อีกหนึ่งภูมิภาคที่เป็นที่รู้จักคุ้นชินในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย นอกจากภูมิภาคคันโตแล้ว ภูมิภาคคันไซก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจนิยมเดินทางกันมากมาย ที่สามารถพ่วงเที่ยวจังหวัดมิเอะ เข้าไปได้ด้วย Kintetsu Rail Pass สามารถตั้งต้นจากตัวเมืองโอซาก้า และนาระ
การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ หลักๆแล้วจะใช้พาสรถไฟ Kintetsu Rail Pass Plus ตั๋วเดินทางสุดประหยัด ใช้เที่ยวได้ 5 เมือง ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ โอซาก้า เกียวโต นารา มิเอะ และ นาโกย่า
ตั๋วเดินทางที่สามารถใช้ขึ้นลงรถไฟฟ้าในพื้นที่ให้บริการของรถไฟฟ้าสายคินเท็ตสึ, รถไฟสายอิกะ, รถบัสนาราโคซึ (Nara Kotsu Bus), รถบัสมิเอะโคซึ (Mie Kotsu Bus) และรถบัสโทบะชิคาโมเมะ (Toba Shikamome Bus) รวมถึงสิทธิพิเศษจากสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ได้อย่างไม่จำกัดเป็นเวลา 5 วัน
ดูข้อมูลเพิ่มเติม Kintetsu Rail Pass ได้ >> ที่นี่
แผนที่ให้บริการของสายรถไฟฟ้า Kintetsu
ราคาสำหรับตั๋ว Kintetsu Rail Pass แบบใช้ได้ไม่จำกัดเป็นเวลา 5 วัน
ราคาจำหน่ายภายนอกประเทศญี่ปุ่น ~ ผู้ใหญ่: 4,800 เยนและเด็ก: 2,400 เยน
ราคาจำหน่ายภายในประเทศญี่ปุ่น ~ ผู้ใหญ่: 5,000 เยนและเด็ก: 2,500 เยน
**หมายเหตุ** ผู้ใหญ่: อายุ 12 ปีขึ้นไป / เด็ก: อายุ 6 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 12 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ไม่เสียค่าใช้จ่าย
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก >> เว็บไซต์
ตั้งต้นการเดินทาง บินมาลงที่สนามบินคันไซ แต่ครั้งนี้จะไปตะลุยเมืองอื่นรอบนอกคันไซกันบ้าง โดยจะเน้นไปที่ จังหวัดมิเอะ (Mie) และ จังหวัดนาระ (Nara) มุกเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจังหวัดใหญ่ รวมสิ่งที่เป็นที่สุดของญี่ปุ่นเอาไว้มากมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะไปเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งต่อไป
เริ่มต้นสถานที่แรกของวันนี้ ใครที่มาท่องเที่ยวแถบคันไซช่วงนี้แนะนำว่าห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด ไปกันที่จังหวัดมิเอะ ชมเทศกาลแสดงแสง สี เสียง สุดอลังการของงานเทศกาลประดับไฟฤดูหนาว Nabana no sato Winter Illumination เมื่อตะวันลับฟ้าจะเป็นช่วงเวลาของงานประดับไฟฤดูหนาวที่ที่ยิ่งใหญ่ติดอันดับ 1 ของญี่ปุ่น
อุโมงค์ไฟทางช้างเผือก
สวนดอกไม้นะบะนะโนะซะโตะ (Nabana no Sato) ตั้งอยู่ที่เมือง Kuwana จังหวัด Mie (ติดกับจังหวัด Nagoya) เป็นส่วนหนึ่งของธีมปาร์ค Nagashima Resort สามารถสนุกกับเครื่องเล่นและชมความสวยงามของทุ่งดอกไม้ในช่วงกลางวัน
เรานั่งรถไฟมาลงที่สถานี Kintetsu Nagashima Station
จากนั้นออกจากสถานีแล้วเดินมาด้านหลังสถานีจะพบกับป้ายจอดรถบัส
ป้ายหน้ารถบัสประจำทางจะเขียนว่า Nabana No Sato ก็เตรียมขึ้นรถไปได้เลยครับ
รอบนี้มาถึงกันตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ไปซื้อตั๋วเข้ากันเลยครับ
ค่าเข้าชม 2,300 เยน (รวมค่าคูปองใช้ภายในงาน มูลค่า 1,000 เยน) สามารถนำไปใช้ซื้อของและบริการภายในตีมพาร์คได้เลย
ตีมงานประดับไฟฤดูหนาวปีนี้ มาในตีม JAPAN !!
