การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ หลักๆแล้วจะใช้พาสรถไฟ Kintetsu Rail Pass พาสนี้ใช้เที่ยวได้ 5 เมืองสำคัญ คือ โอซาก้า เกียวโต นารา มิเอะ และ นาโกย่า บินมาลงที่สนามบินคันไซ แต่ครั้งนี้จะไปตะลุยเมืองอื่นรอบนอกคันไซกันบ้าง โดยจะเน้นไปที่ จังหวัดมิเอะ (Mie) มุกเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจังหวัดใหญ่ รวมสิ่งที่เป็นที่สุดของญี่ปุ่นเอาไว้มากมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะไปเปิดประสบการ์ณใหม่ในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งต่อไป
โดยรีวิวก่อนหน้านี้ เราพาไปเที่ยวกันที่ เมืองอิงะ (Iga) เมืองแห่งนินจา และ เมืองอิเสะ (Ise) เมืองศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นศูนย์รวมศรัทธาของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ กันมาแล้ว คราวนี้จะพาไปเที่ยว เมืองโทบะ (Toba) ต้นกำเนิดของไข่มุกมิกิโมโตะ และ อามะซัง กันครับ
อ่านรีวิวก่อนหน้าที่นี่
ตอนแรก >> เที่ยวมิเอะจากโอซาก้าด้วย Kintetsu Rail Pass ตอน 1 : เมืองนินจา Iga-Ueno
ตอนสอง >> เที่ยวมิเอะจากโอซาก้าด้วย Kintetsu Rail Pass ตอน 2 : เมืองศักดิ์สิทธิ์ Ise
วิธีการเดินทาง ตั้งต้นจากสถานีของ Kintetsu ที่ สถานี Osaka-Uehommachi (ติดกับห้าง Kintetsu สาขา Uehommachi) ขึ้นรถไฟขบวน Limited Express วิ่งตรงมาลงที่สถานี Toba ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
เมืองโทบะ (Toba) ต้นกำเนิดของไข่มุกมิกิโมโตะ และ อามะซัง แห่งจังหวัดมิเอะ
เนื่องจากเราออกเดินทางจากเมืองอิเซะ และมาถึงเมืองโทบะในช่วงเย็น จึงพอมีเวลาเดินในตัวเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี บริเวณ หมู่บ้านโทบะไดโดโคโระ (Toba Daidokoro) ถือเป็นครัวของที่นี่ ชิมอาหารทะเลสดๆฝีมือของคุณแม่เจ้าของบ้าน ก่อนที่จะเข้าเช็คอินในโรงแรมที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง
สำหรับแผนเที่ยวในวันถัดไป จะเริ่มต้นเที่ยวกันที่ พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) ชมการจับหอยออยเสตอร์โดย อามะซัง และเที่ยว พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์ที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำไว้มากที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นเพียงแห่งเดียวที่อนุรักษ์พะยูนเอาไว้
ต่อจากนั้นไปทานอาหารกันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ทานมื้อเที่ยงเป็นอาหารทะเลสดๆ ที่ปรุงโดยอามะซังตัวจริงต่อจากนั้นจะข้ามไปยัง เขตชิมะ (Shima) เพื่อเดินขึ้นเขาไปชมวิว อ่าวอะโก (Ago Bay) และสิ้นสุดวันเข้าพักผ่อน แช่ออนเซ็นในโรงแรม
จากสถานี Kintetsu Toba เดินไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆได้สะดวก
บ้านพักในสไตล์ Guest house ที่นอนในบ้านของคุณแม่ชาวญี่ปุ่น สัมผัสวิถีของชาวโทบะอย่างแท้จริง
ภายในหมู่บ้าน เป็นที่อยู่อาศัยของชาวประมง และพ่อค้าอาหารทะเลสดมากมาย เป็นโอกาสอันดีที่เราสามารถเดินเที่ยวในตัวหมู่บ้าน วะชิมอาหารทะเลสดๆได้ โดยคำแนะนำของอาสาสมัครที่อยู่ในเมืองนี้นั่นเอง และมีบริการภาษาอังกฤษสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถแวะสอบถามข้อมูลได้ที่สมาคมท่องเที่ยว Kaitou Yumin Club (ติดต่อทางอีเมลได้ >> ที่นี่)
