การเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ หลักๆแล้วจะใช้พาสรถไฟ Kintetsu Rail Pass พาสนี้ใช้เที่ยวได้ 5 เมืองสำคัญ คือ โอซาก้า เกียวโต นารา มิเอะ และ นาโกย่า บินมาลงที่สนามบินคันไซ แต่ครั้งนี้จะไปตะลุยเมืองอื่นรอบนอกคันไซกันบ้าง โดยจะเน้นไปที่จังหวัดมิเอะ มุกเม็ดงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางจังหวัดใหญ่ รวมสิ่งที่เป็นที่สุดของญี่ปุ่นเอาไว้มากมาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะไปเปิดประสบการ์ณใหม่ในการเดินทางเยือนญี่ปุ่นครั้งต่อไป
โดยเมืองแรกที่อยู่ในแผนการเดินทางคือ เมืองอิงะ (Iga) หรือ อิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno) จังหวัดมิเอะ (Mie) สำหรับใครที่เคยอ่านการ์ตูน หรือดูละครญี่ปุ่นกันมาบ้าง จะต้องคุ้นชื่อกับนินจาตระกูลอิงะ (Igaryu) กันเป็นอย่างดี อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักชื่อของนินจาฮัตโตริกันแน่ๆ
วิธีการเดินทาง ตั้งต้นจากสถานีของ Kintetsu ที่ สถานี Osaka-Uehommachi (ติดกับห้าง Kintetsu สาขา Uehommachi) ขึ้นรถไฟขบวน Limited Express มาลงที่สถานี Igakambe จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟสาย Iga Railway มาลงที่สถานี Uenoshi ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที และเดินต่ออีก 5 นาที
หน้าตาของ Kintetsu Rail Pass ที่จะพาเราไปตะลุยกันตลอดทริปนี้
ขบวนรถไฟ Kintetsu Limited Express วิ่งไปไกลถึงสถานีสุดท้ายที่ Toba เลย
รถไฟของ Kintetsu ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้ใช้หนาแน่นเหมือนของ JR แต่ด้วยความสะดวกของการเดินทางข้ามไปยังจังหวัดมิเอะ ชาวญี่ปุ่นมักจะเลือกใช้บริการของ Kintetsu เป็นหลัก เพราะเป็นรถไฟสายเดียวที่วิ่งตรง และมีจุดจอดมากมายตามหัวเมืองหลักต่างๆ อาทิ Iga, Ise, Toba เป็นต้น ที่สำคัญราคาเป็นมิตรอีกด้วย และหากจำเป็นต้องขึ้นขบวนด่วนพิเศษ จะต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้าก่อนขึ้นเสมอครับ
และตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2016 เป็นต้นไป Kintetsu Rail Pass จะลดเหลือ 3,600 เยน ส่วน Kintetsu Rail Pass Wide จะเปลี่ยนชื่อเป็น Plus และลดราคาเหลือ 4,800 เยน (แต่ไม่รวมการเดินทางเข้าออกสนามบินคันไซและสนามบินจูบุแล้ว) ทั้ง 2 แบบใช้ได้ 5 วันต่อเนื่องกัน อ่านรายละเอียดพาสที่นี่ >> KINTETSU RAILPASS
จริงๆแล้วต้องไปลงที่สถานี Igakambe แต่เนื่องจากมีรถบัสมารับ จึงต้องขอออกนอกแผน แวะลงที่สถานี Nabari
และแล้วเราก็เดินทางมาถึง เมืองอิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno) เมืองแห่งนินจา ที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น เมืองนี้ตั้งอยู่ทางตะวันตกของจังหวัดมิเอะ เมืองเล็กๆที่เกิดจากการรวมตัวกันของสองเมืองหลัก คือ เมืองอิงะ (Iga-shi) และ เมืองอุเอโนะ (Ueno-shi) ในปีค.ศ.2004 และยังมีหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่รวมกันจนกลายเป็น เมืองอิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno) แต่ผู้คนก็ยังคงเรียกในชื่อสั้นๆว่า อิงะ (Iga)
เมื่อมาถึงเมืองแห่งนินจากันทั้งที เราก็ต้องแวะเข้าไปชุบตัวเป็นนินจาให้สมกับการมาเยือนหมู่บ้านนินจาสำนักอิงะกันสักหน่อย ที่ Iga-Ueno Sightseeing Information Center มีให้บริการเช่าชุดนินจา และใส่เดินเที่ยวทั่วเมืองได้ (ในราคาเพียง 500 เยน) ตั้งอยู่ใกล้กับ พิพิธภัณฑ์ดันจิริ (Danjiri Kaikan) ที่จัดแสดงเกี่ยวกับงานเทศกาล Ueno Tenjin ซึ่งเป็นงานแห่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม
สำหรับตั๋วเข้าชม นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วคอมโบในราคา 1,500 เยน ที่สามารถเข้าได้ ทั้งหมด 3 แห่งคือ พิพิธภัณฑ์ดันจิริ พิพิธภัณฑ์นินจา และ ปราสาทอิงะอุเอโนะ
หลังจากเข้าไปเปลี่ยนชุดแล้ว ก็ทำการฝึกฝนการควบคุมวิทยายุทธกันเล็กน้อย
ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปยังบ้านของนินจา จะต้องเดินผ่าน สวนอิงะอุเอโนะ (Iga-ueno Koen) ซึ่งภายในสวนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ ปราสาทอิงะอุเอโนะ (Iga-Ueno jo) ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี (อาคารหลังปัจจุบันสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1935) เป็นปราสาทไม้แบบดั้งเดิม ที่รอดพ้นจากระเบิดในช่วงสงคราม โดยผู้ออกแบบเป็นบุคคลเดียวกับคนที่ออกแบบปราสาทโอซาก้าและปราสาทเอโดะ
แค่ใส่ชุดเดินก็สร้างบรรยากาศให้ขลังขึ้นแล้ว (ร้อนสุดๆ)
จุดเด่นของปราสาทแห่งนี้อยู่ที่ กำแพงหินที่มีความสูงถึง 30 เมตร สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ต้อนรับด้วยมาสคอตประจำเมือง น้องไทเกอร์ หรือ อ่านออกเสียงเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ทะอิก้า (ที่เป็นการเล่นคำ นำคำว่า Ta มาบวกกับคำว่า Iga จนกลายเป็น Taiga หรือ Tiger นั่นเอง)
ด้านในจัดแสดงชุดเกราะ ดาบ ทรัพย์สมบัติ อันล้ำค่ามากมาย
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนสุดจะเป็นจุดชมวิวเมือง
เห็นได้ว่าเมืองแห่งนี้ล้อมรอบด้วยภูเขาทุกทิศทาง ข้ามไปอีกฝั่งเขา จะเป็นเขตของจังหวัดชิงะ ที่มีสำนักนินจาอีกแห่งชื่อว่า สำนักโคคะ บางตำนานว่าทั้งสองสำนักนี้เป็นศัตรูกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองสำนักเป็นมิตรที่ดีต่อกันต่างหาก เนื่องจากนินจาไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์ในการต่อสู้รบราฆ่าฟัน แต่มีหน้าที่คอยช่วยเหลือและปกป้องคนในหมู่บ้านให้อยู่อย่างสงบสุข และยิ่งมีเพื่อนนินจาถึงแม้จะมาจากต่างแคว้น ก็จะคอยช่วยเหลือกัน
บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน ท่ามกลางความเงียบสงัด ในปราสาทเก่า
ปราสาทอิงะอุเอโนะ ใน 2 ฤดูที่แตกต่าง (เครดิตภาพ: Igaueno-castle.jp)
หลังจากเดินชมปราสาทกันเสร็จแล้ว ระหว่างทางเดินไปยังพิพิธภัณฑ์นินจา จะพบกับ Basho Memorial Museum อนุสรณ์และพิพิธภัณฑ์ของนักกวีชื่อดังของญี่ปุ่น มัตสุโอะ บะโช (Matsuo Basho) มีอายุในช่วงปีค.ศ.1644-1694 โดยเมืองอิงะอุเอโนะแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของเขา และได้ฝากผลงานจากการเดินทางไปทั่วญี่ปุ่น ผ่านกลอนไฮกุ และภายในสวนยังเป็นที่ตั้งของ หอรำลึกที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1942 เนื่องในโอกาสครบรอบ 300 ปี วันคล้ายวันเกิดของมัตสุโอะ บะโช มีชื่อเรียกว่า หอไฮเซเด็น (Haiseiden)
และอย่างที่เกริ่นไปในตอนต้นว่า เมืองอิงะอุเอโนะแห่งนี้ ที่เป็นเมืองแห่งนินจาขนานแท้ เป็นต้นกำเนินของนินจาและตำนานของนินในญี่ปุ่น ที่ปกครองโดยตระกูลฮัตโตริ โดยหัวหน้าผู้นำกลุ่มนินจาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ฮัตโตริ ฮันโซ
ภายในสวนอุเอโนะ สามารถแวะชมบ้านนินจาของจริง และ โรงเรียนฝึกนินจา ที่สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 15 ปัจจุบันกลายเป็น พิพิธภัณฑ์นินจาสำนักอิงะ (Igaryu Ninja Hakubutsukan) รวบรวมเรื่องราวจัดแสดงอุปกรณ์เกี่ยวกับนินจาเอาไว้อย่างดี มีโชว์นินจาให้ชม ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ >> Iganinja.jp
พิพิธภัณฑ์นินจาสำนักอิงะ (Igaryu Ninja Hakubutsukan) ถึงแม้จะเล็กแต่ว่าครบถ้วน เพราะที่สถานที่แห่งนี้เราจะได้เรียนรู้และเข้าถึงวิถีของนินจาอย่างแท้จริง โดยเริ่มต้นจากบ้านของนินจาแห่งนี้ ที่มีกลไกลับซ่อนอยู่ตามจุดต่างๆของบ้าน ซึ่งถ้าไม่มีนินจาฝึกหัดคอยเเนะนำ เราก็ไม่มีทางมองออกเลยว่า ตรงไหนที่สร้างเป็นกับดักซ่อนอยู่บ้าง
นักแสดงที่สาธิตการใช้ดาบและอุปกรณ์ต่างๆตามแบบฉบับของนินจาสำนักอิงะ ที่เรียกว่า นินจุตสุ (Ninjutsu)
ทางเดินเข้าไปยังพิพิธภัณฑ์ จะแบ่งเป็นโซน Ninja Experience Hall และ Ninja Tradition Hall จัดแสดงอุปกรณ์ต่างๆของนินจา อาทิ ดาบ ดาวกระจาย ที่มีวิวัฒนาการในรูปแบบต่างๆ มิซึงุโมะ หรือ แมงมุมน้ำ ที่ใช้เป็นรองเท้าไว้เดินบนน้ำ และวิธีการสังเกตุปรากฎการ์ณต่างๆจากธรรมชาติโดยวิถีของนินจา นอกจากนี้ยังมีโซนที่จัดการแสดงนินจา (Ninja Show) ตรวจสอบรอบแสดงได้ >> ที่นี่ (อาจงดการแสดงในบางวัน และต้องเสียค่าเข้าชมเพิ่ม 400 เยน)
และมีขายของที่ระลึกเกี่ยวกับนินจาที่ Museum Shop
ห้องน้ำสไตล์นินจา
จากสถานี Uenoshi เรานั่งรถไฟ Iga railway ย้อนกลับมาที่สถานี Igagambe เพื่อขึ้นรถไฟ Kintetsu มาลงที่สถานี Matsusaka รวมใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ เพื่อมาชิม Matsusaka Beef เนื้อวัวที่ว่ากันว่าอร่อยและแพงที่สุดในญี่ปุ่น กันถึงแหล่งเลย
ร้านที่เลือกในวันนี้มีชื่อว่า Maruyoshi เป็นร้านที่คนญี่ปุ่นแนะนำ เพราะอาหารคุณภาพดี และราคาไม่แพง เข้าสู่เว็บไซต์ที่นี่ >> Maruyoshi
เนื่องจากแอดมินไม่ทานเนื้อ จึงต้องขอยืมคำพูดของเพื่อนร่วมทริปที่เดินทางไปด้วยกัน บอกว่า เนื้อที่นี่ช่างอ่อนนุ่ม และอร่อยสมคำร่ำลือ จนต้องขอเบิ้ลกันเลยทีเดียว สำหรับชุดอาหารที่แนะนำคือ ชุด Sukiyaki ราคาเริ่มต้น 7,344 เยนต่อหัว ชุด Shabu Shabu ในราคาเริ่มต้น 6,372 เยนต่อหัว
แล้วมาต่อกันในรีวิวตอนหน้า จะพาขึ้นรถไฟ Kintetsu ไปเที่ยว เมืองอิเซะ (Ise) กันครับ