สำหรับใครที่มีกระเป๋ามาไม่อยากให้เกะกะ ที่นี่ก็มีตู้ล้อกเกอร์รับฝากกระเป๋า อยู่บริเวณข้างในหลังจากเดินผ่านประตูเข้ามา
ใครที่มาช่วงบ่ายๆแบบเราแนะนำให้ไปเดินชมสวนดอกไม้สวยๆกันก่อน เพราะสวนดอกไม้จะปิดเวลา 16.00 น.
และอีกหนึ่งสถานที่ที่จะพลาดไม่ได้เมื่อเดินทางมาที่นี่ นั่นก็คือสวนเรือนกระจกส่วนโดมที่จัดแสดงพันธุ์ไม้ต่างที่ Andes Flower Garden โดยเฉพาะดอก Begonia ที่นำมาจัดแสดงมากกว่า 12,000 ต้น โดยต้องเสียค่าเข้าชม 1000 เยน
จากนั้นช่วงค่ำของทุกวันจะมีการประดับไฟอย่างสวยงามในธีมต่างๆ หลากหลายโซน ซึ่งในรอบปีนี้ 2018 ถึงปี 2019 นี้ จะนำเสนอความเป็นญี่ปุ่นในธีม JAPAN! จัดแสดงเป็นเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นผ่านหลอดไฟ LED นับล้านดวง ในบรรยากาศสุดแสนโรแมนติก โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ตุลาคม 2018 – 6 พฤษภาคม 2019
นำเสนอในธีม JAPAN! จัดแสดงเป็นเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นโดยใช้ภูเขาไฟฟูจิเป็นแกนหลักของเรื่องราวที่จะถ่ายทอด
อุโมงค์ลาเวนเดอร์
อุโมงค์ไฟทางช้างเผือก สัญลักษณ์ของงานเทศกาลประดับไฟฤดูหนาว Nabana no sato Winter Illumination
บรรยากาศการประดับไฟรอบๆสวน
สวนดอกไม้นะบะนะโนะซะโตะ (Nabana no Sato)
- เวลาทำการ : 09.00 – 21.00 น.ในวันธรรมดาและ 09.00 – 22.00 น.ในวันหยุด
- วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
- ค่าใช้จ่าย : ค่าเข้าชม 2,300 เยน (รวมค่าคูปองใช้ภายในงาน มูลค่า 1,000 เยน)
- วิธีการเดินทาง : สามารถตั้งต้นที่ สถานี Nagoya นั่งรถไฟสาย Kintetsu มาลงที่สถานี Kuwana หรือสถานี Kintetsu-Nagashima แล้วขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไป Nagashima Onsen มาลงที่ป้าย Nabana no Sato
- เว็บไซต์ : http://www.nagashimaresort.jp/nabana/index.html
เช้าวันรุ่งขึ้นเรายังคงพาเที่ยวกันอยู่ใน จังหวัดมิเอะ เริ่มต้นด้วยการไปล่องเรือสำราญ Kashikojima Espana Cruise
นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Kintetsu – Kashikojima
สามารถซื้อตั๋วขึ้นเรือได้จากร้านสะดวกซื้อภายในสถานีรถไฟได้เลย
หลังจากซื้อตั๋วเรียบร้อยก็เดินลงมาจากสถานีตามป้าย
หรือจะมาซื้อตั๋วที่ออฟฟิศก็ได้
เตรียมตัวไปขึ้นเรือกันครับ
เรือสำราญ Kashikojima Espana Cruise เป็นเรือสำราญขนาดใหญ่ 3 ชั้น สร้างเลียนแบบเรือคาร์แร็ค (Carrack) ย้อนไปในยุคแห่งการสำรวจทางทะเลล่าอาณานิคมของสเปน รองรับผู้โดยสารได้ถึง 250 คน ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ในการล่องชมทัศนียภาพสวยๆของอ่าว Ago
ภายในเรือมีโซนคาเฟ่ สามารถซื้อเครื่องดื่มบนเรือได้
ส่วนเราขึ้นมาชมวิวบนดาดฟ้าเรือ
บรรยากาศของอ่าวอะโก
ล่องเรือสำราญ Kashikojima Espana Cruise
