แนะนำ 3 เมืองท่องเที่ยว ไป-กลับจากโอซาก้าได้ใน 1 วัน ด้วยตั๋วรถไฟ JR Kansai Wide Area Pass

อีกจุดหมายหลักที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆของนักท่องเที่ยวชาวไทย นอกจากกรุงโตเกียวในภูมิภาคคันโต คงหนีไม่พ้นเมืองโอซาก้าแห่งภูมิภาคคันไซ ด้วยการเดินทางที่สะดวกสบาย และมีข้อมูลการเดินทางมากมาย ทำให้วางแผนไปเที่ยวได้ง่าย

แต่สำหรับนักเดินทางที่เดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากกว่า 2-3 ครั้งขึ้นไป ก็คงอยากจะเสาะแสวงหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เพื่อเปิดมุมมองที่ต่างออกไปจากนักเดินทางคนอื่นๆบ้าง วันนี้เราขอแนะนำเส้นทางการเดินทางที่สามารถเดินทางไปและกลับได้ภายในวันเดียว เหมาะสำหรับใครที่พักในตัวเมืองโอซาก้า ไม่ต้องการย้ายโรงแรมบ่อยๆ ให้เหนื่อยกับการขนย้ายกระเป๋าไปมาอีกด้วย

โดยการเดินทางในครั้งนี้เราใช้ตั๋วเดินทางแบบประหยัดด้วยพาส JR Kansai Wide Area Pass ที่จะพาเราตะลอนไปทั่วทั้งภูมิภาคคันไซ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความรวดเร็ว เนื่องจากตัวพาสนี้สามารถใช้โดยสารรถไฟ Shinkansen สาย Sanyo ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟที่วิ่งตรงจากโอซาก้าสู่เมืองโอคายามะทำให้ประหยัดเวลาในการเดินทางได้มากกว่ารถไฟ Local และยังครอบคลุมเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยว อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ทั้งหมด 5 วัน


เริ่มต้นการใช้พาสวันแรกด้วยการเดินทางไปยัง จังหวัดโอคายามะ (Okayama) เป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางไปเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับจากโอซาก้าได้ โดยนั่ง Shinkansen สาย Sanyo ใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น จากสถานี Shin-Osaka ถ้ามี JR West Pass ประเภท Kansai Wide ก็สามารถขึ้นได้เลยทุกขบวน (รวมทั้งขบวนด่วนสุดอย่าง Nozomi) โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติม ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากๆเพราะว่านั่งเที่ยวเดียว ก็ราคา 5,860 เยนแล้ว (แต่ถ้านั่งรถไฟธรรมดา ราคาจะถูกกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใช้เวลาเดินทางเกือบ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว)


จังหวัดโอคายามะ ได้ชื่อว่าจังหวัดที่ได้ชื่อว่า “เมืองแห่งแสงตะวัน” ด้วยจังหวัดนี้มีภูมิอากาศที่อบอุ่นตลอดทั้งปีและฝนตกน้อยที่สุด ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันตก

สัญลักษณ์ของจังหวัดโอคายามะ เจ้าหนูน้อยโมโมทาโร่นั่นเอง


สำหรับการเดินทางภายในตัวเมือง เราสามารถเดินทางได้ด้วยรถรางโบราณ Okaden ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี  ปัจจุบันได้ปรับปรุงใหม่อยู่ในสภาพที่ดีและใช้การได้ด้วยระบบที่ทันสมัย  มีให้บริการด้วยกัน 2 สาย คือ สาย Higashiyama และสาย Sekibashi แต่สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั้งปราสาทโอกายาม่า สวนโคระคุเอน และพิพิธภัณฑ์ต่างๆนั้น สามารถเดินเที่ยวได้แบบสบายๆ


