasemi  สามารถเช็คตารางการวิ่ง เส้นทางและเที่ยวเวลาให้บริการได้จาก >> ที่นี่

    เส้นทางการให้บริการของรถไฟขบวนด่วนพิเศษ

    ขบวน Yamasemi สีเขียว

    ขบวน Kawasemi สีน้ำเงิน

    โดยขบวน “Kawasemi Yamasemi” เป็นรถไฟสองโบกี้ ชื่อของรถไฟสองขบวนนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชื่อนกกระเต็น 2 สายพันธุ์ที่บินอยู่ท่ามกลางหุบเขาและแม่น้ำคุมะ

    โดยขบวนรถไฟจะพาลัดเลาะไปตามทัศนียภาพสวยงามริมฝั่งแม่น้ำ

    ด้านในของขบวนรถไฟ ตกแต่งด้วยไม้ในสไตล์เรียบหรู บริเวณตู้โดยสาร Kawasemi จัดเป็นตู้ที่ใช้สำหรับนั่งชมความงามของทิวทัศน์อันสวยงามตลอดสองข้างทาง ผ่านหน้าต่างกระจกใสขนาดใหญ่

    การตกแต่งในทุกรายละเอียดทำได้อย่างประณีตสวยงาม โดยเฉพาะโคมไฟไม้

    โปสการ์ดแจกฟรีพร้อมตราประทับสำหรับเป็นที่ระลึก

    ความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ อาทิเช่นการออกแบบที่นั่งยกขึ้นสูงสำหรับเด็ก พร้อมสายรัดเพื่อความปลอดภัยขณะรถวิ่ง

    และบริเวณตู้โดยสาร Yamasemi มีจุดให้บริการจำหน่ายของว่างและเครื่องดื่ม หรือใครจะทานเบนโตะบนรถไฟเป็นอาหารเช้า พร้อมชมวิวสวยงามตลอดสองข้างทางก็ได้ช่วยเพิ่มอรรถรสระหว่างมื้ออาหารได้อีกด้วย

    ออกแบบหน้าต่างเป็นจุดชมวิว สำหรับชมนก

    ไฮไลท์ของวันนี้คือเราจะมาเพิ่มระดับอะดรีนาลีนในร่างกาย ด้วย กิจกรรมการล่องแก่งไปตามแม่น้ำคุมะ ที่ได้ชื่อว่าติดอันดับ 1 ใน 3 ของแม่น้ำที่มีการไหลของน้ำแรงและรวดเร็วที่สุดในญี่ปุ่น ในอดีตแม่น้ำแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมาก โดยใช้เป็นหนึ่งในการเดินทางหลัก อีกทั้งยังใช้เป็นเส้นทางขนส่งสินค้า ที่บอกได้คำเดียวว่า กิจกรรมการล่องแก่งไปตามแม่น้ำคุมะ นั้นสร้างทั้งความสนุกสนาน เร้าใจและหวาดเสียวไปพร้อมๆกันในกิจกรรมเดียว

    ขอบคุณภาพจากบริษัท Land-Earth Japan

    กิจกรรมการล่องแก่งไปตามแม่น้ำคุมะ โดยบริษัท Land-Earth Japan

    เวลาทำการ : 08.00 – 18.00 น.
    วันหยุด : เปิดบริการทุกวัน
    ค่าใช้จ่าย : ทัวร์ครึ่งวัน ราคาท่านละ 8,000 เยน
    การเดินทาง : เดิน 3 นาทีจากสถานีรถไฟ JR Watari

    สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมจองทริปได้ที่นี่ >> LANDEARTH

  • หลังจากสนุกสนานกับกิจกรรมการล่องแก่งกันเป็นที่เรียบร้อย เราโดยสารรถไฟจากสถานี Watari ไปยังสถานี Kumamoto โดย SL Hitoyoshi ขบวนรถไฟสายวินเทจหัวจักรไอน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีอายุกว่า 100 ปี และที่ยังคงวิ่งให้บริการอยู่จนถึงปัจจุบัน

    ย้อนรำลึกสู่ความหลังครั้งอดีต เสียงของรถไฟแบบเก่าๆ ควันที่พวยพุ่งจากหัวรถจักรรถไฟ พร้อมชมทัศนียภาพที่สุดแสนจะสวยงามทั้งของข้างทาง โดยรถไฟท่องเที่ยวขบวน SL Hitoyoshi ทำการเดินรถในเส้นทางระหว่างสถานี Kumamoto และสถานี Hitoyoshi บนเส้นทางรถไฟสาย JR Kagoshima Main และสาย JR Hisatsu โดยวิ่งไปกลับวันละ 1 รอบ

    สถานี Watari

    รถไฟท่องเที่ยว SL Hitoyoshi ตกแต่งในสไตล์วินเทจคลาสสิคที่จะพาคุณย้อนยุคกลับไป ให้ความรู้สึกถึงความคลาสสิค อบอวนไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งความอบอุ่น ภายในขบวนรถไฟใช้วัสดุไม้ ผ้าและเบาะหนัง

