Ibaraki: เที่ยว 4 เมืองดังในอิบารากิ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ไปได้ง่ายจากโตเกียว

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางทีมงานเราได้เดินทางไปเส้นทางที่เรียกว่า Diamond Route กันอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการเที่ยวด้วยรถเช่า ใช้เวลา 4 วัน 3 คืน เน้นตะลุยเก็บสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีในเขตไอซุ จังหวัดฟุคุชิมะ และ จังหวัดอิบารากิ

ในตอนที่แล้ว เราตั้งต้นจากสถานี Tokyo ขึ้นรถไฟชินคังเซ็นขบวน Yamabiko มาลงที่สถานี Koriyama ที่จังหวัดฟุคุชิมะ จากนั้นรับรถเช่าแล้วขับไปตะลุยกันที่เมือง Aizu-Yanaizu, Mishima, Aizu-Wakamatsu และในตอนนี้เราจะข้ามมาที่จังหวัดอิบารากิ เพื่อเที่ยวเมือง Daigo, Hitachiota, Kasama, Mito ก่อนกลับเข้าสนามบินนาริตะ

อ่านรีวิวตอนแรกได้ที่นี่ >> Fukushima: ตะลุย 2 เมืองใหญ่ในเขตไอซุ Yanaizu และ Wakamatsu ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี

เพื่อให้สะดวกกับแผนเที่ยวของเราในวันรุ่งขึ้น เราเข้าพักที่โรงแรม Omoide Roman-kan ที่ตั้งอยู่ในบริเวณน้ำตกฟุคุโรดะ ในเขตจังหวัดอิบารากิ โดยคอนเซ็ปต์ของที่พักแห่งนี้จะตกแต่งย้อนยุคในสไตล์ยุโรป ให้ความรู้สึกเหมือนเข้าพักในอาคารประวัติศาสตร์ยุคแรกที่เข้ามาเผยแพร่ในประเทศญี่ปุ่น โอบล้อมด้วยธรรมชาติดั้งเดิม ทั้งแม่น้ำและภูเขา รวมทั้งเป็นแหล่งน้ำพุร้อนชั้นดี

  • ราคาห้องพัก: ห้องพักแบบญี่ปุ่น รวมอาหารมื้อเช้า สำหรับ 2 ท่าน เริ่มต้น 6,000 บาท
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Suigun ลงสถานี Fukuroda นั่งรถชัทเทิลบัสของโรงแรม 5 นาที
    *เนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้การเดินทางระหว่างสถานี Saigane และ สถานี Fukuroda ไม่สามารถใช้รถไฟได้จึงต้องใช้รถบัสในการเดินทางเป็นการชั่วคราว
  • เว็บไซต์

วิวจากห้องพักยามเช้า เวลาหมอกลง


หลังจากเช็คเอาท์เรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายแรกของวันนี้ นั่นก็คือ น้ำตกฟุคุโรดะ ซึ่งระหว่างทางไปน้ำตก จะได้เดินผ่านถนนที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีขายของฝาก ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น และยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามอีกด้วย

น้ำตกฟุคุโรดะ (Fukuroda falls) ตั้งอยู่ใน ต.ไดโกะ เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยความสูง 120 เมตร และมีความกว้างถึง 73 เมตร เป็นน้ำตกที่มีก้อนหินขนาดใหญ่วางทับกันสลับซับซ้อนถึง 4 ชั้นไล่ระดับลงมา จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “น้ำตก 4 ชั้น” ซึ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี น้ำตกแห่งนี้จะล้อมรอบ ไปด้วยใบไม้สีส้ม เหลือง ที่มองแล้วตัดกับเส้นสีขาวของน้ำตกด้านหลังอย่างสวยงาม

  • ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่: ช่วงต้นเดือน – กลางเดือน พฤษจิกายน
  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 300 เยน ,เด็ก 150 เยน
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Suigun ลงสถานี Fukuroda นั่งรถบัส 10 นาที
    *เนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้การเดินทางระหว่างสถานี Saigane และ สถานี Fukuroda ไม่สามารถใช้รถไฟได้จึงต้องใช้รถบัสในการเดินทางเป็นการชั่วคราว
  • เว็บไซต์ (ภาษาไทย)


