Chugoku: เที่ยว Okayama และ Hiroshima จากสนามบินคันไซ ด้วย JR West Kansai-Hiroshima Area Pass

ทริปนี้เราเดินทางไปลงสนามบินนานาชาติคันไซ และทำการใช้ JR West Kansai-Hiroshima Area Pass เที่ยว จังหวัดฮิโรชิมะ (Hiroshima) และ จังหวัดโอคะยะมะ (Okayama)

โดยวางแผนเที่ยวนอกตัวเมืองกันที่ เมืองทาเคฮาระ (Takehara), เกาะโอคุโนชิมะ (Okunoshima), เมืองโคจิมะ (Kojima), เมืองทะคะฮะชิ (Takahashi), เมืองบิเซ็น (Bizen), ชมงานประดับไฟใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทโอคะยะมะ ปิดท้ายทริปด้วยการเดินทางไปพักที่เกียวโต แวะช็อปปิ้งที่ Kobe-Sanda Premium Outlet และเดินทางกลับจากสนามบินคันไซ

เมื่อเดินทางถึงสนามบินนานาชาติคันไซ สามารถทำการแลกพาสที่ตู้อัตโนมัติ ด้านหน้า JR Ticket Office ไม่ต้องต่อคิวนาน

ทำได้ง่ายด้วยตัวเอง มีเมนูภาษาอังกฤษกำกับทุกขั้นตอน

ได้มาแล้ว Kansai-Hiroshima Area Pass สำหรับออกตะลุยทริปนี้

 

จากนั้นเดินทางเข้าเมืองโอซาก้า ด้วยรถไฟ Kansai-Airport Express “Hello Kitty HARUKA” รถไฟขบวนด่วนลายเฮลโลคิตตี้ ทำการวิ่งจากสนามบินคันไซ เข้าสู่เมืองหลักอย่างโอซาก้า และ เกียวโต

ซึ่งในครั้งนี้เราเลือกปลายทางที่ สถานี Shin-Osaka ใช้เวลา 50 นาที เพื่อเดินทางต่อไปยังจุดหมายแรกของเราที่สถานี Hiroshima โดยสารรถไฟชินคันเซ็น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที

เมื่อเดินทางถึง สถานี Hiroshima เราทำการฝากสัมภาระไว้ที่โรงแรม The Royal Park Hotel Hiroshima Riverside ที่เราทำการจองมาเพื่อพักสำหรับทริปนี้ ตัวโรงแรมสามารถเดินจากสถานีได้ไม่เกิน 10 นาที อ่านรีวิวได้ >> ที่นี่


โปรแกรมวันแรกจะไม่มีอะไรมาก คือเดินเที่ยวตัวเมือง เก็บสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ด้วย Meipuru-pu Sightseeing Loop Bus เป็นรถบัสนำเที่ยวรอบตัวเมืองฮิโรชิมะ ที่สามารถใช้ JR West pass ขึ้นได้ฟรี ดูรายละเอียด >> ที่นี่

อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมะ (Hiroshima Peace Memorial) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Atomic Bomb Dome หรือ A-Bomb Dome เป็นอาคารที่อยู่ใกล้กับจุดศูนย์กลางของระเบิด (Hypocenter) มากที่สุด แต่โครงสร้างยังสามารถต้านทานแรงระเบิดและรังสีความร้อนได้ จนเหลือเป็นซาก ประชาชนชาวฮิโรชิมะเห็นพ้องต้องกัน จึงได้ทำการอนุรักษ์ให้เป็นอนุสรณ์เตือนใจให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายจากระเบิดปรมาณู ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1996

ต่อจากนั้นขึ้นไปชมวิวบน ตึกฮิโรชิมะโอริซุรุ (Hiroshima Orizuru Tower) บนยอดตึกแห่งนี้เราจะได้มองเห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ที่ยังมีแสงแห่งความหวังและสันติภาพของโลกใบนี้ ที่มาของชื่อตึกมาจากคำว่า “Orizuru” มีความหมายว่า นกกระเรียนกระดาษที่มีตำนานจากหญิงสาว Sadako Sasaki เด็กน้อยที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตภาพรังสี ที่พับนกกะเรียนกระดาษจนกลายเป็น สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

  • เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 1,700 เยน เด็ก 500-900 เยน
  • (ราคาสำหรับการฝึกพับและโยนนกกระเรียนกระดาษ 500 เยน)

แวะเติมพลังด้วยเมนูชื่อดังของฮิโรชิมะ นั่นก็คือ โอโคโนมิยะกิ และ หอยนางรม

หลังจากนั้นก็เดินเที่ยวย่าน Hatchobori ปิดท้ายวัน


วันรุ่งขึ้น เราเลือกใช้บริการ Sightseeing Tour Bus ทัวร์รถบัสไปเช้าเย็นกลับ เดินทางไปเที่ยวเมืองเก่าทาเคฮะระ และช่วงบ่ายข้ามไปเที่ยวเกาะโอคุโนะชิมะ โดยรถบัสจะมารับส่งที่สถานี Hiroshima เลยครับ สะดวกสบาย และคุ้มค่ามากๆ

สามารถทำการจองผ่าน Klook ได้ที่นี่ >> Okunoshima Rabbit Island Bus Trip in Hiroshima

นำเวาเชอร์ที่ได้รับจากการจอง มายื่นที่เคาเตอร์แลกตั๋วรถบัส ที่สถานี Hiroshima ทางออกฝั่งชินคันเซ็น ก่อนเวลาออกเดินทางอย่างน้อย 30 นาที เจ้าหน้าที่จะทำการออกตั๋วเพื่อสำหรับขึ้นรถบัส และระบุที่นั่งให้ พร้อมกับแผนการเดินทางของทริปนั้นๆ หลังจากนั้นเราก็ไปยืนรอที่ป้ายรถบัสหมายเลข 2 (อาจมีการเปลี่ยนแปลง ให้ทำตามเจ้าหน้าที่บอก) เพื่อรอรถบัสมารับ

**ในกรณีที่จะเดินทางไปเที่ยวเมืองทาเคฮาระ เพียงแห่งเดียว สามารถใช้ Kansai-Hiroshima Area Pass ที่มีอยู่ ขึ้นรถไฟไปก็ได้เช่นกัน แต่จะใช้เวลาเดินทางนาน ดังนั้นถ้าใครอยากประหยัดเวลา และเก็บ 2 สถานที่ในวันเดียว แนะนำให้ใช้บริการ 1 Day Tour ดีกว่าครับ


ย่านเมืองเก่าทาเคฮาระ (Takehara) เป็นเขตชุมชนที่ปัจุบันยังคงมีชาวบ้านอาศัยอยู่ต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยได้รับการขนานนามว่าเป็น “ลิตเติ้ลเกียวโต”  บ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณของที่นี่นั้นยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ภายในเป็นที่ตั้งของ วัดไซโฮจิ (Saihoji) ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านในทาเคฮาระมาตั้งแต่อดีต และเราสามารถขึ้นไปชมวิวเมืองในมุมสูงได้จากที่ตั้งของวัด

ของฝากขึ้นชื่อของย่านทาเคฮาระ ได้แก่ เหล่าสินค้าที่ทำจากไม้ไผ่ ซึ่งสามารถพบได้ตามร้านค้า ตลอดสองข้างทาง และเพื่อเติมเต็มความรู้สึกของการเดินชมย่านการค้าย้อนยุคให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ขอแนะนำให้ลองเช่าชุดกิโมโนแบบดั้งเดิมแท้ๆ มาใส่เดินถ่ายรูป ก็จะได้บรรรยากาศมากๆเลยครับ

  • การเดินทาง: จากสถานี JR Hiroshima นั่งรถไฟชินคันเซ็น ลงสถานี Mihara ประมาณ 20 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถไฟ JR สาย Kure ลงสถานี Takehara ใช้เวลา 40 นาที เดินต่อไปอีกประมาณ 15 นาที
  • เว็บไซต์


โอคุโนะชิมะ (Okunoshima) หรือที่รู้จักกันในชื่อ เกาะกระต่าย ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ การเดินทางจะต้องขึ้นเรือเฟอร์รี่ ใช้เวลาข้ามฟากเพียง 15 นาทีเท่านั้น