    สามารถเช็คตารางการวิ่ง เส้นทางและเที่ยวเวลาให้บริการได้จากที่นี่ >> https://www.jrkyushu.co.jp/english/booking/pdf/08SLhitoyoshi_180317.pdf

    แบ่งตู้รถไฟออกเป็น 3 โบกี้ โดยตู้ขบวนที่ 1 และ 3 ถูกเนรมิตให้เป็นส่วนของที่นั่ง มีเลานจ์สำหรับชมวิว ผู้โดยสารจะได้ชมทัศนียภาพตลอดสองข้างทางแบบพาโนรามาผ่านกระจกใสบานใหญ่

    เล้าจ์ชมวิวบริเวณตู้ขบวนที่ 1

    ตู้ขบวนถัดมาแบ่งเป็นที่นั่งและส่วนของตู้หนังสือนิทานสำหรับคุณหนูๆ

    ตู้ถัดมาจัดแสดงเป็น SL Museum พิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมๆ แสดงโมเดลของขบวนรถไฟรุ่นต่างๆ

    ใครที่นั่งรถแล้วรู้สึกหิว แนะนำให้เดินไปที่ ตู้โดยสารที่ 2 จะมีเค้าท์เตอร์อาหารและเครื่องดื่มไว้ให้บริการ

    เริ่มต้นด้วยเอกิเบน ข้าวกล่องแพ็คเกจสุดน่ารัก

    หน้าตาข้าวกล่อง น่าทานมั้ยครับ

    ล้างปากด้วยของหวาน ไอศกรีมรสเกาลัด

    หน้าตาน่าทานมั้ยครับ

    สำหรับนักสะสมโปสการ์ดห้ามพลาดครับ

    ภาพวาดน่ารักๆแผนที่เดินรถของรถไฟสายนี้

    ของที่ระลึกน่ารักๆสำหรับนักสะสม

    ที่นั่งในโบกี้รถไฟ

    เล้าจ์ชมวิวบริเวณโบกี้สุดท้ายของขบวน

    ระหว่างทางจะมีพนักงานคอยเดินเอาป้ายมาให้เราถ่ายภาพเป็นที่ระลึก

    รถไฟท่องเที่ยวขบวน SL Hitoyoshi จะวิ่งให้บริการเฉพาะในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ระหว่างเดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน รวมถึงช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของทุกปีเท่านั้น โดยผู้ที่ต้องการจะโดยสารรถไฟขบวนนี้ แนะนำให้เช็คตารางการเดินรถจากปฏิทินวันทำการล่วงหน้าก่อน อีกทั้งไม่ควรลืมจองตั๋วโดยสารแบบระบุที่นั่งล่วงหน้าด้วยเช่นกัน สามารถตรวจสอบรอบการเดินรถได้ที่นี่

  • วันที่ 4 ของการเดินทาง เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงสายๆของวัน โดยวันนี้ทั้งวันเราจะพาท่องเที่ยวกันในตัวเมืองของ จังหวัดคุมาโมโตะ โดยใช้บริการรถราง Kumamoto City Tram ราคารถรางจะเป็นราคาเหมาจ่าย สำหรับผู้ใหญ่เที่ยวละ 170 เยน เด็ก 90 เยน >> ข้อมูลเพิ่มเติม

    ลงที่สถานี Suizenji Park

    สำหรับใครที่เพิ่งมาถึงด้านหน้าสวน สามารถเช่าชุดกิโมโนและชุดยูกาตะ มาเดินเล่นถ่ายภาพในสวนได้อีกด้วย

    สวน Suizenji สวนสวยสไตล์ญี่ปุ่น ที่มีขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงอย่างมากของจังหวัดคุมาโมโตะ ถูกสร้างขึ้นในสมัยเอโดะ ช่วงศตวรรษที่ 17 โดยฮิโกะ โฮโซกาว่า และฮัตสึโยะ ทาดาโยชิ ผู้ก่อตั้งสวนแห่งนี้ขึ้น เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้ในช่วงยุคสมัยเมจิ

    โดยในสวนจะมีถนนให้เดินเป็นวงกลมรอบๆ สวน Suizenji สร้างขึ้นจำลองเส้นทางระหว่างโตเกียวไปยังเกียวโตผ่านเส้นทางสายโทไคโด ด้านในยังออกแบบให้มีสถานที่ต่างๆที่มีชื่อเสียงในประเทศญี่ปุ่น เช่น ภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบบิวะ นอกจากนี้ยังมีต้นซากุระมากกว่า 150 ต้นตามทางเดิน โดยเฉพาะช่วงเวลาใบไม้ผลิ ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลกันมาชมดอกซากุระบานในช่วงเวลานั้น และในวันที่อากาศดี นักท่องเที่ยวสามารถทดลองเข้าร่วมพิธีชงชาในแบบญี่ปุ่นโบราณได้

    ภูเขาไฟฟูจิจำลองในสวน Suizenji

    ศาลเจ้า Izumi ภายในสวน Suizenji สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาลเจ้าประจำตระกูลของฮิโกะ โฮโซกาว่า และฮัตสึโยะ ทาดาโยชิ ผู้ก่อตั้งสวน