- เวลาทำการ : 09:30 – 16:30 น. (เรือออกทุก 1 ชั่วโมง) / ใช้เวลาประมาณ 50 นาที
เรือเที่ยว 12:30 น. จะให้บริการเดินเรือเฉพาะในวันเสาร์อาทิตย์ วันหยุดราชการ และในวันที่มีผู้โดยสารจำนวนมากเท่านั้น
เรือเที่ยว 16:30 น. จะให้บริการเดินเรือเฉพาะระหว่างวันที่ 21 มีนาคม – 31 ตุลาคมเท่านั้น - วันหยุด : หยุดให้บริการเดินเรือเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ในช่วงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ของทุกปี เพื่อทำการตรวจเช็คสภาพเรือ Esperanza
- ค่าใช้จ่าย : ผู้ใหญ่ (มัธยมต้นขึ้นไป) 1,600 เยน / เด็ก (ประถม) 800 เยน
- วิธีการเดินทาง : จากสถานี Namba โดยสารรถไฟ Kintetsu Premium Express Shimakaze ไปลงที่สถานี Kashikojima ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 22 นาที จากนั้นเดิน 3 นาที
- เว็บไซต์ : http://shima-marineleisure.com/manage/wp-content/themes/shima-marine/images/side/eng_ago.pdf
จากนั้นเดินทางไปยัง จุดชมวิวโยโคยะมะ (Yokoyama) ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติอิเสะ-ชิมะ จิบกาแฟชมวิวมุมสูงล้อมรอบด้วยอ่าว Ago และมหาสมุทรแปซิฟิกบนภูเขาที่ระดับความสูง 203 เมตร จากมุมสูงได้ สามารถแวะขอข้อมูลได้จากศูนย์นักท่องเที่ยวด้านล่าง เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> ISE-SHIMA
ด้านล่างของจุดชมวิวเป็นที่ตั้งของศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว Yokoyama Visitor Center จัดแสดงข้อมูลต่างๆที่น่าสนใจ นิทรรศการภาพถ่าย
**ชื่อ Ise-Shima ไม่ได้หมายความรวมกันว่าเกาะอิเซะ เป็นชื่อเรียกของ 2 ส่วนในจังหวัดมิเอะ คือ อิเซะ (Ise) และ ชิมะ (Shima) และเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อมีการจัดงานประชุดสุดยอดผู้นำ G7 Ise-Shima Summit เมื่อเดือนเมษายน ปีค.ศ. 2016 ที่ผ่านมานี้เอง
บริเวณอุทยานแห่งชาติอิเซะชิมะ (Ise-Shima National Park) ค่อนข้างกว้าง การเดินให้ทั่วทั้งอุทยาน ต้องใช้เวลาเป็นวัน แต่ถ้าจะขึ้นไปชมวิว ใช้เวลาเดินแค่ 10-15 นาทีก็จะถึงจุดชมวิวแล้ว เเละเนื่องจากเป็นการเดินขึ้นเนินเขา ทำให้ต้องออกแรงเล็กน้อย
ทัศนียภาพล้อมรอบด้วยอ่าวอะโกะ (Ago Bay) อยู่ทางตอนใต้, มหาสมุทรแปซิฟิกทางทิศตะวันออกและติดกับแนวภูเขาคิอิทางทิศตะวันตก นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพโดยรอบของอ่าวอะโกะได้จากจุดชมวิวแห่งนี้
วิวอ่าวอะโกะ (Ago Bay)
เดินขึ้นมาเหนื่อยๆสามารถมานั่งจิบกาแฟร้อนๆชมวิวสวยๆที่คาเฟ่ด้านบนจุดชมวิว
หรือจะทานซอฟท์ครีมก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
จุดชมวิวโยโคยะมะ (Yokoyama) และศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว Yokoyama Visitor Center
- เวลาทำการ : 09.00 น. – 16.30 น.