ถ้าหากได้เดินทางมาที่จังหวัดอิบารากิ ในช่วงเดือนกันยายน-ปลายเดือนพฤศจิกายน เราจะสามารถทานแอปเปิ้ล ลูกโตๆหวานหอมสดๆได้ แนะนำว่าให้เดินทางมาที่ ฟาร์มแอปเปิ้ลคุโรดะ (Kuroda Apple Farm) ที่ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักแอปเปิ้ลอย่างแท้จริง 

  • ค่าใช้จ่าย: ค่าเข้าสวน ผู้ใหญ่ 400 เยน เด็ก 300 เยน / คิดราคาแอ๊ปเปิ้ลที่เก็บเอง 650 เยน/ 1 กก
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Suigun ลงสถานี Fukuroda จากนั้นขึ้นแท๊กซี่ประมาณ 15 นาที
    *เนื่องจากผลกระทบของภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ทำให้การเดินทางระหว่างสถานี Saigane และ สถานี Fukuroda ไม่สามารถใช้รถไฟได้จึงต้องใช้รถบัสในการเดินทางเป็นการชั่วคราว
  • เว็บไซต์


สะพานแขวนริวจิน (Ryujin Suspension Bridge) เป็นสะพานแขวนความสูงอันดับ 1 ของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองฮิตาจิโอตะ (Hitachiota) ถูกสร้างขึ้นเหนือเขื่อนริวจิน โดยมีแม่น้ำจากเขื่อนไหลผ่านหุบเขาตัววีที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก สะพานมีความยาวทั้งหมดถึง 375 เมตร ซึ่งเป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินข้ามที่ยาวที่สุดในเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น จากสะพานแขวนแห่งนี้ท่านสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์พาโนรามาอันสวยงามได้ตลอดทั้ง 4 ฤดูกาล ช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มที่จะอยู่ราวต้นเดือนพฤษจิกายน

  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 310 เยน เด็ก 210 เยน
  • การเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Suigun ลงสถานี Hitachi-Ōta จากนั้นนั่งรถบัส Ibaraki Kotsu Bus มุ่งหน้าไปยัง Shimotakakura 40 นาที ลงที่ป้าย Ryūjin Ōtsuribashi
  • เว็บไซต์ (ภาษาไทย)


มื้อเที่ยงของวันนี้ต้องบอกเลยว่าพิเศษมาก เพราะเป็นร้านดังของคนโลคอล ชื่อว่า Saibi-tei 彩美亭 ถ้าใครชอบทานสเต็ก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู วัว หรือ ไก่ ที่ร้านนี้สามารถปรุงออกมาได้ถูกปากคนท้องถิ่นแล้ว ยังเหมาะกับคนไทย ด้วยรสชาติที่เข้มขึ้น เนื้อที่ปรุงสุกอร่อยกำลังดี รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน แนะนำให้ทาน Pork Steak

  • เวลาทำการ: มื้อกลางวัน 11.00-15.00 น. มื้อเย็น 17.00-21.30 น. (สั่งก่อนเวลาปิดร้าน 30 นาที)
  • วันหยุด: ทุกวันจันทร์
  • การเดินทาง: จากสถานี Iwama เดิน 7 นาที


จากนั้นเราเดินทางต่อมายัง เมืองคะซะมะ (Kasama) ซึ่งตรงกับช่วงที่ทางเมืองจัดงานเทศกาลดอกคิขุอยู่พอดี

ศาลเจ้าคะซะมะ อินาริ (Kasama Inari Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองคะซะมะ (Kasama) มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 1,350 ปี ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 651 โดยถือเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองคะซะมะ มีเทพบูชาประจำศาลเจ้าคือ เทพอุคาโนะมิทามะ มีความเชื่อกันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเพิ่มและดูแลผลผลิตทางการเกษตรและยังช่วยในเรื่องของธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย

  • เวลาทำการ: 6.00 – ช่วงพระอาทิตย์ตกดิน
  • วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
  • ค่าเข้าชม: ฟรี
  • วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Jōban ลงสถานี Tomobe เพื่อเปลี่ยนเป็นสาย Mito ลงที่สถานี Kasama (ประมาณ 10 นาที)  จากนั้นเดินอีก 20 นาที หรือ นั่งแท็กซี่ประมาณ 5 นาที หรือขึ้น Kasama tour bus ประมาณ 15 นาที
  • เว็บไซต์ (ภาษาไทย)

ในช่วงที่เราเดินทางไปมีการจัดงาน เทศกาลดอกเบญจมาศ (Chrysanthemum festival) ซึ่งในปี 2019 จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 112 แล้วโดยสามารถชมได้ระหว่างวันที่ 19 ตุลาคม – 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยจะมีการจัดแสดงทั้งในบริเวณศาลเจ้า และโซนจัดแสดง ที่ปีนี้แต่งเป็นธีมโอลิมปิก ค่าเข้าชมงานเทศกาลดอกเบญจมาศ 800 เยน (เฉพาะโซนจัดแสดงพิเศษ เวลา 8.30 -16.30 น.) 