หอยซาซาเอะ หอยเป๋าฮื้อ แบบสดๆ หั่นเป็นซาชิมิให้ทานกันตรงนี้เลย
นอกจากนี้ยังมีร้านขายเครื่องประดับที่ทำจากไข่มุกชั้นดี ให้ได้เลือกซื้อเป็นของฝากในราคาย่อมเยาว์อีกด้วย
หลังจากเดินเล่นในหมู่บ้านเป็นที่เรียบร้อย ค่ำคืนนี้เรามาเช็คอินเข้าพักที่ Toba International Hotel โรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าเป้นโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง เปิดให้บริการมากว่า 50 ปีตั้งแต่ปีค.ศ.1964 ภายในมีห้องพักให้บริการหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งมหาสมุทร (Ocean Wing) หรือฝั่งท่าเรือ (Harbour Wing) รวมถึงห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น ดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> TOBA HOTEL
วิวยามเย็น
บรรยากาศภายในห้อง มองเห็นวิวอ่าว
ห้องพักที่ได้ในคืนนี้เป้นแบบ Habour View Twin Room สนนราคาเริ่มต้นคืนละ 18,000 เยน >> จองที่นี่
วิวท่าเรือจากหน้าต่างห้อง
มีห้องน้ำส่วนตัว พร้อมเครื่องอาบน้ำจาก Mikimoto
ชุดอาหารไคเซกิของทางโรงแรม แน่นอนว่าต้องมีเสิร์ฟเมนูอิเซะเอบิ หรือล็อบเสตอร์นั่นเอง
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาแช่ออนเซ็นกลางแจ้งผ่อนคลายสบายอารมณ์
ร้านค้าของทางโรงแรม เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Mikimoto อีกด้วย ซึ่งหาได้ยากมาก
อากาตอนเช้า ฟ้าใส เหมาะกับการเที่ยวเมืองริมทะเลเป็นอย่างดี
เช้าวันถัดมา เริ่มต้นเที่ยวกันที่ พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Island) มีจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ไข่มุก ที่อธิบายและสาธิตวิธีการเลี้ยงหอยมุก ที่ถูกคิดค้นและทำให้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์โดย Kokichi Mikimoto ในปีค.ศ. 1893
นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว ยังสามารถชมการจับหอยออยสเตอร์โดย อามะซัง หรือสาวนักดำน้ำ ที่ฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าอามะซังมีอายุตั้งแต่ สาวรุ่น 20 กว่า จนไปถึงรุ่นอาม่าอายุ 80 เลยทีเดียว
ระดับความละเอียดของไข่มุก ยิ่งมีผิวสีที่เรียบเนียนมาก ราคายิ่งสูง
พิพิธภัณฑ์ไข่มุกมิกิโมโตะ (Mikimoto Pearl Museum) จัดแสดงผลงานที่สร้างสรรค์จาก ไข่มุกชั้นเลิศที่ถูกคัดเลือกอย่างปราณีต นำมาใช้ประดับเป็นผลงานอันทรงคุณค่า ที่ประเมินราคาไม่ได้ เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> MIKIMOTO
ลูกโลกไข่มุกทองคำ มุมประเทศไทย
และเดินต่อมาอีกไม่ไกล จะพบกับ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโทบะ (Toba Aquarium) พิพิธภัณฑ์ที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำไว้มากที่สุดในญี่ปุ่น กว่า 1,000 ชนิด และเป็นเพียงแห่งเดียวที่อนุรักษ์พะยูนเอาไว้
ภายในพิพิธภัณฑ์ แบ่งเป็นโซนให้เดินเที่ยวทั้งหมด 12 โซน เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> TOBA AQUARIUM