- วันหยุด : ศูนย์ให้บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว Yokoyama Visitor Center ปิ
ดทุกวันอังคารและวันที่ 1
มกราคม
- ค่าใช้จ่าย : ไม่มีค่าเข้าชม
- วิธีการเดินทาง : แนะนำให้เช่ารถขับจะสะดวกกว่าการเดินทางด้วยรถไฟ โดยใช้บริการทางด่วนสายอิเสะ (Ise Expressway) จากนั้นแยกมาตามทางแยก อิเสะ-นิชิ (Ise-Nishi Interchange) มีที่จอดรถให้บริการฟรี สำหรับใครที่ไม่สะดวกเช่ารถขับสามารถเดินทางมาได้อีกหนึ่งวิธีคือ จากสถานีรถไฟชิมะ – โยะโกะยะมะ (Shima-Yokoyama) ของรถไฟสายคินเท็ตสึ (Kintetsu Line) ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 45 นาที
- เว็บไซต์ : http://chubu.env.go.jp/nature/yokoyama/english_home/
ไม่พลาดเมื่อมาเยือน เมืองอิเสะ คือการไปสักการะ ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ศาลเจ้าชินโตที่ถือว่ามีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า “สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้ให้ได้”
อิเสะ (Ise) ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะ (Mie) มีชื่อเรียกเดิมว่า อุจิยะมะดะ (Ujiyamada) เป็นเมืองเล็กที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญทางศาสนา เนื่องจากเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าหลักที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น และเป็นเมืองหลักในการเดินทางมาแสวงบุญของผู้เลื่อมใสในศาสนามาช้านาน และเดิมศาลเจ้าหลักทั้งสอง มีชื่อเรียกดังนี้ ศาลเจ้า คือ Uji ศาลเจ้านอก คือ Yamada จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกเมืองนี้ในอดีตนั่นเอง
ถนนสายหลักตรงข้ามสถานี
เมืองอิเสะ มีศาลเจ้าชินโตอยู่แห่งหนึ่งที่เลื่องชื่อด้านของความศักดิ์สิทธิ์ มีชื่อว่า ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Shrine) ชาวญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับศาลเจ้าแห่งนี้มาก ถึงขนาดเรียกด้วยคำว่า จิงงู (Jingu) ที่มีความหมายตรงตัวว่า ศาลเจ้า ใช้แทนชื่อเรียกศาลเจ้าอิเสะได้เลย ทุกปีจะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลมากถึง 7 ล้านคน
ศาลเจ้าอิเสะ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักคือ ศาลเจ้าใน เรียกว่า ไนคุ (Naiku) และศาลเจ้านอก เรียกว่า เกะคุ (Geku) มีประวัติอันยาวนานกว่า 2,000 ปี และเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในญี่ปุ่น
ศาลเจ้านอก (Geku) มีชื่อย่างเป็นทางการว่า โทโยเกะไดจิงงุ (Toyoukedai Jingu) สร้างขึ้นราวปี ค.ศ.478 เป็นที่สถิตของเทพเจ้าโทโยอุเกะโอมิคะมิ (Toyouke Omikami) เทพที่คอยดูแลและถวายอาหารศักดิ์สิทธิ์ให้กับเทพแห่งดวงอาทิตย์ ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าแห่งพิธีกรรม ในแต่ละปีจะมีงานพิธีกรรมมากมายนับไม่ถ้วน และมีงานเทศกาลเซ็งงุ (Sengu) ซึ่งเป็นเทศกาลที่จัดร่วมกับพิธีกรรมทางศาสนาที่เรียกว่า ชิคิเน็นเซ็งงุ (Shikinen Sengu) หรือพิธีอัญเชิญเทพเจ้าไปสถิตย์ยังศาลแห่งใหม่ โดยจะมีการจัดขึ้นทุก 20 ปี ซึ่งครั้งต่อไปจะจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 63 ในปี ค.ศ. 2033
วิธีการเดินทาง จากสถานี Iseshi เดินประมาณ 10 นาที
ศาลเจ้าใน (Naiku) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า คะไทจิงงุ (Katai Jingu) สร้างขึ้นเมื่อราว 4 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นที่สถิตของเทพสูงสุดของญี่ปุ่นคือ เทพแห่งดวงอาทิตย์ นามว่า อะมะเทระสุโอมิคะมิ (Amaterasu Omikami) เทพเจ้าที่คอยปกปักษ์คุ้มครองชาวญี่ปุ่นให้แคล้วคลาดปลอดภัยและร่มเย็น นับตั้งแต่อดีตกาล จุดเด่นของศาลเจ้าแห่งนี้คือ สะพานไม้อุจิบะชิ (Uji-bashi) ข้ามแม่น้ำอิซุซู (Isuzu River) มีความยาว 100 เมตร เป็นสะพานที่มีความสำคัญ เนื่องจากมีความเชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ศาลเจ้าดังๆส่วนใหญ่ จะมีจุดสำหรับวางโอ่งไม้สำหรับบรรจุสาเกจากห้างร้านต่างๆเพื่อนำมาสักการะเทพเจ้า
บริเวณอุทยานด้านในเข้าสู่ตัวศาลเจ้า ใบไม้เปลี่ยนสียังคงชมได้อยู่ในช่วงปลายเดือนพ.ย.