หลังจากเดินชมศาลเจ้ากันเป็นที่เรียบร้อย ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามกับศาลเจ้า จะพบกับถนน Kasama Inari Monzen Street มีร้านค้าเรียงรายมากมาย กว่า 44 ร้าน และหนึ่งในนั้นร้านขายขนมอร่อยเจ้าดัง ลักษณะคล้ายกับมันจูเคลือบด้วยน้ำตาลแดงสีเข้มข้น กรอบนอกนุ่มใน ด้านในเป็นไส้ถั่วแดงและผลวอลนัทลูกโต

และถ้าใครชื่นชอบกิจกรรม cafe hopping ที่เมืองนี้ยังมีคาเฟ่น่ารักๆ ที่ใช้เครื่องจานชามท้องถิ่นเรียกว่า Kasama-yaki พร้อมขนมอร่อยให้ชิมกระจายอยู่ทั่วเมือง สำหรับวันนี้เราเลือกมาทานแพนเค้กกันที่ร้าน Le Midi Zakka & Cafe สำหรับเมนูแนะนำที่เราทานกันคือ Macadamia nut sauce pancake และ Berry & whip pancake ส่วนเครื่องดื่มก็มีชานมไข่มุกด้วยนะ

  • เวลาทำการ: 10.00-18.00 น.
  • วันหยุด: ทุกวันอังคาร


สำหรับมื้อเย็นวันนี้ เรากลับเข้ามาตัวเมืองมิโตะ (Mito) เป็นเมนูที่คนท้องถิ่นแนะนำมาให้ลองทาน นั่นก็คือ นาเบะปลาอังโค (Ankonabe) ที่ร้าน Mondokoro ถ้าใครชอบทานปลา รับรองว่าจะต้องถูกใจกับรสชาติแน่นอน อาหารจะเสิร์ฟหม้อนาเบะตรงกลางสำหรับไว้แชร์ และเครื่องเคียงจัดเต็ม

  • เวลาทำการ:  มื้อเย็น 17.00-1.00 น.
  • การเดินทาง: จากสถานี Mito ทางออกฝั่ง South เดินประมาณ 5 นาที
  • เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): Mandokoro


ค่ำคืนนี้เข้าพักที่โรงแรม President Hotel MITO ตั้งอยู่ในเมืองมิโตะ เมืองหลวงของจังหวัดอิบะระกิ ตัวโรงแรมตั้งอยู่ห่างจากสถานี Mito โดยใช้เวลาเดินเพียง 5 นาที ภายในประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 137 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักแบบสูบบุหรี่ได้ 53 ห้องและห้องแบบปลอดบุหรี่ 80 ห้อง เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้เข้าพักผู้หญิงโดยเฉพาะด้วยห้องพักแบบ Ladies Room-Only

จากโรงแรมสามารถเดินช้อปปิ้ง ทานอาหาร พักผ่อนหย่อนใจไปกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดกับสถานี Mito อีกทั้งยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง อย่างสวนไคระคุเอ็น และพิพิธภัณฑ์โทคุงะวะ

  • ราคาห้องพัก: ห้องพักคู่ สำหรับ 2 ท่าน เริ่มต้น 2,200 บาท
  • การเดินทาง: สถานี Mito เดิน 5 นาที
  • เว็บไซต์


เช้าวันรุ่งขึ้นเราเดินทางไปที่สวนไคระคุเอ็น (Kairakuen) โดยแวะชมใบไม้เปลี่ยนสีกันที่ Momijidani กันก่อน

จากนั้นเดินต่อเข้าไปด้านในสวนทางป่าไผ่ ได้เจอซากุระฤดูหนาวด้วย

สวนไคระคุเอ็น (Kairakuen) สวนแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสวนที่มีภูมิทัศน์สวยงาม 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น ควบคู่กับสวนเคนโรคุเอ็น จังหวัดอิชิคะวะ และสวนโคระคุเอ็น จังหวัดโอคะยะมะ

สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1842 โดยไดเมียว Tokugawa Nariaki โชกุนรุ่นที่ 9 ผู้ครองอาณาจักรมิโตะ ในขณะนั้น สวนญี่ปุ่นแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อเปิดให้ใช้เป็นสวนสาธารณะสำหรับชาวบ้านและประชาชนทั่วไปมีสิทธิ์เข้าชมได้ ตามความหมายของชื่อสวนแห่งนี้ที่แปลว่า “สวนที่ทุกคนสามารถมาเพลิดเพลินด้วยกัน” ต่างจากสวนเคนโระคุเอ็น และสวนโคระคุเอ็น ซึ่งทั้งสองสวนนั้น สร้างขึ้นสำหรับไดเมียวและชนชั้นปกครองเท่านั้น

นอกจากจะเดินทางมาชมใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ที่สวนไคระคุเอนแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องของเทศกาลชมดอกบ๊วย ที่จัดขึ้นในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี ภายในสวนมีต้นบ๊วยปลูกไว้มากกว่า 3,000 ต้น นอกจากความสวยงามของต้นบ๊วย ที่จะผลิดอกในช่วงของฤดูใบไม้ผลิแล้วที่นี่ยังเป็นสวยที่มีภูมิทัศน์ที่สวยงามตามแบบฉบับสวนญี่ปุ่น ทั้งบ่อน้ำ สวนไผ่ อาคารไม้โคบุนเท (Kobuntei) ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมภายใน

อาคารไม้โคบุนเท ถูกสร้างขึ้นเมื่อค.ศ.1842 เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักตากอากาศของของ โทคุกะวะ นิริอะกิ และใช้เลี้ยงรับรองขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เคยเกิดเพลิงไหม้เมื่อปีค.ศ. 1945 ทำให้เกิดความเสียหายทั้งหมด จากนั้นเริ่มบูรณะขึ้นใหม่ตั้งแต่ปีค.ศ. 1955 โดยใช้เวลา 3 ปี

  • เวลาทำการ : 7:00 – 18:00 น. (เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
  • วันหยุด : เปิดตลอดทั้งปี
  • ค่าเข้าชม: บริเวณสวน 300 เยน และ ค่าเข้า Kobuntei 200 เยน
  • การเดินทาง: จากสถานี Mito ประตูทางออกทิศเหนือ ขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไปยัง Kairakuen ประมาณ 20 นาที (ในช่วงเทศกาลดอกบ๊วยสามารถขึ้นรถไฟ JR สาย Joban จากสถานี Mito ไปยังสถานี Kairakuen ได้)
  • เว็บไซต์


พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จังหวัดอิบะระกิ (Ibaraki Prefectural Museum of History) เพื่อมาชมบรรยากาศต้นแปะก๊วยที่พร้อมใจกันเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทองไปทั่วทั้งบริเวณภายในสวน

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมแก่การชม : ประมาณกลางเดือนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน
  • ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่าย
  • การเดินทาง : สถานี Mito โดยสารรถบัสสาย Kairakuen ลงที่ป้าย Rekishi-kan Kairakuen Iriguchi ประมาณ 10 นาที
  • เว็บไซต์


แวะทานมื้อเที่ยงกันที่ร้านอาหารท้องถิ่น Gotetsumukyouan 五鐵夢境庵 ที่ขึ้นชื่อเรื่องเมนูข้าวหน้าไก่กับไข่ Oyakodon มากๆ โดยเนื้อไก่ของที่นี่พิเศษกว่าที่ไหน เนื่องจากใช้เนื้อไก่ชาโมะ (Shamo) หรือไก่ชนบ้านเรานั่นเอง ถึงแม้ที่บ้านเราจะไม่นิยมบริโภคเนื้อไก่ชน เพราะความเหนียว แต่ที่ร้านนี้กลับปรุงออกมาให้เนื้อไก่มีความกรุบกำลังดี ไม่นุ่มและไม่เหนียวจนเกินไป ส่วนเรื่องรสชาติของไข่และน้ำซอสที่นำมาปรุงนั้นต้องบอกเลยว่า อร่อยสมชื่อจริงๆ

  • เวลาทำการ:  มื้อเที่ยง 11.00-14.00 น. มื้อเย็น 17.00-22.00 น.
  • การเดินทาง: จากสถานี Mito เดินประมาณ 8 นาที
  • เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่น): Gotetsumukyouan


พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์อุชิคุ ไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ตั้งอยู่ที่เมืองอุชิคุ (Ushiku) พระพุทธรูปอุชิคุไดบุทสึองค์นี้ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์บุคว่าเป็นพระพุทธรูปปางยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูงถึง 120 เมตรและมีน้ำหนักรวมทั้งสิ้น 4,000 ตัน

  • เวลาทำการ: 9.30 – 17.00 น. (เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล)
  • วันหยุด: เปิดให้บริการทุกวัน
  • ค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ 800 เยน เด็ก 400 เยน
  • วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถไฟ JR สาย Joban ลงสถานี Ushiku โดยสารรถบัสประจำทางตรงประตูทิศวันตะวันออก จุดขึ้นรถบัสหมายเลข 2 ที่วิ่งตรงไป Ushiku-daibutsu / Ushiku-joen หรือรถบัสประจำทางที่วิ่งไปยัง Ami Premium Outlets ลงที่ป้ายรถประจำทาง Ushiku-daibutsu ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ราคา 680 เยน
  • เว็บไซต์ (ภาษาไทย)

ภายในองค์พระพุทธรูปแบ่งออกเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นแบ่งเป็นส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมาในการสร้าง ห้องทำวัตรของพระสงฆ์ เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิโตเกียวสกายทรี

เมื่อเข้ามาด้านในขององค์พระพุทธรูป จะมีการดับไฟให้ทำสมาธิเป็นเวลาประมาณ 1 นาที โดยเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายเกี่ยวกับกุศโลบายของปัญหา เปรียบเทียบปัญหาได้กับความมืด แต่ถ้าเรามีสติและปัญญาก็จะมาสามารถแก้ปัญหาได้จนลุล่วง เปรียบเสมือนแสงสว่างขององค์พระพุทธนั่นเอง เมื่อเปิดไฟขึ้นจะพบว่าบริเวณตรงกลางขององค์พระจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปองค์ประธาน

เมื่อขึ้นไปที่ชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา การสร้าง และชิ้นส่วนของนิ้วเท้าที่จำลองแบบมาให้ชมกันอย่างใกล้ชิด เมื่อขึ้นลิฟต์โดยสารไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่มีความสูง 85 เมตร นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นทัศนียภาพได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองไปได้ไกลถึงภูเขาไฟฟูจิและโตเกียวสกายทรีเลยทีเดียว

ชั้นที่ 3 ของภายในองค์พระพุทธ เป็นที่ตั้งของห้องทำพิธี ทุกๆเช้าจะมีพระสงฆ์มาทำพิธีสวดมนต์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอัฐิของผู้ล่วงลับที่นำมาเก็บไว้ อุทิศส่วนกุศลโดยการเขียนชื่อผู้ตายลงไปในสมุด (สมุดที่ใช้บันทึกรายชื่อของผู้ล่วงลับ) แล้วนำไปใส่ในพระพุทธรูป โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อทางวัดเพื่อสามารถนำอัฐิของคนที่รักมาเก็บไว้ที่นี่ได้ ในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปีจะมีการทำพิธีใหญ่ เรียกว่า “พิธีเอไทเคียวโฮโย” เพื่อทำบุญและระลึกถึงความดีงามของผู้เสียชีวิต

ขากลับเดินลงมาบริเวณชั้น 2 จะเป็นที่ตั้งของห้องสำหรับทำสมาธิ ด้วยการคัดลอกพระไตรปิฎกจากแผ่นกระดาษไข ซึ่งผู้ที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นก็สามารถเข้าร่วได้เนื่องจากเป็นการคัดลอกตัวอักษรจากกระดาษไขนั่นเอง นอกจากนี้เรายังสามารถทำการปิดทองด้านนอกองค์พระพุทธรูปได้ มีแผ่นทองไว้คอยให้บริการราคาแผ่นละ 300 เยน

AutumnDaigoDiamond RouteHitachiotaIbarakiKantoKasamaMitotiewyeepoonคาซามะมิโตะฤดูใบไม้ร่วงอิบารากิฮิตาจิโอตะเที่ยวจากโตเกียวเที่ยวญี่ปุ่นเที่ยวญี่ปุ่นดอทคอมใบไม้เปลี่ยนสีไดโกะ