นั่ง Jetstar Japan จาก Tokyo ไป Osaka

การเดินทางข้ามเมืองไกลๆอย่างเช่นจาก โตเกียว ไป โอซาก้าหรือซัปโปโร ถ้าเราไม่มี JR Pass ค่าใช้จ่ายในการเดินทางก็จะค่อนข้างสูงเป็นหลักหมื่นเยน แต่หลังจากที่มีสายการบินต้นทุนต่ำหรือ Low cost airlines ให้บริการเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Skymark, Peach, Jetstar Japan หรือ Vanilla air (Airasia Japan เดิม) ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและร่นระยะเวลาในการเดินทางมากขึ้น ดังนั้นในช่วงหลังๆผมจึงเลือกใช้วิธีบินข้ามเมืองบ่อยเป็นพิเศษ ล่าสุดก็ใช้บริการของ Jetstar Japan ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา แต่มีกระแสตอบรับที่ถือว่าดีมาก และเพิ่มเที่ยวบิน เพิ่ม destination ใหม่ๆตลอด ค่าโดยสารก็ไม่แพง ราคาช่วงปกติก็ตก 3000-4000 เยนต่อเที่ยว ถ้ามีโปรนี่อาจจองได้ถูกแบบไม่เกิน 3000 เยนก็มี บวกกับความประทับใจในการบริการบนเครื่อง เลยทำให้กลับมาเลือกใช้บริการของสายการบินนี้อีกรอบครับ

ปัจจุบัน Jetstar Japan มีจุดหมายทั้งหมด 10 แห่งคือ Tokyo, Osaka, Nagoya, Sapporo, Fukuoka, Oita, Kagoshima, Okinawa, Matsuyama และ Takamatsu โดยมี Hub อยู่ 2 แห่งคือ สนามบินนาริตะ และ สนามบินคันไซ ปัจจุบันมีเครื่องบิน Airbus A320 ทั้งหมด 17 ลำ และจะสั่งเพิ่มให้ครบตามแผนที่กำหนดไว้อีก 7 ลำรวมเป็น 24 ลำใน 1-2 ปีนี้

เมื่อปีที่แล้ว ได้ลองขึ้นเครื่องจาก โตเกียวไปซัปโปโร ก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างถึงแม้จะใช้ชื่อ Jetstar เหมือนกัน แต่ก็ให้ความรู้สึกต่างจาก Jetstar Asia (ตอนนั่งไปสิงคโปร์) และ Jetstar International (ตอนนั่งไปเมลเบิร์น) อันนี้วัดจากความรู้สึกส่วนตัวนะครับ อาจจะเป็นเพราะการบริหารของ Jetstar Japan นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ Japan Airlines ด้วยเลยทำให้รู้สึกว่ามีความเป็น JAL อยู่พอสมควร แถมยังมีไฟลท์ให้เลือกเยอะมาก อย่าง ซัปโปโร หรือ โอซาก้า นี่มีบินมากถึง 8-10 ไฟลท์ต่อวันเลย ครั้งนี้เลยจะมาลองนั่งจาก โตเกียวไปโอซาก้าบ้าง ตามมาชมกันเลยครับ

เส้นทาง: โตเกียว (สนามบินนาริตะ) – โอซาก้า (สนามบินคันไซ)
ไฟลท์: GK205
เครื่อง: Airbus A320 จำนวนที่นั่ง 180 ที่นั่ง
วันที่เดินทาง: 1 เมษายน 2014
เวลา: ออกเดินทาง 11.50 น. ถึงจุดหมาย 13.15 น.
ระยะเวลาบิน: 1.25 ชั่วโมง

เดินทางถึงสนามบินนานาชาตินาริตะ เทอมินอล2 (ดูรายละเอียดของเทอมินอลในแต่ละสนามบินได้ >> ที่นี่)

เดินตามป้าย Domestic Departures ขึ้นไปได้เลย มีป้ายบอกตลอดทาง

ถึงชั้น 2 จะพบกับมุมเคาเตอร์ของ Jetstar Japan ซึ่งค่อนข้างใหญ่มาก

มีมุมสำหรับ Online Check-in และ ชั่งน้ำหนักตามปกติ แนะนำให้ซื้อน้ำหนักเพิ่มไว้ล่วงหน้าสำหรับใครที่มีสัมภาระเยอะ เพราะว่าที่ญี่ปุ่นไม่ใจดีเหมือนที่อื่นนะครับ กฎของเค้าจะเข้มงวดมาก เกินคือเกิน ต้องจ่ายเงินเท่านั้น
ดูรายละเอียดได้ >> ที่นี่

ระบบ Check-in ของที่นี่ค่อนข้างไวครับ เพราะคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเตรียมตัวกันมาอย่างดีแล้ว มาถึงกวางกระเป๋า เช็คแล้วก็เสร็จเรียบร้อย ไม่ค่อยมีปัญหาสักเท่าไหร่ ในกรณีที่เราคิดว่าจะตกไฟลท์แน่ๆ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ข้างหน้าเลย ไม่ต้องมาต่อคิวครับ เค้าจะมีเลนพิเศษลัดคิวให้ เพราะระหว่างที่ต่อแถวอยู่ เค้าจะประกาศตลอดเวลาว่า มีผู้โดยสารของไฟลท์ที่กำลังจะออกใน 45 นาทีนี้ ตกค้างอยู่ที่เคาเตอร์เชคอินหรือเปล่า เพราะเราต้องเข้าไปหน้าเกทอย่างน้อย 30 นาทีก่อนเครื่องออกครับ

มุม Check-in ด้วยตัวเอง มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการแนะนำอยู่ใกล้ๆ เหมาะสำหรับผู้โดยสารที่ไม่มีสัมภาระใบใหญ่ต้องโหลด

แผนผังของชั้นสอง ชั้นนี้ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีร้านค้า เช็คอินเสร็จแล้วต้องเข้าไปด้านในเลยเท่านั้น หรือถ้ายังพอมีเวลาก็เดินย้อนไปที่ International Departures บริเวณชั้น 3 และชั้นลอย ซื้อของทานก่อนก็ได้ครับ แต่จริงๆด้านในก็มีร้านมินิมาร์ทเปิดให้บริการอยู่

ถึงเวลาแล้วก้เดินเข้าไปตรวจกระเป๋า ผ่านเครื่องแสกนกันเลย ที่นี่ให้นำขวดน้ำเข้าได้ครับ โดยเค้าจะมีเครื่องแสกนแยกพิเศษ ไม่ต้องทิ้งหรือรีบดื่มให้หมด เพียงแต่ต้องเอาออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่

วิ่งสู้ฟัดลงมาถึงเกท เดินทาง 2 ครั้งที่ผ่านมา ก็จะเป็นลักษณะนี้ทั้งหมด คือต้องรอประตูเปิด และจะมีรถบัสมารับไปที่เครื่องครับ จะสังเกตุเห็นได้ว่าทุกไฟลท์จะ codeshare กับ JAL ทั้งหมด เพราะ Frequent flyer ของ JAL ก็สามารถสะสมไมล์จากการบิน Jetstar Japan ได้ด้วย เสมือนนั่ง JAL นั่นเองครับ นี่จึงอาจจะเป็น 1 ในเหตุผลที่ว่าทำไมลูกค้าชาวญี่ปุ่น จึงให้ความเชื่อมั่นและเลือกใช้บริการของ Jetstar Japan มากเป็นพิเศษ ทั้งๆที่เป็นเพิ่งสายการบินเปิดใหม่

เจอสายการบินแม่ จอดอยู่ระหว่างทางเดินออกไปขึ้นรถบัส (แต่แม่จริงๆคือ Qantas ของออสเตรเลียนะครับ)

