ทริปตะลุยเหนือด้วย Hokkaido Shinkansen จาก Tokyo ตอน 4 : มิยางิ (Miyagi)

การเดินทางในครั้งนี้ จะเป็นการใช้พาสรถไฟ JR East-South Hokkaido Rail Pass ใบเดียวอยู่ทั้งทริป พาสนี้สามารถเลือกใช้ได้อิสระ 6 วัน (ราคา 26,000 เยน ซื้อจากไทยราคาถูกกว่าซื้อในญี่ปุ่น) โดยตั้งใจจะขึ้น Hokkaido Shinkansen จากสถานี Tokyo ยิงยาวไปสถานี Shin-Hakodate-Hokuto ที่เกาะฮอกไกโดกันครับ

ดูรายละเอียดพาส >> JR East-South Hokkaido Rail Pass พาสสุดคุ้มขึ้น Shinkansen เที่ยวฮอกไกโดจากโตเกียว

ครั้งนี้วางแผนเริ่มต้นการเดินทางกันที่โตเกียว โดยจะใช้ JR East-South Hokkaido Rail Pass ขึ้น Hokkaido Shinkansen พุ่งตรงไปยังฮอกไกโด เป็นครั้งแรก เที่ยวเมืองฮาโกดาเตะก่อน และหลังจากนั้นจะไล่เที่ยวย้อนกลับมาตามเส้นทางในโทโฮขุ เป็นระยะเวลา 7 วันเต็ม

รีวิวตอนที่ 1 >> ทริปตะลุยเหนือด้วย Hokkaido Shinkansen จาก Tokyo วิ่งตรงสู่ฮอกไกโด
รีวิวตอนที่ 2 >> ทริปตะลุยเหนือด้วย Hokkaido Shinkansen จาก Tokyo ตอน 2 : ฮาโกดาเตะ (Hakodate)
รีวิวตอนที่ 3 >> ทริปตะลุยเหนือด้วย Hokkaido Shinkansen จาก Tokyo ตอน 3 : อะโอโมริ (Aomori)

เดินทางมาถึงรีวิวสุดท้ายของทริปตะลุยภาคเหนือด้วยรถไฟชินกังเซ็นกับพาส JR East-South Hokkaido Rail Pass ในวันนี้เราเดินทางมาท่องเที่ยวกันต่อที่จังหวัดมิยางิ (Miyagi) ส่วนตัวแล้วเคยมาจังหวัดนี้หลายครั้ง แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกไปนอกตัวเมืองเซ็นไดสักเท่าไหร่ เพราะปกติมักจะใช้เมืองนี้เป็นจุดศูนย์กลาง เที่ยวไปยังจังหวัดต่างๆในโทโฮขุเสียมากกว่า โดยครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาใช้เวลาอยู่ในจังหวัดมิยางิเกือบ 3 วันเต็ม ได้ออกไปเที่ยวรอบนอกบ้าง

ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าได้ >> ที่นี่

จากสถานี Shin-Aomori โดยสารรถไฟชินคังเซ็นขบวน Hayabusa ลงที่สถานี Sendai ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ก็เดินทางมาถึงสถานีเซนได (Sendai) เป็นที่เรียบร้อย

ออกมาจากชานชาลาก็เจอ มุซุบิมารุ (Musubimaru) มาสคอตประจำเมืองเซ็นไดมารอต้อนรับด้วย

เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Sendai สำหรับใครที่ยังไม่มีข้อมูลการท่องเที่ยวสามารถแวะหยิบหรือขอข้อมูลได้จากพนักงานที่ศูนย์ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว Tourist Information Center พนักงานที่นี่สามารถให้ข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษได้ด้วย ดังนั้นไม่ต้องกังวล และมีคู่มือท่องเที่ยวฉบับภาษาไทยไว้ให้บริการด้วย

มาเมืองเซ็นไดทั้งที ต้องไม่พลาดลิ้มลองของหวานขึ้นชื่อประจำเมืองอย่าง ซึนดะ (Zunda) เป็นถั่วแระบดมีกลิ่นหอมหวาน สำหรับเมนูอันดับ 1 คงต้องยกให้ ซึนดะโมจิ ที่ทานคู่กับโมจิเหนียวหนึบ อร่อยเข้ากันดี๊ดี

ส่วนร้านแรกที่มาแนะนำ ยังไม่ต้องไปไหนไกล ตั้งอยู่ในโซนร้านอาหารของสถานีนี่เอง ชื่อร้าน Kisuikuan (喜水久庵) มีซอฟครีมอร่อย อยู่ติดกับร้าน Zunda saryo (ずんだ茶寮) ร้านนี้ก็มี Zunda shake ไว้ดื่มดับกระหาย

ลองทั้ง 2 แบบเลย ทั้งแบบโคน และ แบบถ้วยมีใส่ซึนดะบดแบบสดๆด้วย

หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อ ไปยังจุดหมายแรก คือ อะคิอุ องเซ็น (Akiu Onsen) ที่ภูมิภาคโทโฮขุนี้ มีเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงหลายแห่งและที่นี่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น มีเรียวกังให้บริการมากมาย ว่ากันว่าน้ำพุร้อนที่นี่โดดเด่นในเรื่องแช่แล้วจะทำให้ผิวสวยอีกด้วย ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึงชั่วโมงจากตัวเมือง จะนั่งรถบัส หรือเช่ารถขับมาก็สะดวกทั้งคู่

ที่เมืองอะคิอุ องเซ็นนอกจากบ่อน้ำพุร้อนแล้ว ยังมีจุดท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจคือ น้ำตกอะคิอุ โอทะคิ (Akiu-Otaki)

มาหน้าร้อน ต้องทานน้ำแข็งไส ระหว่างทางเดินไปชมน้ำตก

เข้าป่ามาต้องระวังหมีดุ

ที่เมืองนี้ธรรมชาติบริสุทธิ์มาก ถ้ายิ่งมาช่วงใบไม้ร่วง จะสวยไปอีกแบบ

น้ำตกอะคิอุ มีความสูง 55 เมตร หนึ่งในสามของน้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น

จากนั้นเราเดินทางมาต่อกันที่ หมู่บ้านอะคิอุ โคเงอิโนะ ซะโตะ (Akiu Traditional Craft Village)

ที่หมู่บ้านแห่งนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสวิถีของช่างงานฝีมือพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็น ลูกข่างไม้ ตุ้กตาโคเคชิ จานชามไม้ ที่สามารถทดลองทำด้วยตัวเองได้ด้วย เข้าสู่เว็บไซต์ >> ที่นี่

ฝาท่อของหมู่บ้าน น่ารักแบบเรียบง่าย

วันนี้เราจะมาฝึกทำลูกข่างกัน

เจ้าของและลูกชายมาสอนด้วยตัวเองเลย

ถึงม้ว่ารอบนี้ เวลาไม่พอมาฝึกทำตุ๊กตาโคเคชิ แต่ก็ได้มาเลือกซื้อกลับไปเป็นที่ระลึก

เดินเที่ยวสำรวจรอบตัวเมือง บริเวณที่พัก เงียบสงบ และยังไม่มีนักท่องเที่ยวมากนัก

ค่ำคืนนี้พักที่เรียวกัง Hotel New Mitoya มีให้บริการห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมบ่อออนเซ็นทั้งในร่มและกลางแจ้ง เริ่มต้น 22,000 เยน ต่อห้อง ตรวจสอบราคาที่ถูกที่สุด >> ที่นี่

ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น

ลงมาทานมื้อเย็นที่ทางเรียวกังจัดเตรียมไว้ให้

หลังจากทานอาหารเสร็จ กลับขึ้นมาบนห้อง ก็ถูกปูด้วยที่นอนฟูตองนุ่มๆแล้ว

นอนแช่ออนเซ็นให้สบายตัว

ของที่ระลึกที่ได้มาวันนี้


เช้าวันต่อมาเดินทางมายัง เกาะมัตสึชิมะ (Matsushima) เป็นเมืองท่องเที่ยวริมอ่าวมัตสึชิมะ มีเกาะน้อยใหญ่มากมาย (ด้วยเกาะน้อยใหญ่พวกนี้ช่วยลดแรงกระแทกของคลื่นยักษ์ ทำให้มัตสึชิมะได้รับผลกระทบจากเหตุการ์ณสึนามิเมื่อปีค.ศ. 2011 ไม่มากเท่ากับเมืองริมทะเลอื่นๆในแถบนี้ อีกทั้งยังเป็นแหล่งเลี้ยงหอยนางรมด้วย

การเดินทาง จากสถานี Sendai นั่งรถไฟสาย Senseki Line ใช้เวลา 35 นาที

สถานที่แรกที่แวะมาคือวัดเอ็นทสึอิน (Entsu-in)

ที่วัดแห่งนี้ มีเปิดสอบวิธีการทำลูกประคำ มีรูปทรงและแบบให้เลือกมากมาย รวมถึงลูประคำหลากสีสัน เมื่อทำเสร็จแล้ว จะมีคำทำนายว่าแต่ละสีที่เราเลือกนั้น จะส่งผลให้โชคอย่างไรกับชีวิต

หลังจากนั้นเดินชมสวนญี่ปุ่นภายในวัด แน่นอนว่าช่วงที่สวยที่สุดของวัดแห่งนี้คือ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

และไม่พลาดที่จะลองของขึ้นชื่อของเมืองอย่าง ซึนดะโมจิ และ ซอฟครีมรสสาเก

จากนั้นแวะสักการะ วัดโกไดโดะ (Godaido) อีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองมัทซึชิมะ ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 807 และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งโดยท่านดาเตะมะซะมุเนะ (Date Masamune) ในปีค.ศ. 1604 โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานเทวรูป 5 องค์ ตัววิหารตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆเชื่อมกับฝั่งด้วยสะพานไม้สีแดงมีช่องระหว่างทางเดินทำให้สามารถมองเห็นน้ำทะลด้านล่าง โดยมีกุสโลบายเป็นการสร้างสมาธิในก่อนจะเดินไปถึงตัววิหารของวัด

แวะทานมื้อเที่ยงที่ตลาดอาหารทะเล เมนูวันนี้เป็นหอยนางรมชื่อดังของเกาะมัตซึชิมะ โดยฤดูกาลหอยนารมจะเริ่มต้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม นักท่องเที่ยวที่มาเยือนที่นี่ไม่ควรพลาดข้าวอบหอยนางรม รับรองความความอร่อยและความสดจากทะเล ซุปสาหร่ายของที่นี่ก็อร่อยเข้มข้นมากๆ แนะนำว่าต้องลองครับ

หลังจากนั้นไปนั่งเรือ Matsushima Pleasure Cruise ชมวิวบริเวณอ่าวมัตสึชิมะที่ติดอันดับ 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ค่าโดยสาร 1,500 เยน ดูรายละเอียด >> ที่นี่

 

หลังจากล่องเรือชมวิวเสร็จ กลับมาที่ฝั่ง ก็พบกับร้านคาเฟที่สวยสะดุดตาร้านนี้

มีซอฟครีมรสพิเศษคือ รสลูกแพร์ ที่มาจากจังหวัดยะมะงะตะ ก็เลยต้องจัดสักหน่อย ไม่ให้เสียชื่อ อร่อยสุดๆ ดับกระหายท่ามกลางอากาศร้อนจัดได้ดีมากๆ

หลังจากนั้นกลับเข้ามาในตัวเมือง จุดชมวิวที่ดีที่สุดคงต้องเป็นบริเวณปราสาทเซ็นไดเก่า ที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ด้วยวิสัยทัศน์อันน่ายกย่องของผู้ปกครองเมือง ท่านดะเตะ มะซะมุเนะ ความรุ่งเรืองของเมืองเซนไดเริ่มต้นขึ้นจากที่แห่งนี้

ปราสาทเซนได (Sendai Castle) มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ปราสาทอาโอบะ (Aoba) ถูกสร้างขึ้นในปี 1600 โดยท่านดะเตะ มะซะมุเนะ  ชื่อ เรียกดั้งเดิมของปราสาทมาจากชื่อของภูเขาอาโอบะ ที่เป็นที่ตั้งของอดีตป้อมปราการของปราสาทแห่งนี้นั่นเอง โดนท่านดะเตะ มะซะมุเนะ ได้ยึดจากยุทธศาสตร์ของพื้นที่ในการสร้างป้อมปราการเพื่อป้องกันข้าศึกมาบุกทำลายปราสาท ต่ำลงไป 100 เมตรที่บริเวณเชิงเขา

ในช่วงอายุ 400 ปี ปราสาทได้ผ่านสงครามและภัยพิบัติมามากมาย โดยเฉพาะเหตุการ์ณเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1882 จนกระทั่งถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดในปี 1945 จนตอนนี้สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ มีเพียงซากของกำแพงปราสาทด้านนอกและหอรักษาการ์ณเท่านั้น