เดินทางมาถึงศาลเจ้าหลักด้านใน เมื่อเดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าสู่ที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแล้ว ทางศาลเจ้าไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพด้านใน
ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu)
- เวลาทำการ : 05.00 น. – 18.00 น. (ช่วงเดือน
มี.ค.-
เม.ย. และ
ก.ย.-ต.ค.
)
04.00 น. – 19.00 น. (ช่วงเดือน
พ.ค.
-ส.ค.
)
05.00 น. – 17.00 น. (ช่วงเดือน
พ.ย.-ธ.ค.
)
05.00 น. – 17.30 น. (ช่วงเดือน
ม.ค.-ก.พ.
)
- วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
- ค่าใช้จ่าย : เข้าชมฟรี
- วิธีการเดินทาง : จากสถานี Iseshi หรือ ศาลเจ้านอก นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Ise Jingu (Naiku) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และเดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
- เว็บไซต์ : http://www.isejingu.or.jp/en/index.html
ข้ามถนนไปเพียงไม่กี่ก้าวเป็นที่ตั้งของ ย่านการค้า โอฮาไรมะจิ (Oharaimachi) เป็นย่านเมืองเก่า หรือที่เรียกกันว่า เอโดะน้อย (Little Edo) บรรยากาศของอาคารบ้านเรือนสมัยก่อนถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ยังคงโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ กลายเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและ ร้านอาหารประจำเมืองมากมาย แนะนำให้ลองชิม อิเสะอุด้ง (Ise Udon) อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้
อิเสะอุด้ง (Ise Udon) อาหารขึ้นชื่อของเมืองนี้
เดินเข้ามาด้านในจะพบกับตรอกโอคะเกะโยโคะโจ (Okage-yokocho) มีการแสดงพื้นเมืองให้ชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีร้านค้ากระจายตัวอยู่รอบๆ ตรงข้ามกับทางเข้าตรอกจะมีทางเดินเล็กๆ ไปยังลำธารที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งมีซากุระอวดในช่วงฤดูใบไม้ผลิให้ชม
เรามาสะดุดกันที่ร้านซอฟท์ครีมร้านนี้ ที่ทำมาจากเต้าหู้ หอมอร่อยและไม่หวานมาก กำลังดี
และร้านคั้นน้ำผลไม้สดจากผล มีส้มและเกรปฟรุตให้เลือกชิม
อีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่อยากให้พลาด ภูเขา Gozaisho เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองนาโงยะมากที่สุด ที่นี่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของการเป็นลานสกีหิมะประจำเมือง สำหรับใครที่อยากมาเล่นหิมะบนภูเขาแห่งนี้ขอแนะนำให้มาในช่วงฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ อันที่จริงภูเขา Gozaisho นั้นสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ทั้งปี โดยนักท่องเที่ยวจะได้พบความงดงามของภูเขาแห่งนี้ที่สวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล
เราเดินทางมาลงที่สถานี Kintetsu – Yunoyama Onsen
ตั๋ววันเดย์พาสที่สามารถใช้โดยสารรถประจำทางได้แบบไม่จำกัด
นั่งรถบัส Mie-Kotsu Bus ประมาณ 10 นาทีมาลงที่ป้ายรถบัส Sanko Yunoyama-Onsen Bus Stop แล้วเดินต่อมาอีก 10 นาที
นั่งรถบัสมาถึงจุดขึ้นกระเช้า Gozaisho Ropeway
วิธีการเดินทางขึ้นไปบนยอดเขา Gozisho นั้นนอกจากวิธีการเดิน Trekking ขึ้นไปยังยอดเขาแล้ว สามารถโดยสารกระเช้า Ropeway ขึ้นไปยังด้านบน กระเช้าที่จะพาเราขึ้นสู่ยอดเขาเป็นระยะทางกว่า 1,212 เมตร เหนือจากระดับน้ำทะเลในเวลาเพียง 12 นาที
บรรยากาศความสวยงามระหว่างขึ้นกระเช้า Gozaisho Ropeway
ด้านบนยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า Ontake Shrine
สามารถขึ้นไปชมวิวบนจุด Summit of Mt.Gozaisho
ภูเขา Gozaisho และกระเช้า Gozaisho Ropeway
- เวลาทำการ : ช่วงเดือนเมษายน-พฤศจิกายน : เวลา 09.00-17.00 น. / ช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม : เวลา 09.00-16.00 น.