ถึงละครับ รถบัสที่จะพาเราไปขึ้นเครื่อง ที่นั่งมีน้อย ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะลุกให้เด็กกับคนแก่นั่งกัน ถึงแม้จะแค่แป้บเดียวก็เถอะ

เห็นเครื่องของเราแล้ว อยู่ไกลๆ ได้ยินเสียงแว่วๆของคุณแม่ญี่ปุ่นที่อยู่ข้างๆว่า เครื่องเล็กจัง นึกว่าจะใหญ่กว่านี้ แหมลำแค่นี้ก็ขนไปหมดล้วครับ จิ๋วแต่แจ๋ว ^^

Close-up shot ระหว่างขึ้นบันไดเข้าไปในเครื่อง

มีเซ็นอวยพรกันด้วย คุณคนนี้คือใครหรอครับ มีใครรู้จักบ้าง ช่วยบอกที

ทยอยเข้าไปเก็บสัมภาระกัน วันนี้นั่งโซนหลัง แถวที่ 27 แต่ประตูเปิดให้ขึ้นแค่ด้านหน้าทางเดียวครับ อาจจะเพราะผู้โดยสารไม่เต็มลำ

ที่นั่งก็แบ่งเป็น 2 ฝั่งๆละ 3 ที่นั่ง A-B-C และ D-E-F เรียงไปตั้งแต่แถว 1-30 ตามมาตรฐานของ Jetstar ครับ

ถึงที่นั่งแล้ว วันนี้โชคดีไม่มีใครนั่งข้างๆเลย เลยได้ยืดขายาว 3 ซีทรวด

นิตรสารออกรายเดือนและมีเมนู เป็น 2 ภาษา คือ หลักๆเป็นภาษาญี่ปุ่น และมีภาษาอังกฤษกำกับ

Boarding Pass เป็นแบบปรินท์กระดาษธรรมดา แต่ถ้าเช็คอินที่เครื่องอัตโนมัติ จะได้ออกมาหน้าตาเป็น boarding pass จริงๆ บอกไว้สำหรับใครที่ชอบเก็บสะสมนะครับ

ขนมกับน้ำที่ขายบนเครื่อง ราคาไม่ได้แพงเกินไป ส่วนใหญ่ก็จะบวกประมาณ 50-100 เยน แต่ที่น่าสนใจคือขนมลาย Jetstar มากกว่า เพราะหาซื้อที่ไหนไม่ได้

ส่วนของที่ระลึกลา Jetstar เองก็มีให้เลือกเยอะมาก ถ้าใครชอบก็ซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้นะครับ มีตุ้กตาหมาที่เป็น Mascot ขายด้วย สมแล้วที่เป็นญี่ปุ้นนน ญี่ปุ่น

เห็นเค้าพวกพวงกุญแจกับ tag ห้อยกระเป๋า อันนี้เพิ่งออกใหม่ น่าสนใจมาก พวงกุญแจตกอันละ 1200 เยน ส่วนที่ห้อยก็อันละ 500 เยน

บรรยากาศแกลลี่หลัง คาร์ทที่ใช้เก็บพวก snack และ เคื่องดื่มจะอยู่ที่นี่ โดยเค้าจะใช้ 2 คาร์ท เริ่มเสิรฟจากแถว 1 พร้อมกับ 30 และมาเจอกันตรงกลาง

หลังจากนี้ไฟลท์ Take-off ไม่ได้ถ่ายภาพอะไรมา เพราะเค้าให้ปิดทั้งมือถือ ทั้งกล้อง ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ smooth ตลอดทั้งไฟลท์ ลูกเรือน่ารักทุกคน ตอนท้ายกัปตันเปิดประตูออกมา ก้มโค้งขอบคุณผู้โดยสารตอน disembark ด้วย เท่สุดๆครับ ^^

แล้วพบกันใหม่แน่นอน Jetstar Japan !! 

 

A320AirbusAirlinesAirwaysJALjapan airlinesjetstar japanKansaiNaritaOsakaTokyoสายการบินเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองโตเกียวโอซาก้า