ระหว่างการเดินชมรอบปราสาท จะมีนักแสดงแต่งกายในชุดของท่านดะเตะ มะซะมุเนะ และซามูไรองครักษ์ แสดงโชว์ Date Bushi-tai Enbu ให้ได้รับชมกันด้วย

ศาลเจ้าโกโคขุ (Gokoku) สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงผู้ที่สละชีพและเสียชีวิตในช่วงสงครามและแสดงถึงเจตจำนงเพื่อให้มีความสงบสุขตลอดไป

ชิมขนมชื่อดังประจำเมือง ซึนดะโมจิ ขนมโมจินุ่มๆเหนียวๆ ราดหน้าด้วยถั่วซึนดะบดเข้มข้น หอมหวานอร่อย

พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอุมิโนะโมริ (Sendai Umino-mori Aquarium) พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งล่าสุดของเมืองเซนได เพิ่งเปิดให้บริการครบ 1 ปี ไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมานี่เอง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแห่งนี้ป็นที่รวบรวมสัตว์มากมายหลายสายพันธุ์ มาเยือนที่นี่แนะนำให้ดูโชว์ปลาโลมาน่ารักแสนรู้มากๆครับ นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถชมพาเหรดของเจ้าเพนกวินจากทวีปแอฟริกาใต้ได้อย่างใกล้ชิดสุดๆ เปิดทำการตั้งแต่เวลา 9.00-19.00 น. เข้าสู่เว็บไซต์ >> ที่นี่

วิธีการเดินทาง จากสถานี Sendai ขึ้นรถไฟ JR สาย Senseki มาลงที่สถานี Nakanosakae และเดินต่ออีก 15 นาที หรือขึ้นรถชัตเติลบัส ให้บริการฟรี


แวะเดินเที่ยวตลาดเช้าของเซ็นได มีผลไม้สดๆให้เลือกซื้อกันในราคาเป็นมิตรมาก

เป็นจังหวะดีที่เราเดินทางมาในช่วงนี้ ซึ่งตรงกับงานเทศกาลฤดูร้อนพอดี จะได้ชม งานเทศกาลเซ็นไดทะนะบะตะ (Sendai Tanabata Festival) ของเจ้าหญิงทอผ้าและชายเลี้ยงวัวที่เป็นตำนานยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น สำหรับงานเทศกาลเซนไดทะนะบะตะ Sendai Tanabata ในปีนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6-8 สิงหาคมครับ

ปิดท้ายทริปด้วย คาเฟ่นกฮูก (Sendai Fukurou Cafe) เข้าสู่เว็บไซต์ >> ที่นี่

ค่าบริการ: ผู้ใหญ่ 1,200 เยน เด็ก 500 เยน รวมค่าเครื่องดื่มแล้ว
เวลาทำการ: 11.00-20.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุด 10.30-20.00 น.)
การเดินทาง: จากสถานี Sendai เดินมาทาง Marble Road Shopping Arcade ตั้งอยู่ชั้น 4 ตึกที่อยู่ติดกับ Gucci

ก่อนที่จะจับ เราต้องทำการล้างมือด้วยแอลกอฮอลก่อน ทางร้านให้ถ่ายรูป และคลิปวิดีโอได้ แต่ต้องไม่ให้มีแฟลชหรือแสงเลเซอร์แดงๆจากกล้อง เพราะอันตราย อาจทำให้นกฮูกตาบอดได้ ถ้าอยากให้นกฮูกมาเกาะที่ตัว เลือกตัวที่ชอบได้เลย และให้บอกเจ้าหน้าที่ครับ ส่วนถ้าครอยากลองให้อาหารดูก็ได้เช่นกัน (จ่ายเพิ่ม 100 เยน) เจ้านกฮูกทั้งหลายเชื่องและน่ารักมาก ขนนุ่มสุดๆ 

https://www.facebook.com/tiewyeepoon/videos/1156094797796835/

ทางเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอม เคยทำรีวิวเที่ยวตัวเมืองเซ็นไดเอาไว้แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อน แต่คิดว่าข้อูลยังสามารถใช้ได้ ลองตามไปอ่านริวิวกันดูนะครับ >> เที่ยวเซ็นไดใน 1 วัน ตอน 1 / ตอน 2

HakodateHokkaidoHokkaido ShinkansenJRJR East-South Hokkaido Rail PassJR passSendaiShin-Hakodate-Hokutotohokuชินคันเซ็นรถไฟญี่ปุ่นฮอกไกโดเซนไดเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญีปุ่่นด้วยรถไฟ