- ค่าโดยสารกระเช้าไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 2,400 เยน, เด็ก 1,200 เยน / ค่าโดยสารกระเช้าเที่ยวเดียว : ผู้ใหญ่ 1,300 เยน, เด็ก 650 เยน / Ropeway Sta. – Summit Sta. ไป-กลับ : ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก 300 เยน
- วิธีการเดินทาง : โดยสารรถไฟสาย Kintetsu-Yunoyama มาลงสถานี Yunoyamaonsen แล้วนั่งรถบัส Mie-Kotsu Bus ประมาณ 10 นาทีมาลงที่ป้ายรถบัส Sanko Yunoyama-Onsen Bus Stop แล้วเดินต่อมาอีก 10 นาที
- เว็บไซต์ : http://www.gozaisho.co.jp/en/
เดินทางสู่เมืองนาระ โดยมาลงที่สถานี Kintetsu Nara
เดินขึ้นมาจากสถานีจะพบกับศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว Tourist Information Center
จุดหมายของเราในวันนี้คือการไปสักการะองค์พระพุทธไดบุทสึองค์ใหญ่ ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ภายในอาคารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกที่ วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
ระหว่างทางเดินไปที่วัดจะพบกับเจ้ากวางมากมาย
ซุ้มประตูวัดขนาดใหญ่มหึมา
เดินเข้ามาเรื่อยๆจะพบกับซุ้มประตูวัดชั้นใน หากชมบริเวณนี้จะไม่มีค่าเข้าชม
ส่วนเรามาถึงแล้วต้องเข้าไปชมด้านใน
วัดโทไดจิ (Todai-ji Temple) ตั้งอยู่ในจังหวัดนาระ เป็นวัดหลักของนิกายเคกอน มีชื่อทางการว่า Kinkomyoshiteno Gokokuno-teraลักษณะเด่นของวัดโทไดจินั้น ประกอบด้วยประตูวัดที่มีใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น พระพุทธรูปต่างๆตลอดจนวิหารนิงัตสึโดะ (Nigatsu-do) เวทีสำหรับการกิจกรรมโอมิสุโทะริ (Omizutori) วิหารที่มีพระประธานที่มีความสูงถึง 14.7 เมตร (พระพุทธรูปโทไดจิรุชะนะบัตซึโสะ) หรือว่าจะเป็นอาคารที่ทำจากไม้ ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความกว้าง 57.7 เมตร ลึก 50.5 เมตร และสูง 49.1 เมตร อีกทั้งภายในอาคารไม้ยังมีเสาขนาดใหญ่ ที่มีความเชื่อกันว่าผู้ที่สามารถเอาตัวลอดผ่านได้จะพบกับความโชคดี
องค์พระประธานด้านในหรือที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยว่า “หลวงพ่อโตแห่งวัดโทไดจิ”
นอกจากหลวงพ่อโตยังมีพระประธานรอง
เสาไม้ขนาดใหญ่ ที่มีความเชื่อกันว่าผู้ที่สามารถเอาตัวลอดผ่านได้จะพบกับความโชคดี
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple)
- เวลาทำการ : ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เปิดเวลา 08.00 – 16.00 น. / ช่วงเดือนมีนาคมเปิดเวลา 08.00 – 17.00 น. / ช่วงเดือนเมษายนถึงกันยายน เปิดเวลา 07.30 – 17.30 น. / ช่วงเดือนตุลาคม เปิดเวลา 07.30 – 17.00 น.
- วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
- ค่าใช้จ่าย : ค่าเข้าชมเฉพาะวิหารหลวงพ่อโตไดบุทสึ ผู้ใหญ่ 600 เยน / เด็ก 300 เยน / ค่าเข้าชมวิหารหลวงพ่อโตไดบุทสึและค่าเข้าพิพิธภัณฑ์วัดโทไดจิ ผู้ใหญ่ 1000 เยน / เด็ก 400 เยน
- วิธีการเดินทาง : จากสถานีรถไฟ Kintetsu Nara เดิน 20 นาที
- เว็บไซต์ : http://www.todaiji.or.jp/english/index.html
บริเวณติดๆกันยังเป็นที่ตั้งของ สวนนาระ (Nara Park) เดินเล่นชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมให้อาหารเจ้ากวาง