เมื่อมาถึงแล้ว เราก็จะได้พบเจอกับฝูงกระต่ายที่เยอะมากๆ ตั้งแต่บริเวณท่าเรือเลยครับ และนับจากจุดลงเรือ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนของเกาะ เราก็จะได้พบกับน้องกระต่ายในทุกจุดจริงๆ ส่วนใครที่อยากสัมผัสกับน้องกระต่ายแบบใกล้ชิดมากขึ้น แนะนำให้ซื้ออาหารเม็ด จากท่าเรือฝั่งขาขึ้นติดมือมาด้วย กองทัพน้องกระต่ายทั้งมวล จะพร้อมใจกันเข้ามารุมล้อมขออาหารจากเรา ด้วยท่าทางที่น่ารักมากๆ

สำหรับสิ่งปลูกสร้างต่างๆบนเกาะ ส่วนใหญ่จะเป็นอาคารเก่าของหน่วยวิจัยเกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ สำหรับกองทัพญี่ปุ่นที่ถูกยกเลิกไปทั้งหมดแล้วตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ถูกทิ้งร้างมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง ใครที่สนใจข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ก็สามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมที่พิพิธภัณฑ์บนเกาะ โดยแต่ละสถานที่นั้นสามารถเดินเท้าเชื่อมถึงกันได้ (หรือจะเช่าจักรยานก็มีให้บริการครับ)

  • การเดินทาง: จากสถานี JR Hiroshima นั่งรถไฟชินคันเซ็น ลงสถานี Mihara ประมาณ 20 นาที จากนั้นเปลี่ยนเป็น JR สาย Kure ลงสถานี Tadano – Umi เดินต่อไปที่ท่าเรือซื้อตั๋วประมาณ 5 นาที
  • ค่าใช้จ่าย: ค่าเรือข้ามเกาะ 310 เยน 
  • เว็บไซต์


หลังจากที่จบแผนเที่ยวในฮิโรชิมะแล้ว เราก็ทำการย้ายเมืองมาพักค้างคืนต่อที่เมืองโอคะยะมะ โดยใช้ Kansai-Hiroshima Area Pass ขึ้นรถไฟชินคันเซ็น จากสถานี Hiroshima มายังสถานี Okayama ใช้เวลาเพียง 35 นาทีเท่านั้น

โดยจุดหมายหลักจะอยู่ที่ ถนนสายกางเกงยีนส์โคจิมะ (Kojima Jeans Street) ที่เมืองคุราชิกิ (Kurashiki) และไปชมใบไม้เปลี่ยนสีกันทั้งวันที่ หมู่บ้านฟุคิยะ (Fukiya Furusato) เมืองทะคะฮะชิ (Takahashi), โรงเรียนชิซุทะนิ (Former Shizutani School) เมืองบิเซ็น (Bizen) ส่งท้ายตอนกลางคืนกับงานประดับไฟใบไม้เปลี่ยนสีที่ปราสาทโอคะยะมะ

ถนนยีนส์โคจิมะ (Kojima Jeans Street) ตั้งอยู่ที่เมืองคุระชิกิ (Kurashiki) ใครที่เป็นแฟนสายยีนส์เดนิม ไม่ควรพลาด เพราะที่นี่มีร้านยีนส์รวมแบรนด์ดัง โดยเฉพาะจากดีไซเนอร์ของญี่ปุ่น กว่า 30 ร้าน ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพ ในวงการแฟชั่นยีนส์ระดับโลก

ถึงแม้ว่าโคจิมะจะเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กในจังหวัดโอคะยะมะ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในอุตสาหรรมสิ่งทอและเสื้อผ้ามาตั้งแต่อดีตกาล หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศญี่ปุ่นได้กลายเป็นผู้ผลิตเครื่องแบบทำงาน รวมไปถึงชุดนักเรียน และกางเกงยีนส์ตัวแรกของญี่ปุ่น ก็ถูกผลิตขึ้นที่เมืองโคจิมะในช่วงปลายทศวรรศ 1960

เทคนิคพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของกางเกงยีนส์ที่โคจิมะคือการใช้ ผ้าฝ้ายย้อมคราม (indigo dye cotton) ในยีนส์เกรดพรีเมียม โดยผสมผสานกรรมวิธีที่มีรากฐานมาจากผลิตกิโมโน ที่ถูกสืบทอดต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หลายร้อยปี