แนะนำว่าต้องมาดูโชว์วอลรัส ช่างน่ารักและแสนรู้ เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดโชว์
ชมลูกโลมาตัวน้อย ที่เพิ่งเกิดใหม่ได้เพียง 1 เดือน นอกจากนี้ยังมีโชว์ที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พาเหรดเพนกวิน โชว์สิงโตทะเล
ร้านขายของที่ระลึกภายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
ต่อจากนั้นไปทานอาหารกันที่ กระท่อมของอามะซัง (Amasankoya) ที่ชื่อว่า Hachiman Kamado ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Osatsu ห่างจากสถานี Toba ประมาณครึ่งชั่วโมง ต้องเดินทางด้วยแท๊กซี่ รถยนต์ส่วนตัว หรือ ซื้อทัวร์มาลง
โดยอามะซังตัวจริง จะนำอาหารทะเลสดๆ ไม่ว่าจะเป็น หอยอาซาริ หรือ กุ้งลอบสเตอร์ มาย่างให้เราทานกันแบบสดๆ แถมมีชุดอามะซังให้แต่งคอสเพลย์ และร่วมเต้นรำด้วยกันอีกด้วย สนนราคาต่อคอร์สเริ่มต้นที่ 3,780 เยน ดูรายละเอียดที่นี่ >> AMAYOKA (มีล่ามแปลภาษาอังกฤษ และมีโบรชัวร์ภาษาไทยด้วย)
ต่อจากนั้น เราจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ที่ว่าเป็น Power spot ประจำหมู่บ้านแห่งนี้ ระหว่างทางจะเห้นมีซุ้มขายสาหร่ายวางไว้แบบนี้ตลอดทาง แต่ไม่มีคนเฝ้าร้าน มีเพียงกระป๋องใส่เงิน ถ้าใครสนใจจะซื้อก็แค่เลือกหยิบซองที่ถูกใจ และใส่เงินลงไปเท่านั้นเอง คนญี่ปุ่นนี่เค้าซื่อสัตย์กันมากๆเลยนะครับ
หมู่บ้านเล็กๆ สงบเงียบ แฝงไว้ด้วยเสน่ห์ ที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่
มีร้านคาเฟ่ให้บริการในบ้านแบบโบราณ
ศาลเจ้าอิชิคะมิซัง (Ishigami-san) เป็นศาลเจ้าขนาดเล้กที่ตั้งอยู่ทางเข้าก่อนเดินเข้าไปยังศาลเจ้าหลัก เป้นที่สถิตของเจ้าหญิงทามาโยริ ที่ชาวบ้านนับถือ เชื่อว่าเป็นสถานที่ขอพรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะทำให้คำอธิษฐานของหญิงสาวเป็นจริง
ศาลเจ้าหลัก ศาลเจ้าชิมเม (Shimmei-jinja)
อุทยานแห่งชาติอิเซะชิมะ (Ise-Shima National Park) สามารถเดินขึ้นไปยังจุดชมวิวโยโคยะมะ (Yokoyama Observatory) เพื่อชมวิวอ่าวอะโกะ (Ago Bay) จากมุมสูงได้ สามารถแวะขอข้อมูลได้จากศูนย์นักท่องเที่ยวด้านล่าง เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> ISE-SHIMA
**ชื่อ Ise-Shima ไม่ได้หมายความรวมกันว่าเกาะอิเซะ เป็นชื่อเรียกของ 2 ส่วนในจังหวัดมิเอะ คือ อิเซะ (Ise) และ ชิมะ (Shima) และเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีการจัดงานประชุดสุดยอดผู้นำ G7 Ise-Shima Summit เมื่อเดือนเมษายน ปีค.ศ.2016 ที่ผ่านมานี้เอง
บริเวณอุทยานแห่งชาติอิเซะชิมะ (Ise-Shima National Park) ค่อนข้างกว้าง การเดินให้ทั่วทั้งอุทยาน ต้องใช้เวลาเป็นวัน แต่ถ้าจะขึ้นไปชมวิว ใช้เวลาเดินแค่ 10-15 นาทีก็จะถึงจุดชมวิวแล้ว เเละเนื่องจากเป็นการเดินขึ้นเนินเขา ทำให้ต้องออกแรงเล็กน้อย
วิวอ่าวอะโกะ (Ago Bay)
คืนนี้เราเข้าพักกันที่โรงแรม Hotel Kintetsu Aquavilla Ise-Shima เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> AQUAVILLA
และขอปิดท้ายรีวิวนี้ไปด้วยภาพสวยๆจากริมชายหาดแถวโรงแรมครับ พบกันใหม่ในตอนนี้ จะพาไปเที่ยว Nagashima กัน