การเดินทางในครั้งนี้ เป็นการเที่ยวด้วยพาสรถบัสสุดคุ้ม Alps WIDE Free Passport ได้เที่ยว 2 จังหวัดในพาสเดียว คือจังหวัดนากาโน่และกิฟุ โดยชื่อพาสก็บอกอยู่แล้วว่าพาสนี้จะนำเราไปตะลุยเขตเจแปนแอลป์ แต่เชื่อว่าจะเป็นเจแปนแอลป์ที่แม้แต่ชื่อ หลายๆคนก็ยังไม่เคยได้ยิน เช่น คามิโคจิ โนริคุระ เป็นต้น
การเดินทางจะใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน ตั้งต้นจากโตเกียว จากสถานีชินจูกุ โดยสารรถไฟด่วนมาลงที่ สถานีมัตสุโมโตะ เพื่อตั้งต้นเที่ยวด้วยพาส โดยมีแผนการเดินทางคร่าวๆดังนี้ ซึ่งหากใครไม่อยากเก็บกระเป๋าย้ายที่นอนทุกคืนก็แนะนำให้เลือกเอามัตสุโมโต้กับทะคะยะมะเป็นเบสที่พัก เพราะจากทั้ง 2 ที่สามารถเดินทางไปเก็บไฮไลต์ต่างๆได้ไม่ยาก
วันที่ 1 : โนริคุระ – ชิราโฮเนะอนเซ็น
วันที่ 2 : มัตสุโมโตะ – คามิโคจิ
วันที่ 3 : คามิโคจิ
วันที่ 4 : ทะคะยะมะ – โอคุฮิดะ- ชินโฮทะกะ
วันที่ 5 : ทะคะยะมะ – กลับโตเกียว
เราตั้งต้นการเดินทางจากสถานี Shinjuku ขึ้นรถไฟ JR Super Azusa มาลงที่ สถานี Matsumoto ใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งหรือจะเลือกใช้บริการรถบัสของ Alpico ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 15 นาที จอดที่ Alpico Bus Terminal ตรงข้ามกับสถานีรถไฟ จากนั้นทำการซื้อ Alps WIDE Free Passport (พาสรถบัส 4 วัน) ที่เราจะใช้เที่ยวกันได้จากนี่เลย
Alps WIDE Free Passport เป็นพาสที่ร่วมกันระหว่าง Alpico Group และ Nohi Bus ใช้ตะลุยเที่ยวเก็บไฮไลต์เขตเจแปนแอลป์ ในจังหวัดนะงะโนะและกิฟุ โดยรถบัสได้ไม่จำกัดเที่ยว แถมยังใช้เป็นส่วนลดค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆได้อีกด้วย ราคาพาสอยู่ที่ 10,290 เยน แต่หากซื้อรวมกับตั๋วขึ้นโฮทากะโรปเวย์ด้วย ราคา 12,000 เยน (สำหรับใครที่เคยไปแถบจ.กิฟุแล้ว แนะนำพาสแบบ 2 วัน เที่ยวเฉพาะฝั่งจ.นากาโน่ ราคา 6,000 เยน)
อ่านข้อมูลพาสทั้งแบบ 2 วัน และ 4 วัน อย่างละเอียดที่นี่ >> แนะนำพาสรถบัสสุดคุ้ม ตะลุยเขตเจแปนแอลป์ ในจังหวัด นากาโน่ และ กิฟุ
เมื่อทำการซื้อพาสรถบัสแล้ว ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟ เพื่อขึ้นรถไฟ Alpico train (สาย Kamikochi) ที่ชานชาลาหมายเลข 7 มาลงที่สุดสายสถานี Shin-Shimashima ซึ่งเป็นสถานีศูนย์กลาง สำหรับต่อรถบัสไปยังสถานที่เที่ยวต่างๆ อาทิ คามิโคจิ, ชิราโฮเนะอนเซ็น, ฮิรายุอนเซ็น, ทะคะยะมะ
จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ ที่ราบสูงโนริคุระ (Norikura Highland) จากสถานี Shin-Shimashima เปลี่ยนเป็นขึ้นรถบัสมายังจุดตั้งต้นที่ Norikura Highland Tourist Center ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ตลอดระหว่างทางบนรถบัสสามารถชมวิวภูเขา เขื่อน สะพาน แม่น้ำต่างๆไปได้ตลอดทาง
Norikura Highland Tourist Center นั้นเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยรถบัสที่ใช้เที่ยวในพื้นที่นี้ รวมถึงมีร้านอาหาร ร้านของฝาก และที่พักอยู่รอบๆด้วย จากตรงนี้จะเทรกกิ้ง เช่าจักรยานปั่น หรือขึ้นรถบัสต่อไปตามจุดชมวิวต่างๆก็ได้
มื้อเที่ยงเรามาทานกันที่ร้านโลคอล ชื่อว่า Maple เดินจาก Tourist center เพียง 2 นาที มีเมนูดัง ไก่ทอดซันโซคุ (Sanzoku fried chicken) หมักด้วยโชยุ ขิง กระเทียม จึงมีรสชาติที่แตกต่างจากไก่ทอดทั่วไป ตอนทานต้องบีบส้มแทนมะนาว มีเมนูแกงกะหรี่ด้วย ราคา 900 เยน (มีเมนูภาษาอังกฤษ)
เราสามารถโดยสารรถบัสชมวิวไปรอบๆได้
ระหว่างทางจะผ่านเขื่อน 3 แห่ง สามารถแวะถ่ายรูปได้ มีป้ายรถบัสทุกแห่ง แต่จะเหมาะกับคนขับรถมากกว่า เพราะรอบรถบัสมีน้อย อาจจะต้องรอต่อรถนาน แต่ถ้าอยากจะแวะลง แนะนำ เขื่อนแห่งที่ 2 ชื่อว่า เชื่อนมิโดโนะ (Midono Dam) และ เขื่อนที่ 3 ชื่อว่า เชื่อนนะกะวะโด (Nagawado Dam)
ที่ราบสูงโนริคุระ (Norikura Highland) มีความสูงประมาณ 1,100 – 1,500 เมตร เป็นสวรรค์ของคนรักป่าเขา มีกิจกรรมให้ทำหลากหลายทั้งปี
กิจกรรมอย่างนึงที่อยากแนะนำคือการปั่นจักรยานชมวิว จาก Tourist center สามารถเช่าจักรยานปั่นได้ เส้นทางใกล้ๆปั่นง่ายๆ ไม่มีขึ้นลงเนินที่อยากแนะนำคือ เริ่มต้นที่ Tourist center – บึงมะอิเมะ (Maime Pond) – บึงโดโจ (Dojo Pond) ― ต้นเมเปิ้ลยักษ์ (Okaede) – แล้วขี่ย้อนกลับมาที่ tourist center โดยใช้เวลาไปกลับประมาณ 30 นาที ชอบตรงไหนก็แวะริมทางถ่ายรูปเลย
Tips 1: จุดชมต้นเมเปิลยักษ์ โอคะเอเดะ (O-Kaede) ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่มีชื่อว่า Ichinose enchi จะพีคช่วงกลางตุลาคม และหันหลังจะเห็นแนวต้น Karamatsu สีเหลืองทองอร่ามสวยงาม ต้นนี้จะเปลี่ยนเป็นเหลืองและอยู่ทนนานกว่าต้นไม้ชนิดอื่น มาต้นพฤศจิกายน ก็ยังชมได้อยู่
Tips 2: บึงโดโจ (Dojou Pond) จะสวยเป็นพิเศษช่วงเดือนพฤษภาคม มีดอกหน้าวัว และภูเขาสะท้อนกับผิวน้ำ เป็นวิวที่สวยงามมาก
จาก Tourist center นั่งรถบัสขึ้นเขาไปบนยอดที่ ทะทะมิไดระ (Tatamidaira) ใช้เวลา 50 นาที รถบัสสายนี้จะวิ่งไปตามถนน Norikura Echo Line ซึ่งมีชื่อเสียงมากเรื่องใบไม้เปลี่ยนสี โดยช่วงพีคจะอยู่ช่วงปลายกันยายนถึงต้นตุลาคม ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นถนนที่คดเคี้ยวไปมาตามระดับความสูง ที่สำคัญยังได้ชื่นชม Sandankoyo หรือต้นไม้เปลี่ยนสี 3 ชั้น ไล่สีแดง เหลือง เขียว ตัดกับหิมะบนภูเขา ถนนสายนี้เป็นสถานที่แรกๆที่จะได้ชมใบไม้เปลี่ยนสีก่อนใครในญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนกันยายน จนถึงปลายเดือนตุลาคม และเราจะยังได้พบกับพืชพันธุ์ที่หาชมได้เฉพาะในเขตแอลป์เท่านั้นด้วย
อีกรูทหนี่งในโนริคุระที่อยากแนะนำคือ การเดินเทรคจาก บึงอุชิโดเมะ (Ushidome pond) ไปยัง น้ำตกเซ็นโกโระ (Zengoro falls) ใช้เวลาประมาณไม่เกิน 45 นาที โดยลงรถบัสที่ป้าย Kyuka-mura รูทนี้แนะนำทั้งตลอดปี
โดยเฉพาะฤดูหนาว เพราะสามารถเทรกกิ้งไปบนหิมะนุ่มๆ (snowshoeing) ชมน้ำตกและบึงที่แข็งเป็นน้ำแข็งได้ !! (เป็นทางเทรคลงเนินจึงไม่ลำบากเท่าไหร่)
ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน จะไม่สามารถขึ้นไปถึงยอดได้เนื่องจากหิมะจะตกเยอะขึ้น ถนนสายนี้จะปิดและเปิดอีกทีช่วงปลายเมษายน เพื่อให้เข้าไปชม กำแพงหิมะโนริคุระ (Norikura Snow Wall) โดยนั่งบัสชื่อ Haruyama Bus
หลังจากเดินเที่ยวกันเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลามาพักผ่อนคลายความเมื่อยล้ากันที่ ชิระโฮเนะออนเซ็น (Shirahone onsen) แปลตรงตัวว่า ออนเซ็นกระดูกขาว เนื่องจากน้ำออนเซ็นที่นี่จะมีสีขาวขุ่นเหมือนกับสีของกระดูกนั่นเอง วันนี้เราเลือกใช้บริการกันที่ ไบโคะอัง (Baikoan) ที่สามารถแช่ออนเซ็นแบบชั่วคราว หรือจะค้างคืนก็ได้ เช่นกัน ค่าเข้า ผู้ใหญ่ 700 เยน เด็ก (ประถมต้น) 300 เยน
มีซอฟครีมรสนม หอมอร่อย ไม่หวานมาก อันละ 350 เยน
Awanoyu Ryokan ที่ชิระโฮเนะออนเซ็น
หลังจากนั้นทำการเดินทางกลับเข้าตัวเมืองมัตสุโมโตะ เข้าพักที่โรงแรม Hotel Buena Vista สะดวกสบาย เดินมาได้จากสถานี Matsumoto และมีอีกโรงแรมคือ Alpico Plaza Hotel ที่เพิ่งเปิดตัวไม่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2017 ที่ผ่านมา ไว้เป็นทางเลือกสำหรับใครที่กำลังมองหาที่พักใกล้กับสถานี ราคาไม่แพงอยู่
อ่านรีวิวที่นี่ >> Nagano ~ Hotel Buena Vista โรงแรมที่ดีที่สุดใจกลางเมืองมัตสึโมโต้
เช้าวันรุ่งขึ้น ครึ่งวันแรกเราจะเดินชมใบไม้เปลี่ยนสีในตัวเมืองมัตสุโมโตะกันก่อน เรามาถึงช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในแถบนี้ใบไม้เปลี่ยนสีสันเข้าช่วงพีคแล้ว โดยเฉพาะสวนรอบปราสาทมัตสุโมโตะ ที่เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยม
ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle) สมบัติประจำชาติ อายุ 400 ปี เป็นปราสาทที่สร้างบนพื้นราบ (ปราสาทญี่ปุ่นมี 3 ประเภทคือ บนภูเขา บนเนินเขา และพื้นราบ) จึงต้องสร้างคูน้ำล้อมรอบไว้ 3 ชั้น ปัจจุบันรอบนอกชั้นที่ 2 และ 3 เหลือเพียงบางส่วน สมัยก่อนคลองชั้นในจะลึกถึง 3 เมตร และเป็นน้ำดำสกปรก เพื่อให้ข้าศึกเดาไม่ออกว่าลึกเท่าไหร่
ปราสาทแห่งนี้เป็น 1 ใน 12 ปราสาทดั้งเดิม ที่สามารถเห็นปราสาทสะท้อนน้ำ เห็นซากุระ เห็นเทือกเขาแอลป์ได้พร้อมกัน
[เกร็ดความรู้ระหว่างเดินชมภายในปราสาท]
- ด้านในชั้นล่าง จะนำพวกดินปืนและอาวุธเข้ามาใช้โจมตีข้าศึก มีช่องหน้าต่างไว้ยิงธนู ปืน และ ทิ้งหินลงไป
- Sachi ใช้ปกป้องปราสาทจากไฟ ศัตรูตัวฉกาจเพราะโครงสร้างเป็นไม้ มี 2 ตัว ตึงนึงจะอ้าปาก อีกตัวจะปิดปาก (อาอู)
- โครงสร้างด้านในจะมีเสา โดยแต่ละเสาจะยึด 2 ชั้นไว้ด้วยกัน
- ชั้น 2 จะเป็นพิพิธภัณฑ์ปืน มีปืนรุ่นแรกที่เข้ามาในญี่ปุ่น แนะนำโดยโปรตุเกส ไดเมียวยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อปืน เพราะตกใจในศักยภาพของปืน ภายหลังจึงพยายามสร้างด้วยตัวเอง
- เกราะซามูไรมีน้ำหนักเบา เพียง 12 กก. เท่านั้น เบากว่าชุดเกราะของยุโรปที่หนัก 40-50 กก. สะพายกระติกไว้ใส่ดินปืน และกล่องเหล็กใส่ลูกปืน
- ผู้หญิงจะรับหน้าที่ในการปั้นลูกกระสุน
- สร้างปืนหลอกให้ดูเหมือนมีด แต่จริงๆยิงกระสุนได้
- ชั้น 3 เป็นชั้นที่ถูกซ่อนไว้ ไม่มีหน้าต่าง ที่สามารถมองเห็นจากด้านนอกได้
- ชั้น 4 เป็นชั้นที่ไดเมียวอยู่ มีเพดานสูงและหน้าต่างกว้าง และบันไดจากชั้น 4 ไปชั้น 5 จะชันที่สุด
- ชั้น 5 เอาไว้ใช้ประชุมวิธีการปราบข้าศึก
- ชั้นบนสุด ตรงบริเวณหลังคา จะไม่มีเพดานปิดไว้ ทำให้มองเห็นโครงสร้างด้านในที่เป็นไม้ได้ชัดเจน มีเพียงที่นี่ที่เดียวในญี่ปุ่น
หอคอยหลัก มองจากด้านนอกมี 5 ชั้น แต่จริงๆแล้วมี 6 ชั้น ซ่อนอยู่ระหว่างชั้น 2 และ 3 หอคอยตรงกลางและด้านขวา สร้างในช่วงสงครามกลางเมือง แต่หอคอยด้านซ้ายสร้างในภายหลังไว้ชมจันทร์หลังพ้นยุคสงครามแล้ว
จากปราสาทเดินมาเพียงไม่ถึง 10 นาที ก็ถึง ถนนนะวะเตะ (Nawate street) เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีกันต่อ และสามารถข้ามไปยังถนนนากามาจิ (Nakamachi street) ย่านการค้าเก่าแก่ได้อีกด้วย
ถนนนากามาจิ (Nakamachi street)
ต่อมานั่งรถบัสลายจุด Town Sneaker มายัง พิพิธภัณฑ์ศิลปะมัตสุโมโตะ (Matsumoto Museum of Art) เพื่อชมผลงานสุดอาร์ตของ ยะโยอิ คุสะมะ (Yayoi Kusama) ที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองมัตสุโมโตะนั่นเอง
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในปีค.ศ. 2002 และได้นำผลงานของ ยะโยอิ คุสะมะ มาจัดแสดงในปี 2005 ส่วนจัดเเสดงด้านนอกจะใหญ่ที่สุด สูง 10 เมตร ด้านในจะเปลี่ยนผลงานการแสดงไปเรื่อยๆ ปีละ 4 ครั้ง
เวลาทำการ: 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 410 เยน เด็ก 200 เยน
เว็บไซต์: http://matsumoto-artmuse.jp/en/
คุณยะโยอิ เริ่มเขียนลายจุด โดยการนำความกลัวจุด มาถ่ายทอดผ่านผลงาน จึงเป็นที่มาของผลงานลายจุดอันโด่งดังไปทั่วโลก ด้านในจัดแสดงผลงานส่วนหนึ่งของชุด eternal soul ส่งข้อความผ่านผลงานว่านี่อาจเป็นผลงานชุดสุดท้ายที่ได้ทำ มีกว่า 500 ชิ้น
ก่อนที่จะเดินทางไกลกันต่อ เราแวะมาทานมื้อเที่ยงกันที่ร้าน Benten ตั้งอยู่บนถนนหน้าสถานี Matsumoto ร้านนี้เปิดมาแล้ว 120 ปี ต้องชิมโทจิโซบะ (Toji soba) เมนูดังของมัตสุโมโตะ ส่วนใหญ่โซบะจะกินกันแบบเย็นๆ แต่โทจิโซบะจะกินโดยเอาเส้นใส่ในตระกร้อ จิ้มจุ่มในหม้อร้อนก่อนทาน ชุดนึงทานได้ 2 คน ราคา 1,700 ต่อคน
หรือจะเลือกทานเมนูโซบะร้อนเสิร์ฟพร้อมกับเทมปุระก็ได้เช่นกัน
แล้วมาติดตามกันต่อกับรีวิวในตอนหน้าที่จะพาไปเที่ยว คามิโคจิ (Kamikochi) กันครับ