เมื่อเดินผ่านซุ้มกำแพงเข้ามา จะเจอกับแม่น้ำ Takahashi ที่เป็นแม่น้ำสายหลักขนาดใหญ่ของเกาะญี่ปุ่นฝั่งตะวันตก เดินมาเรื่อยๆจะพบกับป้ายบอกเส้นทางไปยังเป้าหมายของเราในช่วงเช้าของวันนี้ก็คือ ปราสาทโอคายามะและสวนโคระคุเอน เพื่อที่ช่วงบ่ายเราจะได้มีเวลาเดินทางไปเที่ยวอีกเมืองใกล้ๆ


ปราสาทโอคายามะ มีฉายาว่า ปราสาทอีกา เพราะตัวอาคารปราสาทนั้นเป็นสีดำ เรียกว่า U-jo คล้ายกับปราสาทมัทซึโมะโตะ ที่มีอาคารเป็นสีดำ จึงเรียกว่าเป็นปราสาทอีกาเช่นกัน ภาษาญี่ปุ่นเขียนด้วยคันจิเหมือนกัน แต่อ่านว่า Karasu-jo


ปราสาทโอคายามะ ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1597 ในยุค Azuchi – Momoyama ปราสาทเดิมถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในปีค.ศ. 1966  อาคารหลักของปราสาทโอคายามะมีทั้งหมด 6 ชั้นภายในเป็นที่เก็บสมบัติอันเก่าแก่และจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาและการพัฒนาของปราสาท ภายในอาณาบริเวณของปราสาท มีเพียงหนึ่งจุดเท่านั้น ที่เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคดั้งเดิมนั่นก็คือ ป้อมปืน Tsukimi Yagura ที่อยู่มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1620 นอกจากนี้ ยังมีฐานรากของอาคารที่ช่วยแสดงให้เห็นถึงขอบเขตและความซับซ้อนเดิมของปราสาทในอดีตได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 9.00 – 17.30 น.
วันหยุด : 29 – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม : เฉพาะตัวปราสาท ผู้ใหญ่ (18 ปี ขึ้นไป) 300 เยน (สำหรับช่วงเวลาปกติ) และ 800 เยน (ช่วงที่มีจัดงานเทศกาล) หรือสามารถซื้อค่าเข้าชมตัวปราสาทโอคายามะพร้อมสวน Korakuen ในราคา 560 เยน
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Shin-Osaka โดยสารรถไฟ Shinkansen ไปลงที่สถานี Okayama ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีจากนั้นโดยสารรถรางต่อไปลงที่สถานีชิโรชิตะ (Shiroshita) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : http://okayama-kanko.net/ujo/english/index.html


เสร็จจาการชมจากปราสาทโอคายามะ มาเที่ยวสวนสวยของญี่ปุ่น ที่อยู่ใกล้กับปราสาทกันต่อเลย


สวน Korakuen เป็นหนึ่งในสวนที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวหลักของจังหวัดโอคายามะ โดยสวนแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น (อีก 2 แห่งคือ Kenrokuen ที่เมืองคะนะซะวะ และ Kairakuen ที่เมืองมิโตะ) สามารถมองเห็นปราสาทโอคายามะได้จากสวนแห่งนี้

ที่สวนแห่งนี้มักจะมีคู่รักมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันตลอดทุกวัน

สวน Korakuen ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.  1687 โดยไดเมียว Ikeda Tsunamasa เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ.  1700 และได้รับการรักษาทำนุบำรุงให้คงอยู่ในสภาพเดิมจนมาถึงทุกวันนี้ ต่อมาสวน Korakuen ได้กลายเป็นสมบัติของจังหวัดโอคายามะ จึงได้ทำการเปิดให้ประชาชนภายนอกสามารถเข้ามาชมความงามของสวนได้ (โดยปกติในอดีต สวนเป็นหนึ่งของปราสาท ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเจ้าเมืองผู้ปกครองเท่านั้น) สวนเคยได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมในปีค.ศ. 1934 และระเบิดในช่วงสงคราม แต่ก็ได้รับการบูรณะจนกลับคืนสู่สภาพเดิมทุกครั้ง

โดยสวนแห่งนี้จะรวมเอาคุณสมบัติทุกอย่างของสวนสไตล์ญี่ปุ่นมาไว้ด้วยกัน มีทั้งสระน้ำขนาดใหญ่ ลำธาร สะพานโค้งเดินข้ามบ่อน้ำ เลี้ยงปลา เนินเขาที่ทำหน้าที่เป็นจุดชมวิว นอกจากนี้ยังมีสนามหญ้าที่ล้อมรอบไปด้วยสวนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้งามหลากชนิดไม่ว่าจะเป็น ต้นบ๊วย, ต้นซากุระ ต้นเมเปิ้ล แถมยังมีนาข้าวและกรงนกขนาดใหญ่อีกด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 7.30 – 18.00 น. (ช่วงระหว่าง 20 มีนาคม ถึง 30 กันยายาน) และ 8.00 – 17.00 น. (ช่วงระหว่าง 1 ตุลาคม ถึง 19 มีนาคม)
วันหยุด : เปิดทำการทุกวัน
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 400 เยน, นักเรียนระดับประถมและมัธยมต้น 140 เยน, ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) 140 เยน หรือสามารถซื้อค่าเข้าชมตัวปราสาทโอคายามะพร้อมสวน Korakuen สำหรับผู้ใหญ่ในราคา 560 เยน และนักเรียน 260 เยน (ระดับประถมและมัธยมต้น)
วิธีการเดินทาง : จากสถานี Shin-Osaka โดยสารรถไฟ Shinkansen ไปลงที่สถานี Okayama ใช้เวลาประมาณ 50 นาที จากนั้นโดยสารรถรางต่อไปลงที่สถานีชิโรชิตะ (Shiroshita) แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
เว็บไซต์ : http://www.okayama-korakuen.jp/english/


จากสถานี Okayama นั่งรถไฟต่อมาเที่ยวที่เมือง Kurashiki ที่อยู่ใกล้ๆกัน โดยเราสามารถวางแผนรวบทั้ง 2 เมืองไว้เที่ยวภายในวันเดียวกันได้

โดยเป้าหมายของของเราในวันนี้คือ Bikan Historical Quarter ที่เป็นจัตุรัสเมืองเก่า อนุรักษ์มาตั้งแต่สมัยเอโดะที่มีอายุยาวนานกว่า 300 ปี ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากสถานี Kurashiki เดินมายังจุดศูนย์กลางท่องเที่ยวของเมืองได้ง่ายๆ เพียง 10-15 นาทีเท่านั้น
เราจะสังเกตเห็นทันทีเลยว่าที่นี่ต้องเป็นเขตเมืองอนุรักษ์แน่นอน เพราะอาคารบ้านเรือนดูโดดเด่นและมีลักษณะคล้ายกับเมืองโบราณอย่าง Kawagoe ในจังหวัดไซตามะ จริงๆแล้วอาคารเหล่านี้ในอดีตเคยถูกใช้เป็นโกดังเก็บข้าว ของเหล่าบรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการทำธุรกิจค้าข้าวในยุคเอโดะนั่นเอง ปัจจุบันโกดังเก่าได้ถูกปรับแต่งให้เป็นบ้านที่พักอาศัยรวมไปถึงเป็นร้านค้าที่ขายของที่ระลึก อาหาร รวมไปถึงขนมหวานขึ้นชื่อของเมืองมากมาย


ระหว่างทางเดินไปใจกลางของ Bikan Historical Quarter เราก็จะได้เห็นอาคารไม้เก่าๆที่ปรับแต่งให้เข้ากับยุคสมัยแต่คงกลิ่นอายเดิมไว้ได้อย่างลงตัว เดินมาไม่ไกลเริ่มจะเห็นลำคลองแล้ว นั่นหมายความว่าเรากำลังเข้าใกล้สู่ใจกลางในโซน Canal Area นั่นเอง

เป็นที่น่าเสียดายในวันที่เราเดินทางมาถึง มีการขุดลอกคลองเพื่อทำความสะอาด เลยอดนั่งเรือชมบริเวณคูเมือง


เมืองคุราชิกินั้นมีความสำคัญในเรื่องของการค้าข้าวเป็นอย่างมากในสมัยก่อน โดยที่นี่เป็นจุดศูนย์กลางรวบรวมผลผลิตข้าวจากเมืองรอบๆ เอาไว้ในบรรดาโกดังทั้งหลายเหล่านี้ โดยเส้นทางหลักที่ใช้ในการลำเลียงข้าวคือ ทางน้ำ และคลองน้ำที่เราเห็นอยู่เบื้องหน้านี้เองที่เป็นเส้นทางสำคัญ อีกทั้งยังทำหน้าที่หลักในการส่งมอบข้าวสารต่อไปยังเมืองโอซาก้าและเอโดะอีกด้วย

อีกหนึ่งกิจกรรมที่เมื่อมาเยือนแล้วไม่ควรพลาด คือการมาลองนั่งเรือพาย สนนราคาคนละ 300 เยน สามารถซื้อตั๋วได้ที่ Tourist Information Center ที่ตั้งอยู่หัวมุมเชิงสะพาน เรือจะออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 9.30-16.00 น.

อาคารของโกดังนั้น มีลักษณะที่โดดเด่นคือตัวอาคารเป็นสีขาวและตกแต่งลวดลายด้วยกระเบื้องสีดำ ประกอบกับต้นไม้ที่ปลูกอยู่ริมสองทางขนาบลำคลอง ทำให้ภาพของ Canal city นั้นสวยงาม สะดุดตา จนกลายเป็นสถานที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นในปัจจุบัน


ตลอดสองฝั่งของคลองมีพิพิธภัณฑ์หลากหลายมาก (เดิมเป็นโกดังเก็บข้าวทั้งสิ้น) ไม่ว่าจะเป็น Museum of Folkcraft, Archaeological Museum, Kake Museum ที่รวบรวมจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการเก็บรักษาข้าว วิธีการต่างๆ รวมไปถึง อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ จานชามเซรามิค ของมีค่าในสมัยก่อน


ต่อจากนั้นเดินตรงขึ้นมาจะพบกับ Kurashiki Ivy Square จัตุรัสที่มองเข้าไปจะพบกับอาคารอิฐแดงเรียงรายกันอยู่มากมาย เป็นทั้ง ร้านอาหาร ร้านค้า พิพิธภัณฑ์  และ โรงแรม สถานที่แห่งนี้ในอดีตเป็นสำนักงานที่ใช้ในการควบคุมดูแลการค้าข้าวของรัฐบาลนั่นเอง


การเดินทาง : จากสถานี Shin-Osaka โดยสารรถไฟ Shinkansen สาย Sanyo วิ่งตรงมายังสถานี Okayama ใช้เวลาเพียงแค่ 50 นาที จากนั้นนั่งรถไฟสาย JR Sanyo ใช้เวลาเพียง 16 นาที ค่าโดยสาร 320 เยน แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที


เมืองที่สองของทริปนี้ เราขึ้นไปทางเหนือของจังหวัดเฮียวโงะ อีกเมืองหนึ่งที่เรารู้สึกหลงรักในบรรยากาศของความเงียบสงบ ผสมผสานกับความคลาสสิคในสไตล์ญี่ปุ่นแบบโบราณ หมู่บ้านน้ำพุร้อนคิโนะซะกิ (Kinosaki Onsen Town) ตั้งอยู่ในเมือง Toyooka หมู่บ้านเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น สถาปัตยกรรมบ้านเรือนเป็นแบบคลาสสิกโบราณ ที่นี่ในฤดูใบไม้ผลิ ริมฝั่งแม่น้ำจะเต็มไปด้วยดอกซากุระบานสะพรั่ง

เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Toyooka นักท่องเที่ยวสามารถมาขอข้อมูลการท่องเที่ยวได้จาก ศูนย์ให้บริการข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว Kinosaki Onsen Tourist Information (SOZORO Tourist Information Center) ตั้งอยู่ติดกับสถานี JR Toyooka เพียงไม่กี่ก้าว ที่นี่ยังมีไวไฟและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไว้ให้บริการฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9.00 – 18.00 น.

จุดเด่นของที่นี่ได้แก่น้ำพุร้อนอนเซ็นจากธรรมชาติ ที่มีคุณสมบัติไม่เพียงแต่จะช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าเท่านั้นแต่ยังเต็มไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายที่จะช่วยบำรุงผิวและมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคภัยต่างๆ ได้อีกด้วย สำหรับผู้ที่ต้องการประสบการณ์การเข้าพักในสไตล์ญี่ปุ่น นี่มีที่พักแบบเรียวกังให้ได้เลือกมากมายให้เลือกพักผ่อน อีกทั้งผู้เข้าพักที่เรียวกังในหมู่บ้านคิโนะซะกิอนเซ็น สามารถเข้าใช้บริการอนเซ็นสาธารณะได้ทุกที่ในเมืองอีกด้วย

ระหว่างทางจะมีร้านขายของฝากและของที่ระลึกมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อหา

พูดถึงเรื่องเที่ยวแล้ว จะพลาดเรื่องกินเดี๋ยวจะไม่ครบสูตร ใครที่มาท่องเที่ยวที่นี่ โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงหน้าหนาวจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ อย่าพลาดลองลิ้มชิมรสเนื้อปูมะทสึบะ ที่เป็นอาหารชื่อดังของเมืองนี้ การได้มาลองชิมของอร่อยๆแบบสดๆถึงแหล่งผลิตนั้นช่างฟินสุดๆไปเลย

ปิดท้ายด้วยเนื้อวัวทาจิมะชื่อดัง


เมื่อมาถึงเมืองอนเซ็นที่หมู่บ้านน้ำพุร้อนคิโนะซะกิ (Kinosaki Onsen Town) สิ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือบ่อน้ำพุร้อนของที่นี่ โดยบ่อน้ำพุร้อนของคิโนะซะกิอนเซ็น จะมีด้วยกันทั้งหมดถึง 7 บ่อ


นอกจากจะมีบ่อตามเรียวกังแล้วยังมีแบบ Public Bath ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเข้าใช้ได้มีด้วยกัน 7 สถานที่ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Satono-yu, Jizou-yu, Yanagi-yu, Ichino-yu, Goshono-yu, Mandara-yu และสุดท้าย Kouno-yu โดยทั้ง 7 ที่นั้น ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน สามารถเดินถึงกันได้ โดยผู้ที่มาใช้บริการเป็นคนแรกของแต่ละที่ ในแต่ละวัน จะได้รับของที่ระลึกเป็นแผ่นเหล็กสลักว่าได้มาเยือนเป็นคนแรกอีกด้วย
บ่อน้ำพุร้อนคิโนะซะกิ อนเซ็น (Kinosaki Onsen Spring Bath)
1. Satono-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 800 เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 400 เยน

เวลาทำการ : 13.00 – 21.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันจันทร์
2. Jizou-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 300 เยน

เวลาทำการ : 7.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันศุกร์
3. Yanagi-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 300 เยน

เวลาทำการ : 15.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันพฤหัสบดี
4. Ichino-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 600 เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 300 เยน

เวลาทำการ : 7.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันพุธ
5. Goshono-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 800 เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 400 เยน

เวลาทำการ : 7.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : วันอังคารที่ 1 และ 3 ของเดือน
6. Mandara-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 600เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 300 เยน

เวลาทำการ : 15.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันพุธ
7. Kouno-yu

ค่าเข้าใช้บริการ: ผู้ใหญ่ 600เยน, เด็ก (อายุ 1-12 ปี)

ค่าเข้าใช้บริการ : 300 เยน

เวลาทำการ : 7.00 – 23.00 น.
วันปิดทำการ : ทุกวันอังคาร

สำหรับใครที่ยังรู้สึกไม่ชินกับการต้องแก้ผ้าแช่อนเซน ก็สามารถแช่เฉพาะเท้าอย่างเดียวก็ได้ฟีลเหมือนมาแช่อนเซนเช่นกัน

หากใครที่มีโอกาสมาท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดชมซากุระที่สวยไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินชมเลียบริมคลองที่สวยงาม ความเงียบสงบของหมู่บ้านแห่งนี้ยังช่วยเพิ่มความโรแมนติกให้กับคู่รักอีกด้วย

วิธีการเดินทาง : จากสถานี Osaka ขึ้นรถไฟขบวน Limited Express Konotori  วิ่งตรง มาลงที่สถานี Kinosaki Onsen ใช้เวลาโดยประมาณ 2 ชั่วโมง 50 นาที


เมืองสุดท้ายที่เราอยากจะแนะนำให้ไปเยือน เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ไม่ควรพลาดเมื่อเดินทางมายังภูมิภาคคันไซแห่งนี้ เมืองฮิเมจิ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดเฮียวโกะ (Hyogo) เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองไปด้วยจุดสำคัญ ทั้งการคมนาคมอันเก่าแก่และอุดมไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์

สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่โด่งดัง และเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้คือ “ปราสาทฮิเมจิ”  หรือที่รู้จักกันดีในนามของ “ปราสาทนกกระสาขาว” เนื่องจากตัวปราสาทนั้นฉาบด้วยปูนสีขาวทั้งหมด ปราสาทฮิเมจิ นับว่าเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ.1400 และเนื่องจากปราสาทนี้ยังไม่เคยถูกทำลายมาก่อน ผ่านร้อนผ่านหนาวมาทั้งในยุคสงคราม ไฟไหม้ หรือการเกิดแผ่นดินไหวฮันชิน แต่ปราสาทแห่งนี้ยังคงรูปแบบดั้งเดิมของตัวปราสาทเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยปราสาทแห่งนี้ได้ถูกรับเลือกให้เป็นมรดกโลกแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น ในปีค.ศ.1993


เมื่อยามที่เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิสถานที่แห่งนี้จะยิ่งดูสวยงามแปลกตามากยิ่งขึ้น เพราะดอกซากุระกว่า 1,000 ต้นจะพร้อมใจกันบานสะพรั่งอวดความสวยแก่นักท่องเที่ยว นี่คือเหตุผลหลักที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

ในวันที่อากาศดี ชาวเมืองฮิเมจิจะออกมานั่ง “ฮานามิ” กันใต้ต้นซากุระ เป็นธรรมเนียมสืบทอดกันมาของชาวญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม
เวลาทำการ : 9.00 – 17.00 น. (ช่วงปลายเดือนเมษายน – สิงหาคม: 9.00 – 18.00 น. )
วันหยุด : 29 – 30 ธันวาคม
ค่าเข้าชม : เฉพาะตัวปราสาท ผู้ใหญ่ (18 ปี ขึ้นไป) 1000 เยน
(นักเรียนระดับประถมศึกษา, นักเรียนมัธยมต้น, นักเรียนมัธยมปลาย) 300 เยน
ค่าเข้าชมตัวปราสาท Himeji พร้อมสวน Keikoen ผู้ใหญ่ (18 ปี ขึ้นไป) 1040 เยน
เด็ก (นักเรียนระดับประถมศึกษา, นักเรียนมัธยมต้น, นักเรียนมัธยมปลาย) 360 เยน
วิธีการเดินทาง จากสถานี Shin-Osaka โดยสารรถไฟ Shinkansen ไปลงที่สถานี Himeji ใช้เวลาประมาณ 40 นาที จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 15-20 นาที
เว็บไซต์ : https://www.himeji-kanko.jp/th/


ปิดท้ายทริปนี้ไปกับภาพสวยๆของดอกซากุระที่กำลังบานสะพรั่งกันไปทั่วสวนสาธารณะรอบปราสาทฮิเมจิ

Bikan Historical QuarterGlobal Travel Insurance Plus On-OffHimeji CastleHyogoJR Kansai Wide Area PassKansaiKinosaki OnsenKorakuenKurashikiOkayamaOkayama CastleThaivivat Travel Insuranceคุราชิกิบริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ประกันภัยการเดินทางต่างประเทศ พลัส เปิด-ปิดปราสาทโอคายาม่าภูมิภาคคันไซสวนโคราคุเอนหมู่บ้านน้ำพุร้อนคิโนะซะกิ​เฮียวโงะโอคายาม่า