    เสาโทริอิจำลอง

    ภายในสวนยังมีร้านน้ำชาไว้คอยให้บริการพร้อมนั่งชมวิวสวยๆของสวนแห่งนี้

    ภาพบรรยากาศแบบพาโนรามาจากร้านน้ำชา

    ระหว่างเดินเล่นในสวนเราจะเห็นคู่แต่งงานมาถึงภาพพรีเวดดิ้งในสวนหลายคู่

    สวน Suizenji Joju-en

    เวลาทำการ : ช่วงเดือนมีนาคม – เดือนพฤศจิกายน เวลา 07.30 – 18.00 น.
    ช่วงเดือนธันวาคม – เดือนกุมภาพันธ์ เวลา 08.30 – 17.00 น.
    วันหยุด : เปิดให้บริการทุกวัน
    ค่าเข้าชม : 400 เยน
    การเดินทาง : นั่งรถรางไปลงที่สถานี Suizenji Koen
    เว็บไซต์


    จากนั้นไปกันต่อยัง ปราสาทคุมาโมโตะ อย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมาจังหวัดคุมะโมโตะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากเหตุการณ์พิบัติภัยแผ่นดินไหว ทำให้เมืองนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะปราสาทคุมะโมโตะได้รับความเสียหายอย่างมาก ทำให้ต้องปิดตัวปราสาทเพื่อบูรณะฟื้นฟู แต่บริเวณโดยรอบยังสามารถเข้าไปได้ชมได้

    ภายในศาลเจ้า Kato

     

    สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะมาเที่ยวที่ปราสาทคุมาโมโตะ ขอประชาสัมพันธ์ว่ายังไม่สามารถเข้าไปในตัวปราสาทชั้นในได้ แต่สามารถเดินชมได้จากบริเวณรอบนอกคูน้ำภายในสวนสาธารณะรอบๆปราสาทและภายในศาลเจ้า Kato ซึ่งสามารถมองเห็นตัวปราสาทได้อย่างชัดเจนที่สุด

    หลายพื้นที่รอบๆตัวปราสาท ยังคงมีการปิดเพื่อรอการบูรณะโดยนี่เป็นภาพบางส่วนของความเสียหายที่เกิดขึ้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

    จะสังเกตได้จากตัวเลขที่ก้อนหิน เป็นวิธีการนำก้อนหินที่ทลายลงมา ทำบัญชีจัดเรียงเพื่อที่จะนำไปประกอบขึ้นในลักษณะเดิม

    ไม่ไกลกันจากตัวปราสาทเป็นที่ตั้งของ Sakura-no-baba Josaien อยู่บริเวณเชิงเขาของตัวปราสาทคุมาโมโตะ ศูนย์ช้อปปิ้งที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองที่ไม่เหมือนใคร ตกแต่งสไตล์ย้อนยุคเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศเมืองโบราณ จุดเด่นของที่นี่จะเป็นสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ของฝากต่างๆ และพิพิธภัณฑ์ Wakuwaku ที่บอกเล่าความเป็นมาของเมืองนี้

    จุดเด่นของที่นี่จะเป็นสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ ของฝากต่างๆ และพิพิธภัณฑ์ Wakuwaku ที่บอกเล่าความเป็นมาของเมืองนี้

    ไอศกรีมงาดำและน้ำเต้าหู้สด จากร้านขายผลิตภัณฑ์จากเต้าหู้ชื่อดังของเมือง


    สำหรับสายช้อปไม่ควรพลาด ย่านช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองคุมาโมโตะ ย่านการค้า Kamitori และ Shimotori หรือที่รู้จักกันในชื่อถนน Sun Road Shotengai แหล่งช้อปปิ้งใจกลางเมืองที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ร้านอาหารมากมาย

    กิจกรรมสุดท้ายของวัน มาถึงจังหวัดคุมาโมโตะแล้วทั้งที อย่าพลาดไปเยี่ยมชม ห้องทำงานของเจ้าคุมะมงที่ Kumamon Square มาสคอตน่ารักประจำจังหวัดคุมาโมโตะ ตั้งอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้า Tsuruya โดยคุมะมงจะออกมาพบปะแฟนๆ วันละ 2 รอบ คือเวลา 11.00 น. และเวลา 15.00 น. เท่านั้น

    ห้องทำงานของเจ้าคุมะมง

    ห้องทำงานของเจ้าคุมะมง Kumamon Square
    ที่อยู่: Tetoria Kumamoto Building 1F, 8-2 Tetorihoncho, Chuo-ku, Kumamoto City 860-0808
    เวลาทำการ : 10.00 – 19.00 น.
    วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
    ค่าเข้าชม : ไม่มีค่าใช้จ่าย
    วิธีการเดินทาง : สามารถนั่งรถรางประจำเมืองมามาลงที่สถานี Suidocho
    เว็บไซต์

  • AsoJRKyushuKamitoriKawasemiKumamotoKumamoto castleKyushuShimotoriSL HitoyoshiSuisenjiSun Road ShotengaiYamasemiการท่องเที่ยวคิวชูคิวชูคุมาโมโตะภูมิภาคคิวชูรถไฟคิวชูเที่ยวคิวชู