  • การเดินทาง: จากสถานี Okayama ขึ้นรถไฟขบวนด่วน Limited Express Nanpu ใช้เวลา 23 นาที ลงสถานี Kojima จากนั้นเดินต่อประมาณ 10 นาที
  • เว็บไซต์

ด้านในสถานี มีจุดถ่ายรูปเข้าธีมยีนส์เยอะมากๆ


ด้านหน้าทางเข้า Kojima Jeans Street มีร้านขายขนมเล็กๆ อร่อยมาก แวะทานกันดูนะครับ


หมู่บ้านฟุคิยะ (Fukiya Furusato) ที่เมืองทะคะฮะชิ (Takahashi) ทางตอนเหนือของจังหวัดโอคะยะมะ (Okayama) เป็นหมู่บ้านโบราณที่ถูกอนุรักษ์มาตั้งแต่ยุคเอโดะ โดดเด่นด้วยอาคารบ้านเรือนที่สร้างด้วยไม้และมีหลังคาเป็นสีน้ำตาลแดง เกิดขึ้นจากการใช้วัตถุที่เรียกว่า เบ็งกะระ (Bengara) ซึ่งนิยมใช้เป็นสีทาบ้านในสมัยก่อน โดยทำมาจากจากสนิมเหล็ก

ภายในหมู่บ้านมีถนนแห่งประวัติศาสตร์ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวให้ชมมากมาย เช่น บ้านของตระกูล Katayama ที่ทำการผลิตเบ็งกะระ มากว่า 200 ปี และพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอย่าง Fukiya Folk Museum และ Bengara Museum เป็นต้น ถ้าหากเดินทางมาช่วงสุดสัปดาห์ ก็จะมีโอกาสได้ขึ้นรถบัสโบราณ Bonnet Bus ด้วย

การเดินทาง: จากสถานี Okayama ขึ้นรถไฟขบวนด่วน Limited Express Yakumo ใช้เวลา 36 นาที ลงสถานี Bitchu Takahashi และต่อรถบัสไปลงที่ป้าย Fukiya


โรงเรียนชิซุทะนิ (Former Shizutani School) ตั้งอยู่ที่เมืองบิเซ็น (Bizen) สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1670 เป็นโรงเรียนแห่งแรกของสามัญชน และเป็นเขตมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเมื่อปีค.ศ.2015 ถูกล้อมด้วยกำแพงหิน และวัสดุที่นำมาใช้ทำหลังคาอาคารเรียนโบราณเป็นเครื่องดินเผาของเมืองบิเซ็น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ต้นพิซทาชิโอสัญชาติจีน ทั้ง 2 ต้นจะเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองและส้ม เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียงของเมือง และจะมีการประดับไฟในยามค่ำคืนด้วย

  • เวลาทำการ: 9.00-17.00 น.
  • ค่าเข้าชม: 400 เยน
  • การเดินทาง: จากสถานี Yoshinaga โดยสารรถบัสท้องถิ่น ด้านหน้าสถานี ใช้เวลา 10 นาที
  • เว็บไซต์: Shizutani


ส่งท้ายฤดูใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ งานประดับไฟที่ปราสาทโอคะยะมะ Okayama castle Autumn Illumination คนไม่เยอะ ใบไม้กำลังเปลี่ยนสีสวย และไฟงามมากๆ โดยไฟจะเริ่มเปิดตั้งแต่ 17.00-20.30 น.

  • การเดินทาง: จากสถานี Okayama ขึ้นรถบัสมาที่ปราสาท 10 นาที หรือเดินมาได้ประมาณ 20 นาที


หลังจากนั้นปิดท้ายทริปด้วยการไปพักผ่อนในตัวเมืองเกียวโต ช็อปปิ้ง และกินให้เต็มอิ่ม โดยระหว่างนี้เรายังใช้พาส Kansai-Hiroshima Area Pass ได้อยู่ ซึ่งการเดินทางจากสถานี Hiroshima มายังสถานี Kyoto ด้วยรถไฟชินคันเซ็น ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที

สำหรับที่พักสำหรับ 2 คืนนี้เราเข้าพักกันที่โรงแรม The Royal Park Hotel Kyoto Sanjo สะดวกมากๆ อ่านรีวิวได้ >> ที่นี่


ระหว่างนี้เรายังหาวันว่างเดินทางไปช็อปแบรนด์เนม กันที่ Kobe-Sanda Premium Outlet ที่มีร้านดังกว่า 210 ร้านค้า แถมฝั่งตรงข้ามยังเป็นที่ตั้งของห้าง AEON ให้เราได้ฝากท้องและเลือกช็อปของฝากกันส่งท้ายก่อนเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้นอีกด้วย

  • การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Sannomiya เดินมาที่ Sannomiya Shinki Bus Terminal เพื่อขึ้นรถบัสวิ่งตรงมาที่เอ๊าท์เลท ใช้เวลา 50 นาที
  • เวลาทำการ: 10.00-20.00 น. (เฉพาะเดือนก.พ.ปิดเวลา 19.00 น.)
  • เว็บไซต์

ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของห้าง AEON

แวะมาฝากท้องกันที่ร้านเทมปุระชื่อดัง Ebinoya ที่โซนฟู้ดคอร์ท


ถึงแม้ว่าวันเดินทางกลับ จะเป็นวันที่ 6 ซึ่งเราไม่สามารถใช้พาส Kansai-Hiroshima Area Pass ได้แล้ว แต่เราก็เตรียมซื้อตั๋ว Haruka Airport Express เที่ยวเดียว สำหรับขากลับเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยสามารถใช้เดินทางกลับจากสถานี Kyoto วิ่งเข้าสนามบินนานาชาติคันไซได้เลย ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 นาทีเท่านั้น ทำการซื้อได้ >> ที่นี่


ทริปนี้เราบินตรงไปโอซาก้ากับสายการบินนกสกู๊ต จากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินคันไซ ด้วยที่นั่ง Scoot Plus กว้างขวาง ยืดขาสบาย ตลอดไฟลท์ ไม่มีดีเลย์ ถึงที่หมายปลอดภัย แถมก่อนกำหนดอีกด้วย

เที่ยวบินขาไป XW112 DMK-KIX ออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 23.40 น. บินด้วยเครื่องบินรุ่น 777-200 Big Bird เครื่องกว้าง เบาะนั่งสบาย เหยียดขาได้สุด

สำหรับใครที่จองชั้นโดยสาร ScootPlus จะมีช่อง Priority Check-in ไม่ต้องต่อคิวยาว จนท.จะติด Priority Tag ที่กระเป๋าไว้ให้ พร้อมรับกระเป๋าก่อนใครเมื่อถึงปลายทาง

นอกจากเบาะหนังนั่งสบายแล้ว ยังรวมสัมภาระโหลด 30 กก. สัมภาระถือขึ้นเครื่องได้ 2 ใบ ฟรีอาหารเครื่องดื่ม ได้เชคอินและขึ้นเครื่องก่อนใคร แถมยังมีปลั๊กเสียบชาร์จแบตใต้ที่นั่งด้วย

ก่อนเดินทางถึงสนามบินคันไซ คุณแอร์จะปลุกเราขึ้นมาทานอาหารเช้าที่สั่งไว้ ซึ่งครั้งนี้เราเลือกลองเป็นเมนู โจ๊กไก่สับ และ ข้าวไก่เทอริยากิ เสิร์ฟพร้อมกับชาร้อน

ทานเสร็จก็มีเวลาได้งีบต่ออีกสักหน่อย ก่อนแลนดิ้งตอน 7 โมงเช้า คงเพราะหลับสบายตลอดเที่ยวบิน เลยไม่มี jetlag พร้อมออกเที่ยวต่อได้เลย

ถ้าสนใจอยากนั่ง ScootPlus ไปญี่ปุ่นสบายๆแบบนี้บ้าง ใครๆก็สามารถใช้บริการได้ เพราะมีโปรดีๆ ราคาฟินกระเป๋า ออกมาให้สอยตลอด เช็คราคาได้ที่นี่ >> NokScoot

BizenChugokuFeaturedFukiya FurusatoHello Kitty HarukaHiroshimaJR passJR WestKansaiKIXKobeKojimaKyotoNokScootOkayamaOkunoshimaOsakaShizutaniTakeharatiewyeepoonคันไซจูโกขุพาสรถไฟสนามบินคันไซฮิโรชิมะเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมโอคะยะมะ